วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ปั่นสบาย...จะตาย ริมหาดทะเลใต้

ปั่นสบาย…จะตาย ริมหาดทะเลใต้

ผ่านร้อนผ่านหนาวกับ touring ก็ไม่น้อยแล้ว ผ่านเขาป่า มาก็เยอะ แต่หาด ทราย สายลม แสงแดด นี้นับครั้งได้เลย เคยครั้งนึงปั่น แถวพังงากับพวกพี่จ้อน ตอนนั้นจำได้ว่าปั่นเล่นกันบนเนินทราย ให้สนุกสนาน ไม่พอ ยังลงไปลุยน้ำทะเลอีก จำได้ว่ากลับมา เอาจักรยานไปล้างเกือบไม่ทัน กลัวเกลือทะเลจะทำมันพังซะก่อน

คราวนี้ได้รับโทรศัพท์จากพี่โหนกว่า มีช่วงวันหยุดก่อนสงกรานต์ พี่โหนกทำการลาพักร้อนล่วงหน้าไว้แล้ว สนใจปั่นtouringไหม “สนสิคะคุณพี่ ของงี้หาคนไปด้วยไม่มีอีกแล้ว” ว่าแล้ว เราก็จัดการ เช็คsched แล้วฟ้าก็เป็นใจ กลับจาก ฝรั่งเศสก็ขึ้นรถเดินทางทันที

คราวนี้เราตกลงกันว่าจะปั่นริมทะเล เพราะสืบเนื่องจาก tripที่แล้ว ปั่นบนเขา กว่าจะเจออากาศเย็นสบาย ก็เรียกว่าน้ำเกือบหมดตัว ร้อนและเพลียมาก คราวนี้กะว่าริมทะเล ร้อนก็เล่นน้ำ นอนริมหาด แก้เซ็ง แล้วค่อยปั่นกันต่อ แผนการณ์ที่วางไว้ ก็คือปั่นช่วงเช้า และช่วงเย็น ถึงมืด พี่โหนกตั้งใจไว้มากว่าจะปั่น ชมดาว (แล้วก็ได้ชมดาวแบบเงียบๆสมใจ)


วันเสาร์ที่3 เมษายน 2553วันเดินทาง

เราเดินทางออกจากกรุงเทพแปดโมงกว่า วันนั้นรถค่อนข้างเยอะ เพราะถ้าลางานวันจันทร์ ก็จะได้วันหยุด4วันลัลลาแบบพี่โหนก
เรานั่งรถคุยกันไปเรื่อย ระหว่างทางหนิงนั่งดูต้นไม้ข้างทาง ที่ออกดอกสวยงามอย่างตะแบก และต้นคูน ร้อนอย่างนี้เป็นฤดู ที่สวยงามแบบไทยๆ
แผนการณ์ที่วางไว้ว่าคราวนี้จะปั่นไปไหน ยังไง เราสรุปกันคร่าวๆว่าจะปั่นเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดหมาย ค่ำไหนนอนนั้น
โดยจะเลาะชายหาดทะใต้ฝั่งอ่าวไทยให้มากที่สุด เราคิดจะเริ่มแถว บางสะพานน้อยแล้วปั่นขี้นไปบางเบิด จากนั้นต่อไปชุมพร แล้วต่อลงไปอีกหน่อย แต่แผนการณ์ก็เปลี่ยน เพราะอากาศ วันนั้นค่อนข้างร้อน ประกอบกับหนิงยังไม่ได้นอน พี่โหนกเลยใจดี จัดให้นอนที่ประจวบแทน

พี่โหนกขับรถมาถึงประจวบช่วงเที่ยงๆ เหมาะแก่การหาอาหารอร่อยๆ ทานแก้ร้อน แล้วพี่โหนกก็จัดไป โดยการพาไปทานข้าวร้าน รับลม ที่อ่าวน้อย หลายคนคงเคยไปทานแล้ว ร้านนี้มีของอร่อยหลายอย่าง แต่วันนั้นเราทาน แกงส้มไข่ปลาริวกิว หอยตลับผัดพริกเผา เนื้อปูผัดกระเพรา ฯลฯ อร่อยทั้งนั้นจนลืมถ่ายรูปมาอวด อิ่มกันขนาดนั้น พี่โหนกยังจัดให้ไปนวด ตอนนั้นถ้าได้หลับก็คงจะดี แต่ว่า โรงนวดแบบบ้านๆ ไม่ใช่สปา ไฮโซ เลยไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไหร่ หลับไม่ลง แต่นวดดีมาก

ออกจากโรงนวด อากาศก็ยังร้อน และนั้นคือส่วนประกอบให้เรา ตัดสินใจเริ่มปั่นวันรุ่งขึ้นแทนเราเลยตกลงว่าจะปั่นชมเมือง ประจวบเพราะเราเองก็ยังไม่เคยชมเมืองแบบละเอียดละออมาก่อน
เราหาที่พักราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ติดทะเล เพราะเราคิดว่าเราจะ ปั่นจักรยาน จึงไม่เน้นที่พักเท่าไหร่ เราพักที่ประจวบเพลส จัดว่าใช้ได้ทีเดียว สะอาด สะดวก

เราจัดแจงประกอบรถ ติดไฟ เพราะเราจะปั่นกันจนมืด เส้นทางปั่นออกไปทางอ่าวมะนาว ผ่านส่วนที่เป็นพื้นที่ของทหาร หนิงเคยไปนานหลายปีแล้ว สมัยเรียนมหา’ลัย ตอนนั้น เขายังไม่อนุญาต ให้เข้าออกง่ายดายแบบนี้ ตอนนี้จัดว่าเป็น ที่พักผ่อนที่ดีแห่งนึงสำหรับคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว อย่างเรา

แถวนั้นมีเรือนแถวรับรองสีฟ้าน่ารักดี เราถ่ายรูป และปั่นไปรอบๆ ผ่านศาลเจ้าพ่อ ฝูงค่างแว่น และออกมาสู่ ส่วนพักผ่อนเล่นน้ำ นักท่องเที่ยวเล่นน้ำกัน สนุกสนาน ต่างจากเมื่อก่อนมากๆ เราปั่นเลียบฝั่งไปเรื่อยๆ จนสุดเขตทหารอีกด้านเราปั่นเลี้ยวซ้ายไปด้านสนามกอล์ฟ และผ่านไปสู่ส่วนพิพิธภัณฑ์ ของกองทัพ ตอนแรกพี่โหนกชวนปั่นไปหว้ากอ แต่ตอนนั้นมืดแล้ว ไปก็คงไม่เห็นอะไร พวกเราจึงกลับ เพื่อจะปั่นเล่นในเมือง

เราปั่นออกจากค่ายทหาร ผ่านมายังริมทะเลเมืองประจวบ มองออกไปไกลๆจะเห็น ไฟสีเขียวๆกลางทะเล เราเดากันได้ว่าเขา หาหมึกกันอยู่ ทะเลละแวกนี้จัดว่าหมึกเยอะทีเดียวโดยเฉพาะ ลงใต้ไปยังชุมพร
เราปั่นเลาะกันไปเรื่อยๆ ผ่านตึกใหม่ๆ ซึ่งเป็นตัวบงบอกว่าเมือง กำลังเติบโต หลังจากประจวบเป็นเมืองที่หลายคนลืมไปนาน หลายปีแล้ว ประจวบยังมีความclassic ของเมืองเก่า เพราะยังมีตึกรามบ้านช่องแบบเชียงคาน ถ้ามีการอนุรักษ์โดยคน ในชุมชนจะดีมากทีเดียว จะทำให้ประจวบยังคงเสน่ห์ อย่างที่ หลายเมืองที่เจริญแล้วไม่มี

เราปั่นมุ่งหน้าไปอ่าวน้อย ที่อ่าวน้อยนี้จัดว่ายังคงมีเสน่ห์ และ virgin ทีเดียว หาดที่ค่อนข้างกว้าง และยังไม่มีโรงแรม หรือสิ่งก่อสร้างให้รกหูรกตามาก เราปั่นกันไปไดสัก้พัก ถนนตอนนั้นมืดแล้ว เราจึงหันกลับเข้ามาปั่นในเมือง ตอนนั้น หนิงหิวแล้ว เลยชวนพี่โหนกหาอาหารกินกัน เราปั่นไปดูหลายๆ ร้านที่เราแอบหมายปอง และแล้ว เราก็มาไดเ้พลินสมุทรเป็น ตัวเลือกสุดท้าย ร้านนี้อยู่ริมหาดในเมืองประจวบ ช่วงหัวค่ำที่เรา ปั่นผ่าน เห็นผู้คนเต็มร้าน แม้ตอนเราไปถึง ก็ยังมีคนเข้าออกร้าน พอดู
อาหารที่เราสั่ง เริ่มต้นที่กุ้งมะขาม หลนปลาเค็ม ใบเหลียงผัดไข่ หมึกผัดไข่ ตบท้ายด้วย กุ้งนึ่งกระเทียม เมนูสุดท้ายอร่อยจริงๆ ขนาดว่าอิ่มกันแล้วยังกินจานสุดท้ายกันเกลี้ยง จนเด็กเสิร์ฟแซว เสียดายที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเมืองนี้เมนูปลาทูเค้าดัง เราปั่นกลับมาพักผ่อนกันเพื่อจะเก็บแรงไว้ปั่นวันรุ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่4เมษายน วันร้อนๆวันนึง

พวกเราตื่นมาด้วยความสดชื่น เพราะเราปล่อยให้นาฬิกาปลุก มันร้องทุก 15นาที เราตื่นมาจัดแจงเก็บของ แล้ววางแผนการปั่น เรา เปลี่ยนแผนจากที่คิดจะเริ่มบางสะพาน มาเริ่มที่บ้านกรูดแทน เราหาข้าวเช้ากินก่อนออกจากประจวบ เราเลือกทานต้มเลือดหมูู เพื่อเพิ่มพลังสำหรับวันหนักๆ จากนั้นเราเดินทางออกจากประจวบโดยรถยนตร์ ผ่านอ่าวมะนาว ทะลุไปคลองวาฬ เราแวะซื้อเค้ก OTOPประจำจังหวัด อร่อยทีเดียว เราขับมุ่งหน้าสู่บ้านกรูดทันใด ถึงบ้านกรูดตอนเที่ยง พี่โหนกแนะนำร้านอาหาร ‘หนูโภชนา’ ริมหาด อร่อยพอใช้ได้ แต่ราคาสูงกว่าที่ประจวบ พี่โหนกว่าอาหารขึ้นชื่อคือ ส้มตำเนื้อปู แต่เหมือนชะตาฟ้าแกล้ง เด็กในร้านบอกว่าเนื้อปูหมด เราเลยอด เราสั่งกุ้งผัดสะตอ ปลาทอด ยำเห็ดโคนญี่ปุ่น วันนี้เราทานไม่มาก เพราะไม่อยากให้รู้สึกจุกเวลาปั่น เสร็จจากมื้อเที่ยง เราก็ยังคงปัก หลักอยู่ที่บ้านกรูด เพราะอากาศยังไม่เป็นใจในการปั่น พี่โหนกเอารถไปจอดที่อคาเดีย รีสอร์ท แล้วนั่งchillๆ ดื่มกาแฟ แก้ร้อนไปพลางๆ เรานั่งเล่นจนได้เวลาเราก็ร่ำลา น้องในร้าน โดยเราบอกว่าจะไปชุมพร น้องๆนึกว่าจะขับรถไป เราบอกเปล่า จะปั่นจักรยานแล้ว เจอกันวันอังคาร น้องๆร้องกันใหญ่ บอกร้อนๆ อย่างนี้เนี้ยนะ

เราเริ่มปั่นออกจากบ้านกรูด โดยเรียบทะเลไปเรื่อยๆ ทะเลบ้านกรูด จัดว่าสวย 1ใน3 ของหาดแถบชายฝั่งอ่าวไทยทีเดียว หาดที่นี้กว้าง และลาด เหมาะ แก่ การเล่นน้ำมาก ทรายถึงจะไม่ละเอียดมาก แต่ขาวสะอาด และน้ำใส ที่สำคัญ ชุมชนท้องถิ่นไม่มีการปลูก สร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปบนหาด ผ่านริมหาด ยังเห็นโรงแรม สวยๆในละแวกนั้นอีก 2-3 แห่ง ที่ก็ไม่รุกล้ำหาดทราย เพียงแค่ ผ้าใบนั่งเล่น แถมมีแนวสนหน้าหาดดูสวยดีทีเดียว ลมทะเลพัดมาปะทะตัว ทำให้คิดว่าไม่น่าร้อนอย่างที่คิด

เราปั่นผ่านหมู่บ้านชายทะเล ผ่านอ่าวรำพึง มุ่งหน้าสู่อำเภอ บางสะพาน ตอนนั้นอากาศร้อนยามบ่ายแก่ๆและปั่นทวนลมแรงๆทำเราสอง หมดเรียว แรงจนที่สุดต้องหยุดหาร้านน้ำ ตอนนั้น พี่โหนกเองเสนอว่าหารถไปชุมพรกัน เพราะหนทางอีกยาวไกล แถมอาการของเราสองเริ่มแย่แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงหลังจากเราได้น้ำ เราก็ปั่นต่อไปยังอำเภอ บางสะพานน้อย อำเภอสุดท้ายของประจวบก่อนเข้าสู่จังหวัด ชุมพร ตอนนั้นเราคิดว่าคงปั่นข้ามจังหวัดไม่ได้แน่ แต่ตอนนั้น ยอมแพ้กันแล้วสำหรับวันแรก เราคุยกันว่าเหตุอันใดที่ทำให้เราดู เหมือนคนอ่อนแอปานนั้น เรามาสรุปทีหลังว่าน่าจะจากอากาศ ที่ร้อนจัด ถึงแม้จะเป็นเวลาบ่ายก็ตามที แต่ริมทะเลแดดจะแรง กว่าปกติ

เราปั่นผ่านบ้านชายทะเล เลาะริมหาด มากเท่าที่จะปั่นกันได้ถึงแม้ จะเป็นเส้นทางอ้อม เพราะเราสองหวังว่าจะการปั่นครั้งนี้เราจะ เลาะริมหาดกันแบบสุดๆ วันนั้นเราปั่นมาถึงบ้านบางเบิด ตอน 6โมงเย็นกว่าๆ ตอนนั้นฟ้าเพิ่งเริ่มมืด ยังพอมองเห็น แต่เราสอบถามคนแถวนั้น เขาว่าอย่าปั่นไปเลย เพราะทางเปลี่ยว เนื่องจากดึกๆไม่มีคนสัญจร อีกอย่าง ระยะทางอีกไกลโขกว่าจะถึง ชุมพร ชาวบ้านละแวกนั้นบอกให้เรานอนที่นั้น แต่ว่าเราคงนอนไม่ได้ เพราะจะทำให้เราปั่นไม่ถึงชุมพร หรือถึงในวันรุ่งขึ้น เราก็จะปั่นกลับมาทางบ้านกรูดช้า หรือ ไม่ได้ปั่นเลาะ หาด เราจึงตัดใจเช่ารถไปชุมพรทันที ตอนนั้น เราเช็คระยะที่ปั่น เราปั่นกันมา 60 กว่าโลแล้ว เราก็พอใจสำหรับวันนั้น เราได้รถกระบะนิสสันพาเราไปส่งที่ชุมพร คนขับรถชื่อพี่ยุทธ พี่ยุทธไม่ใช่คนเดียวที่ไปส่งเราถึงชุมพร พี่ยุทธพาภรรยาคู่ใจนั่งไปด้วย เราคุยกันไประหว่างทาง 80กว่าโลที่เราไม่ได้ปั่น ได้ความว่าพี่ยุทธ กำลังทำงานเพื่อสังคม เล็กๆของพี่ยุทธ เราถามพี่ยุทธว่าจริงๆ แล้วบางเบิดอยู่ในเขต จังหวัดอะไร
พี่ยุทธเฉลยว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง2จังหวัด นั้นหมายความว่าเราเองได้ปั่นข้ามจังหวัดแล้ว โดยไม่รู้ตัว พี่ยุทธว่า แค่ข้ามคลองเล็กๆ ตอนที่เราปั่นหารถเช่านั้นละ
เราคุยกันหลายเรื่อง ทำให้เห็นว่าพี่ยุทธรักสังคมบ้านเกิด และเขาเองก็เป็นคนธรรมะธรรโม เราสองคนคุยกันเองว่าเรา โชคดีที่เจอคนดีๆ

เรานั่งรถกันเรื่อยๆ จนถึงชุมพร พี่ยุทธส่งเราใกล้ตลาด แล้วเราก็ร่ำลา บอกว่าวันพรุ่งนี้จะกลับไปหาที่บางเบิดอีก แต่เราจะปั่นจากชุมพรไปหาจริงๆ

ที่ชุมพร หนิงเคยมาพักที่โรงแรมนานาบุรี ตอนนั้นไปเที่ยวกับ แก๊งค์พี่ต๋อง ห้องที่พักราคา 700 รวมอาหารเช้า สะอาดและปลอดภัย เราจัดแจงอาบน้ำ และออกไปหาอาหารทาน

กว่าเราจะออกไปทานมื้อค่ำ มันก็เป็นเวลาดึกแล้ว ร้านอาหารส่วน ใหญ่ก็เริ่มปิด เราวนไปมา จอดแวะ ตั้งท่าจะได้กิน แต่ก็มีเหตุให้หาที่ใหม่ สุดท้ายเราไปเจอร้านข้าวต้มกุ๊ย ปากทางเข้าโรงแรมจันทรสม ชื่อร้านนายทอง เราสั่งผัดกุ้ยช่ายขาวหมูกรอบ สะตอผัดกุ้งกับกะปิ ปลาทอด ผักเหลียงผัดไข่ ขอบอกว่าเมนูสุดท้ายเป็นจานโปรดของพี่โหนก เพราะสั่งทุกรอบ หรือว่ากินเพื่อพิสูจน์ว่าที่ไหนอร่อยที่สุดก็ไม่รู้
กินกับข้าวต้มกุ๊ย อร่อยเหาะ โดยเฉพาะสะตอ เรียกว่ากินจนห้องน้ำแตกกันไปข้าง

หลังจากของคาว เราก็ตบด้วยของหวาน พี่โหนกพาไปกินขนมปังสังขยา ร้านยาย…. จำชื่อไม่ได้ …
อร่อยทีเดียว เนื้อสังขยาจะไม่เนียนเหมือนสมัยใหม่ เป็นแบบบ้านๆ รสไม่หวานจัด กินพร้อมชานมเย็น อร่อยนัก

เราปั่นกลับที่พักพร้อมสอยเอาหมอนวดไปนวดต่อในห้องอย่างสุขี


วันจันทร์ที่5 เมษายน ข่าวว่าวันนี้เป็นวันที่ร้อนมากวันนึง
ไม่ใช่แต่ร้อนกาย แต่ร้อนใจอีกแล้วครับท่าน

วันนี้เราตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะระยะที่จะปั่นวันนี้มันเกือบ 100 โล ทีเดียว เราหาอาหารเช้ากิน เราสองปั่นออกนอกเมืองเล็กน้อย เพื่อตามล่าหาร้านอร่อยที่พี่โหนกไปสืบค้น ชื่อร้านยายปวด ร้านนี้อยู่ในซอยทางเข้าวัดบางหมาก ประมาณกลางซอย กว่าเราจะถึงก็ปั่นกันน้ำย่อยออกเหมือนกัน แต่ปรากฎว่าปิดคะ ร้านเปิดประมาณ10โมง เราเลยเซ็งๆนิดๆ แต่ก็รู้แล้วว่าร้านอยู่ไหน เรียกว่ามาคราวหน้าไม่พลาดแน่ เราสองปั่นคอตกกลับมากินขนม จีนในละแวกใกล้เคียง ก็อร่อยประมาณนึง มีแกงหยวกป่ากินด้วย แปลกดีไม่เคยกินมาก่อน

เราหาเครื่องดื่มเย็นที่จะเพิ่มคาเฟอีนสำหรับวัน พี่โหนกเจอ ร้านถูกใจ ที่ทำกาแฟได้อร่อย สมใจนึกบางลำพู

เราเก็บข้าวของและออกจากโรงแรม 10 โมงกว่า หนิงเสนอว่า ปั่นไปหาดทุ่งวัวแล่น แล้วพักแถวนั้นก่อน ให้หายร้อนแล้วค่อยปั่นยาวไปบางเบิด พี่โหนกเสนอให้เอา น้ำรดตัว เพื่อกันร้อน ซึ่งเป็นที่ตกลงกัน เราปั่นขนานทางรถไฟไม่นานเราก็พ้นเมือง ปั่นไปได้สักพัก เราก็เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ ชายฝั่งทะเล เราปั่นรับลมทะเลเอื่อยถ้าเทียบกับเมื่อวาน ที่ปั่นจากบ้านกรูดลมวันนี้เบากว่ามาก อาจจะเพราะเราปั่นตาม ลมด้วย
เราใช้เวลาไม่นานก็ถึงหาดทุ่งวัวแล่น ที่นี้จัดว่าเป็นหาดที่สวยมากทีเดียว คงติด1ใน3 หาดสวยสุดบนชายฝั่งอ่าวไทยก็เป็นได้ แต่เสียอย่างเดียวว่า มีการอนุญาตให้สร้างสิ่งก่อสร้างบนหาด ซึ่งข้อนี้เองที่เสียเปรียบบ้านกรูดอย่างแรง

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหาดทุ่งวัวแล่น เมื่อก่อนนานมากแล้ว นานกาเลมีนายพรานนายนึงออกเดินทางล่าสัตว์ อยู่หาดริมทะเล ในขณะที่กำลังถอดใจ นายพรานก็พลันได้ยินเสียงเยื้องเท้า ของสัตว์ ใหญ่ นายพรานคว้าธนูคู่ชีพ กำกระชับแน่น หยิบศรแหลมยาว มาวางบนคันธนู สายธนูถูกดึงจนตึงแขน สายตานายพรานจับจ้องไปทางต้นเสียง ลมหายใจแทบหยุดนิ่ง ทันใดนั้นเอง เจ้าของร่างใหญ่เดินเยื้องออกมาพร้อมเขาโง้งสวยงาม ฉับพลัน ศรแหลมก็ถูกกำหนดให้วิ่งฝ่าอากาศ พุ่งไปยังเจ้าของร่างใหญ่นั้น วัวตัวใหญ่ล้มลงสนั่นพื้น แผ่นดินสะเทือน เพียงแค่ล้ม ลมหายใจยังดำเนิน ถึงแม้จะเบาลง แต่เจ้าของร่างพยายามยืนหยัดเพื่อเอาตัวรอด พรานไม่รอช้า จัดการดึงคันศร ปล่อยให้ธนูแหลมคมพุ่งซ้ำไปที่วัวใหญ่ แล้วในไม่ช้า วัวใหญ่ก็สงบลง นายพรานเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็นึกดีใจว่าวันนี้ละ เราสบายแล้ว พรานหนุ่มจัดแจง หยิบมีดพร้าเล่มใหญ่เหมาะมือ เดินตรงเข้าไปหาวัวใหญ่ พรานหนุ่มลงมีดไปบนตัว เขาทำอย่างชำนาญ และอารมณ์เย็น
ชั่วขณะที่ลมพัดผ่านท้องทะเลมายังริมหาดนี้เอง วัวใหญ่ฉับพลันขยับตัว ลุกขึ้น พรานหนู่มตะลึงงัน มีดตกลงพื้น แล้ววัวใหญ่ที่ยืนตระหง่าน จับจ้องมองตาพรานหนุ่ม พรานหนุ่มตกใจทำอะไรไม่ถูก ตาสบตา วัวใหญ่ เหมือนรู้ว่าชัยชนะเป็นของตน วัวใหญ่วิ่งหนีจากไปทั้งที่ร่างกายถูกทำลายแล้ว วัวจากไปด้วยชัยชนะเหนือนายพราน ที่คิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือ
เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นที่มาของชื่อหาดทุ่งวัวแล่น

เราสองคนปั่นหาโรงนวด พี่โหนกอยากนวดริมหาด แต่เจ้าของกิจการว่า เขาไม่อนุญาต อาจเพราะบริเวณนั้นเป็นของชุมพรคาบาน่า เราจึงปั่นเขาไปชมกิจการ เขาทำแบบธรรมชาติ แต่ไม่โดนเราเท่าไหร่ เราปั่นเลาะหาดออกจากคาบาน่ามาเรื่อยก็ เจอร้านนวดเปิดใหม่ ร้านนี้จัดว่าดีทีเดียว ราคาไม่แพงมาก เรียกว่าไม่หักคอจิ้มเกลือ เรานวดฝ่าเท้ากัน2ชั่วโมง หนิงโวยพี่โหนกว่าเราlateกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วโวยมากไปก็เท่านั้น อย่างมากก็เรียกรถขึ้น แต่จากข้อมูลที่ได้มา เค้าว่าทางจากชุมพรลงประจวบ จะเป็นทาง ลงซะส่วนใหญ่ เราก็หวังเช่นนั้น ออกจากร้านนวด เราแวะทานlate lunch อาทิ ข้าวผัดปู กระเพราะกุ้ง ไข่เจียว จากนั้น เราก็รดน้ำตัวเองและออกเดินทางต่อเกือบ บ่าย3โมง

เราปั่นกันเรื่อยๆจนถึงปะทิว พี่โหนกจัดแจงหาเส้นทางจาก GPS โดยเลือกเส้นทางจากในนั้น หากว่าเราอยากปั่นทะเล พี่โหนกก็จัดให้ เส้นทะเลมักจะเป็นเส้นที่อ้อม หากเรามีเวลามาก พอก็น่าปั่นไป แต่วันนี้พี่โหนกเลือกเส้นใน ทางลัดที่ป้าแมรี่(GPS) บอกมา เราปั่นไปเรื่อยๆ เส้นทางส่วนใหญ่เป็น rolling ไหลลงซะมาก ผิวถนน เรียบ ไม่มีหลุมบ่อให้รำคาญใจ สองข้างทางเป็นสวนยางพารา และสวนปาล์ม บางช่วงที่ขึ้นเนิน เราสามารถมองเห็นทะเลด้วย สองข้างทางที่เป็นสวนมักจะเลี้ยงหมาเอาไว้เฝ้าสวน และคนขี่จักรยานผ่าน เพราะถูกหมาไล่มาตลอดทาง จนต้องหยุดทะเลาะกับพวกมันตลอดเวลา

เราปั่นกันจนเหลือแค่ 30 กิโลก็ถึงบางเบิดแล้ว ตอนนั้น เวลาประมาณ 5โมงเย็น เราแวะกินหมูปิ้ง พร้อมซื้อติดมาด้วย เผื่อว่าเราถึงดึกมาก เรายังพอมีอาหาร ระหว่างทาง เราปั่นจนท้องฟ้าเริ่มมืด สายตาเรายังพอมองได้ แต่เราสองเตรียมพร้อมมาเพื่อการนี้ เราติดไฟหน้ารถ และท้ายรถอย่างดี เราปั่นจนเหลือแค่ 20 โลเอง แล้วเราก็เจอคนใจดีแถวนั้น ชวนไปนอนที่บ้านเขา เขาเป็นชาว สวนปาล์ม มีบ้านริมทะเล ซึ่งเราก็มองเห็นจากถนน แต่เราตั้งใจกันไว้แล้ว ก่อนจากกัน เค้าเตือนเราไม่ให้ใช้เส้นทางเลาะทะเล เพราะ ’ควน’ เยอะ ‘เนิน’นั้นเอง เราปั่นมาเรื่อยๆจนมืด มองท้องฟ้าก็เริ่มเห็นดาว บนท้องฟ้า สองข้างทางที่ปกคลุมไปด้วยสวนเริ่มมืด มองข้างทางจะเห็นแสงไฟจากบ้านคน ห่างกันพอสมควร บางช่วงก็ไม่เห็นแสงไฟเลย อากาศเริ่มเย็น แมลงเริ่ม เยอะขึ้น พี่โหนก เตรียมแว่นใสมาใส่สำหรับการนี้โดยเฉพาะ เราปั่นไปคุยไปตลอด จนถึง จุดหักเห เรื่องของหมาๆ ทำให้นายมัน เดือดร้อนจริงๆ จากเรื่องหมาๆที่ไม่เป็นเรื่อง ความเงียบก็เริ่มครอบคลุมรอบตัวเรา ตอนนั้นเราเงยหน้าดูดาว จากเดิมที่เห็นไม่กี่ดวง ตอนนี้เต็มไปด้วยดาวน้อยใหญ่ เราปั่นกันเงียบๆไปด้วยกัน ถึงแม้เราจะขัดคอกันก็ตาม แต่การมา ด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน หนิงคอยทำลายความเงียบเป็นช่วงๆ แบบทำให้พี่โหนกรำคาญ ที่สุดเราสองก็ปั่นมาจนถึงบ้านบางเบิดจนได้

เราตรงไปที่ร้านครัวขันทอง ไม่ใช่ร้านพี่ยุทธ แต่เป็นร้านที่แนะนำ พี่ยุทธให้เรา เราสั่งอาหารและตัดสินใจพักที่นั้นเลย คืนนั้นเราต่างคนต่างอยู่

วันอังคารที่6เมษายน วันสุดท้ายของtrip


วันนี้เราเริ่มtripด้วยคำน้อย ให้พอสะเทือนใจ เราตกลงว่าหาอาหารง่ายๆทานก่อนออกจากบางเบิด หนิงเดิน ไปหาพี่ยุทธและภรรยา บอกว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ว่าไม่ได้มา หาเพราะเหนื่อยมากๆ เราทานโจ๊กก่อนออกเดินทาง ก่อนออกเดินทางเราเตรียมน้ำไว้สำหรับรดตัวด้วย เราปั่นออกมาเส้นทางเดิม คือเลาะทะเล มาเรื่อยๆ น้อยคำเริ่มหายไป มากคำเริ่มเพิ่มขึ้น แต่ถึงนั้น เราก็ยังคงห่างอยู่ แต่ ถึงอย่างไร เราก็ยังคงปั่นไปพร้อมๆกัน อากาศเริ่มร้อน เราเริ่มรดน้ำรอบแรก ช่วยได้จริงๆ วิธีการนี้เราเริ่มใช้ ครั้งแรก ตอนไป trip แม่สลองด้วยกัน
เส้นทางมีเนินให้พอเหนื่อย เราปั่นแค่ไม่กี่10โล ก็ถึงบางสะพาน น้อยแล้ว เราหาห้องน้ำ ห้องท่าเข้า แล้วเราก็รดน้ำดับ ร้อนกันอีกรอบ

คราวนี้เราตียาวมาจนถึงอำเภอบางสะพาน ระยะทางตอนนั้นก็กว่า 40โลแล้ว แดดก็เริ่มร้อนมากขึ้น เราแวะดับร้อนที่7-11 สบายขึ้นมาหน่อย เรารดน้ำอีกรอบ ก่อนออกเดินทาง คราวนี้เราไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ แดด ที่แรงทำให้เราต้องแวะรดน้ำ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ เราคงเป็นลมแดดกันไปแล้ว จากบางสะพาน พี่โหนก เลือก เส้นทางที่สั้นกว่า คงเพราะอากาศ และบรรยากาศที่ทำให้ควรแก่การถึงที่หมายให็เร็วที่สุด เราสามารถปั่นถึงบ้านกรูด ตอน 11 โมงครึ่ง

เรากลับมาที่ร้านหนูอีกครั้ง เพราะจะได้ไม่ต้องรีบร้อนนัก ตรงนี้เราเริ่มสบายๆ ทั้งอารมณ์ ทั้งกาย การได้นั่งพัก และทานอาหารอร่อย หลังจากตรากตรำมาช่างเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว หนิงเดินลงทะเล เพื่อสำรวจว่านอกจากตาที่เห็นแล้ว สัมผัสนั้นจะช่วยบอกได้ ว่าทะเลนี้ น่ากลับมาอีกหลายๆครั้ง

เราทานอาหาร แต่ก็อดทานส้มตำเนื้อปูแสนอร่อยของพี่โหนก
หลังของคาว เรากลับไปร้านกาแฟ ที่เราร่ำลาก่อนออกไปผจญภัย น้องๆตกใจว่าทำไมกลับมาแล้ว น้องบอกว่าพี่ดูช้ำนิดหน่อยเอง
เราขออาบน้ำอาบท่า ถ่ายรูปเล่นๆ ก่อนกลับเรามองออกไปยังทะเลกว้าง ลมทะเลพัดกระทบหน้า ความร้อนผ่าว เรามาเพื่อซึมซับเอาสิ่งที่ธรรมชาติระบายมาใส่ตัว เรากลับกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ หนิงบอกพี่โหนกว่าอยากกลับมาปั่นอีกด้วยรถพับ
อีกนานแค่ไหนไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ แต่เชื่อแน่ว่าวันนั้นคงต้องมี

เส้นทาง
วันแรก
บ้านกรูด-อ่าวบ่อทองหลาง-อ.บางสะพาน-อ่าวบางสะพาน
อ.บางสะพานน้อย-บ้านบางเบิด
ระยะทางเกือบ60กิโลเมตร

วันที่สอง
ชุมพร- หาดทุ่งวัวแล่น- อ่าวบ่อเมา- ปะทิว-บ้านบางเบิด
ระยะทาง 90กิโลกว่า เกือบ 100กิโลเมตร

วันที่สาม
บ้านบางเบิด- บางสะพานน้อย-บางสะพาน-บ้านกรูด
ระยะทาง เกือบ 50กิโลเมตร


เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า และ มะโหนก

3 ความคิดเห็น:

  1. ต้องตั้งชื่อว่าปั่นสบาย กินจนตาลายตะหาก

    ตอบลบ
  2. เออวะ กินจนตาลาย 555

    ตอบลบ
  3. ร้านยายปวด เนี่ยน่าสนใจ
    ครั้งต่อไปคงเป็นแฝดที่ได้ร่วมทางนะขิง
    มีเราสองสามคนก็คงฮาไม่แพ้ครั้งแรกหรอก

    ตอบลบ