วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

อัมพวามหาสงกรานต์





เที่ยวอัมพวามหาสงกรานต์

ทุกปีช่วงสงกรานต์ ครอบครัวเราจะต้องตกลงกันว่าจะไป เที่ยวไหนดี จะไหนหรือนอกประเทศกต้องตกลงและ จัดการให้เรียบร้อนก่อนเดือนมีนา ปีนี้พ่อ ถามว่าจะไปไหนกัน ลูกๆก็เงียบ ด้วยเนื่องจากไม่ได้ตกลงกันก่อน และหนิงก็เริ่มไม่แน่ใจ ว่าจะลาได้กี่วัน จริงๆตอนแรกเลยญาติที่ฮ่องกง จะมาเยี่ยม แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ยกเลิก พวกเราเลยเฉยๆกันก่อน ตอนแรกกะว่าจะพาพ่อไปขับรถเที่ยวแถวอ่างทอง ไปดูพระใหญ่ ที่เขา ว่าใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากองค์ที่พวกตะลีบันทำลายลง แต่อากาศอย่างนี้ พ่อคงไม่ชื่นชมกับพระเท่าไหร่

พ่อคงรอคำตอบจากลูกๆนานมาก เลยบอกว่าจะตามอาดาไปเที่ยวตรัง แทน มาไม้นี้ หนิงก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว จำได้ว่าเคยได้เมล์จากเพื่อนๆเรื่องที่พักแถวอัมพวา เลยลองหาดูอีกที เจอwebพอดี หลังจากลองเข้าไปดูให้ถ้วนถี่แล้วก็ตัดสินใจว่าไปนอนเล่นสักคืน ถามน้องชาย ‘เอ๊ะ’ เขาก็โอเคเห็นดีด้วย เลยจองไปก่อน 1คืน กะว่าอีกคืนจะไปนอนทะเลเล่น เลยคิดว่าจะไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่ ปราณบุรีสักหน่อย ก็คงจะไม่เลว แต่เมื่อเช็คที่พักทำให้เราเลือกที่จะพักที่อัมพวา 2คืนแทน ก่อนออกเดินทาง ยังพบว่าพี่ชายที่จะไปเยี่ยมที่ปราณไม่อยู่ ทำให้เรา ต้องเปลี่ยนแผนกันวันต่อวัน

รายงานแผนการทุกอย่างให้พ่อแล้ว พ่อโอเค ดีกว่าอยู่กรุงเทพ
ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะพาไปทำอะไรบ้าง รู้แค่มีตลาดน้ำ และหิ่งห้อย

เช้าวันอาทิตย์ที่11
เราเลือกวันนี้เพราะเมื่อวานแม่ยังต้องไปสอนหนังสืออยู่ เป็นอาจารย์ ก็อย่างนี้ สอนทุกวันถ้ามีตาราง เสาร์อาทิตย์ กลางวัน กลางคืน ดีว่าปีนี้ แม่ปลดเกษียณแล้ว จะได้อยู่เป็นเพื่อนเล่นกะพ่อซะที พ่อเหงา

เราตกลงออกเดินทาง ตอน10.30 เพราะหนิงให้เหตุผลว่า ออกช้ารถติด กินข้าวเที่ยงไม่ทัน ในรถประกอบไปด้วย พ่อ แม่ น้องชาย น้องสาวคนใหม่และหนิง หนิงวางแผนว่าจะพาไปกินข้าว เที่ยงร้านคุณตุ่มที่ มหาชัย ร้านนี้อ่านเจอในหนังสือเกี่ยว กับอาหารเล่นนึง และเคยพาเพื่อนโต้งและผองเพื่อนมาพิสูจน์กันแล้ว ทุกคนชอบ คราวนี้เลยกะว่าจะพาพ่อมาพิสูจน์ดู

ร้านคุณตุ่ม อยู่ทางไป วัด เจษฎาราม มีห้องแอร์ 2ห้อง และยังมีแบบ open air อีก 2 ส่วน เรียกว่า ถ้าโชคดีก็ไม่ต้องนั่งกินไปร้อนไปในหน้าร้อนอย่างนี้ วันนั้นเราไปโชค ไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไปถึงก่อนเที่ยง แต่ก็เป็นช่วงหยุดยาว ผู้คนที่เดินทาง ออกต่างจังหวัดจึงมากมายทีเดียว

อาหารวันนั้นที่เราสั่ง เป็นอาหารทะเลทั้งนั้น เนื่องจากเพราะมหาชัย เป็นเมืองที่ประมงมาขึ้นที่นี้ หลายครั้งที่เพื่อนฝูงจะมาหาซื้อของทะเล ไปเวลาจัดงานปาร์ตี้
เราสั่งปลากระพงทอดน้ำปลา ทอดมันปลา กุ้งทอดเกลือ ข้าวผัดปู แกงส้มปูไข่ อาหารแต่ละอย่างมีรสชาดโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง ชนิดที่เราไม่อาจปฏิเสธรสชาดได้เลย เราลิ้มรสอย่างเมามันส์ จานแล้วจานเล่า ผ่านไปจนกระทั่ง แกงส้มปู เหมือนหนังขาดตอน เป็นเพราะเราสั่งไม่เหมือนชาวบ้าน การปรุงเลย พิสดารกว่า แต่ในที่สุด ปูแกงส้มก็ถูกยกมา แต่ขอบอกว่าด้วยอาการเร่งทำหรือ ไงไม่รู้ แกงรสชาดจึงไม่กลมกล่อม น่าเสียดาย

หลังจากเราเสร็จกิจกรรมการกิน เรายังได้ของหวาน ลอดช่องวัดเจษฯ เป็นของแถมจากทางร้าน

หลังจากอิ่มหนำสำราญ เรานั่งรถเที่ยวเล่นเมืองมหาชัยเล่นๆ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ไป วัดโกรกกราก เพราะอยากดูพระประธาน ใส่แว่นดำ ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส จะไปดูว่าเพราะอะไรท่านถึง ต้องใส่แว่นดำ

เราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สมุทรสงคราม เพื่อเข้าที่พัก ยังไม่ได้บอกว่าที่พักเราชื่ออะไร แต่จะบอกว่าที่พักอยู่ริมคลองประชาชมชื่น ใกล้ๆกับอัมพวา ถ้าขับรถจากที่พักไปก็แค่ 5กิโลเอง แต่ถ้านั่งเรือ ก็สัก 10 นาที อาจจะเร็วกว่า ถ้าซิ่งๆ
ทางเข้าที่พักดูสลับซับซ้อน จนน้องชายนายเอ๊ะ เริ่มหวั่นไหว เราแกล้ง บอกว่า แสนจะชาวบ้านนะ น้องก็บอกว่าชอบ อยู่ได้ พอเราบอกว่า ต้องนอนมุ้ง อาบน้ำในตุ่ม น้องเริ่มทำเสียงแข็งๆ ว่าจะดีเหรอ
เราเองก็เริ่มตุ๊มๆต่อมๆ เพราะทางเข้าที่พักดูไปก็มีแต่สวนมะพร้าว ร่องผัก ต่างๆนา ชวนให้คิดว่า นอนบ้านเก่าๆ ตุ๊กแกเยอะๆแน่
ในที่สุด น้องก็ขับรถเข้ามาถึง ‘ณปลายโพงพาง’ สถานที่ได้รับการดูแลอย่างดี ต้นไม้ตกแต่งสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ เราเดินเข้าไป check in กับคุณ จอย เจ้าของสถานที่ คุณจอยยังดูเด็กกว่าที่คิดไว้เยอะ อายุน่าจะ 20 ปลายๆด้วยซำ้ เราได้บ้านแฝด ที่มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และเสริมที่นอนให้ 1 ที่ สภาพห้องน่ารัก ไม่ใหญ่โต ไม่คับแคบ ห้องน้ำโปร่ง สะอาด ทั้ง2ห้อง มีเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่มีตู้เย็น มีทีวีและน้ำขวดให้ หน้าห้องมีส่วนนั่งเล่น ออกจากตัวบ้าน ก็เป็นคลองเลย น้ำใส สะอาด เดินไปหน่อย จะมีโตะนั่งเล่นตรงท่าน้ำใกล้บ้าน มองไปฝั่งตรงข้ามมีบ้าน เรือนไทยปลูก อยู่หลัง ดูเหมือนจะมี ตากะยายอยู่กัน 2 คน บ้านที่เราพัก ใกล้กับส่วนที่เป็น reception และ ห้องอาหาร แต่ไม่ได้มีเสียงรบกวน เนื่องจากทางที่พักไม่นิยมให้ใช้เครื่องขยายเสียงทำเสียงดัง แขกที่พักส่วนใหญ่ชอบความสงบ จะดื่มเหล้า ยาปลาปิ้ง ก็เงียบๆ เฉพาะกลุ่ม ที่พักแต่ละหลังมีเอกรักษ์ บ้างทำจากปูน บางทำจากไม้หรืออิฐ สีสันก้ไม่ซ้ำกัน นัยว่าเจ้าของเป็น artist จากเพาะช่าง

หนิงเดินสำรวจรอบๆ แอบพอใจนิดๆที่ทำเลที่พักเราดี เพราะสะดวก ต่อการเคลื่อนย้าย ผู้ใหญ่ ก็ไม่อยากเดินไกลเท่าไหร่ และอีกอย่างก็รายล้อมไปด้วยผู้คน ไม่เปลี่ยวใจ ส่วนใหญ่แขกที่พัก จะเป็นวัยนักศึกษา ถึงผู้ใหญ่ ไม่ให้ครอบครัวเล็กๆ ที่มีเด็กสักเท่าไหร่

เราให้เวลาทุกคนส่วนตัว ก่อนเจอกันอีกที 4โมงเย็น เพราะหนิงนัดเรือหางยาวไว้สำหรับเที่ยวคืนนี้ เอ๊ะ ไปนวด พ่อกับแม่ นอนพักดูทีวี อรนอนเล่น หนิงเดินไปมา หานั่งสืออ่าน สายตาสอดส่องผู้คน เห็นเรือหางยาวจอดรอลูกค้าอยู่ 3-4 ลำ เราเลือกไว้ลำ นั่งอ่านหนังสือริมคลองจะได้ยินเสียงเรือรับ จ้างวิ่งไปมาตลอดเป็นที่สนอกสนใจของหนิงยิ่งนัก ยิ่งเห็นเรือที่บรรทุกของมา ก็จะยิ่งสงสัยนักว่ามีอะไรในเรือ
อีกอย่าง แอบดูแขกของที่พัก ประมาณการว่าเค้ามาจากไหน และไปไหนต่อ หรือจะไไม่มีที่ไปเหมือนเรา จนในที่สุด คำถามที่คาใจ ก็ได้คำตอบ ถ้าคะเนด้วยตาแล้วรู้ หนิงก็คงไม่ใช่คนธรรมดา ถามดีกว่า แน่นอนที่สุด หนิงเริ่มจากน้องข้างๆห้องที่ check in เข้ามาทีหลังเรา ได้ความว่า น้องสาวทั้ง2 จะนอนอยู่ เป็นเพื่อนบ้านกัน 2 คืน แต่หลังจากนั้นไม่รู้ หลายคณะที่แอบถามวันถัดมา บางกลุ่มมาจากราชบุรี ไปนอนสวนผึ้งมา บางคู่ กำลังจะไปหัวหิน บางคณะ มาพร้อมกับเรา และจะกลับบ้านพร้อมกับเรา เอาเป็นว่า ส่วนใหญ่ มาแค่ 1 คืนเท่านั้น

หลังจากเราใช้เวลาส่วนตัวกันแล้ว เราก็ออกเดินทางโดยเรือหางยาว ลุงที่จองไว้หนีไปกับลูกค้าคนอื่น ทิ้งหนุ่มน้อยให้เราคน เราเลยขอให้หนุ่มพาเราไปเที่ยว วัดสัก 2-3 แห่งก่อน ค่อยไปเที่ยวตลาดน้ำเพราะยังร้อนเกินกว่าจะไปเดินได้ หนุ่มขับเรือพา เราไปวัดภุมรินทร์กฎีทอง ที่วัดนี้มีกุฎีหลังเก่าสร้างสมัยรัชกาลที่1 กุฎีหลังนี้ เป็นสักทั้งหลัง แต่เสาเรือนสึกกร่อนพังลง เหลือเสาต้นเดียว ซึ่งว่ากันว่ามีเจ้าหญิงสาวิตรีอยู่ในเสา ใครขอพรอะไรได้ ก็จะนำเสื้อผ้าผู้หญิงมาแก้บน
สำหรับ ตัวกุฎี ตามประวัติ สร้างโดยเศรษฐี แห่งแม่กลอง เนื่องเพราะลูกสาวเศรษฐี ได้รับการทำนายว่าจะได้เป็นนางพญามหากษัตริย์ เมื่อคำทำนายเป็นจริง เศรษฐีเลยมาสร้างกฎีถวายหลวงพ่อที่ทำนายให้
ที่นี้ เราจะเห็น ไกด์ท้องถิ่น คือเด็กๆ อายุราว 6-10ขวบ 2-3 คน หลายที่ในเมืองไทยที่ให้เด็กมาทำหน้าที่นี้ เป็นการฝึกฝนที่ดี เด็กๆ มักได้ค่าตอบแทน 20บาท เป็นค่าเหนื่อยในแต่ละครั้ง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว

เราออกจากกุฎีมารอเรือที่ท่าน้ำ จึงเห็นว่า แม่น้ำแม่กลองนี้ใหญ่ไม่ใช่ เล่น น้ำสะอาดและเย็นเมื่อเอามือจุ่มลงไปสัมผัส เรารอเรืออยู่พอ สมควร เนื่องจากมีท่าขึ้นลงท่าเดียว เราจึงต้องรอคิว ใครก่อนหลัง ขึ้นก่อน หรือลงก่อน หลังจากวัดภุมรินทร์ หนุ่มชาวเรือ พาเราไปไหว้หลวงพ่อโต พระที่ใหญ่ในคุ้งน้ำนั้นที่วัดท้องคุ้ง ที่นี้พ่อได้ ทำการเสี่ยงเซียมซี เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่งนัก หลังจากนั้นพ่อก็เสี่ยงท้าย ด้วยการยกช้าง ก็สำเร็จด้วยดี เดินกลับมาขึ้นเรือหน้าแช่ม

ระหว่างทางลงเรือเราเห็นชาวบ้านมาดักขายเต่าขายปลา ให้เราทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ ตัวไม่กี่บาทเอง ใจนะอยากปล่อย แต่อีกใจก็ไม่แน่ใจว่าปล่อยแล้วเราจะทำให้สัตว์เหล่านั้น ตายเร็วไป หรือเปล่า เพราะแม่น้ำที่กว้างใหญ่ และเรือที่วิ่งไปมา บวกกับสัตว์บางชนิด เช่นเต่า ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เต่าแม่น้ำก็ได้

หลังจากออกจากวัด เรามุ่งหน้าไปตลาดน้ำอัมพวา ตอนแรกบอกพ่อว่า พ่อต้องซื้ออาหารกินบนเรือ พ่อนะไม่อยาก แต่อรนะ อยากอยู่ แต่พอเอาเข้าจริง หนุ่มขับเรือบอกเราว่า เราต้องเดินไปหากินเอง บนบกเพราะมีสองเท้า ไม่ต้องมากินบนน้ำ (อันนี้เติมเอง เค้าไม่ได้พูด)

เป็นอันว่า เราทั้งหลายต้องปีนตลิ่งขึ้นไปเดินเบียดเสียดกับผู้คน ที่มาเที่ยว เช่นเดียว กับเรา เราตกลงเวลากลับกับหนุ่มเรือเป็นที่เรียบร้อยก่อนขึ้นฝั่ง
เรามองไปสองฝั่งคลอง ทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่มาทางรถ และทางน้ำ เราตกลงกันว่าจะเดินไปจนสุดทางแล้วค่อยตกลงว่าจะทานอะไร แต่ข้อแม้มีอยู่ว่า ควรจะหาร้านที่มีช่อง 3ให้พ่อดู เพราะพ่อติดหนัง เกาหลี (วัยรุ่นมากๆ)

ข้างทางเต็มไปด้วยข้าวของเสื้อผ้าที่ระลึกเกี่ยวกับอัมพวา ส่วนริมน้ำก็มีเรือมาขายของกินสารพัดอย่าง เช่นผัดไท หอยเชลเผา คือใครใคร่กิน กิน, ใครใคร่ช๊อป ช็อป เราแยกกันเดิน เอ๊ะไปกับอร พ่อกะแม่ ก็พากันไป หนิงเดินเดี่ยว ดูของไปเรื่อยๆ เราไปเจอกันสุด ทาง เอ๊ะบอกเจอร้านที่มีทีวีให้พ่อ ทุกคนตกลงกัน เพราะพ่อเริ่มร้องหาทีวี ร้านที่ว่าเป็นร้าน 2ชั้น มีระเบียงชั้นบน เรา นั่งชั้นล่าง หน้าทีวี อาหารที่เราสั่งวันนั้นมีผัดผักบุ้ง ปลาทูต้มยำ หอยจ้อ ปลาหมึกเผา กุ้งอบวุ้นเส้น กุ้งเผารสเด็ด แล้วยังสั่งหอยเชลเผามาทานเล่นๆ เราไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่กับอาหาร แต่ปรากฎว่า อาหารอร่อยทีเดียว กินกันไม่เหลือสภาพในตอนแรกเลย ต้มยำน้ำอร่อยมาก ถูกใจ เราแอบมองไป พบว่าคนทำครัวเป็นผู้ชายวัยกลางคนมากด้วยประสบการณ์นี้เอง รสชาดถึงได้ดีนัก

วันนั้นเรียกว่ากินกันอร่อยทุกมื้อ พ่อกับแม่ตบท้ายด้วยไอติมกะทิ ถูกใจพ่อมาก

ก่อนกลับ เราข้ามสะพานมาเดินอีกฝั่ง เป็นการสำรวจตลาด พบว่าทางเดินด้านนี้แคบกว่าอีกด้าน ส่วนสินค้าก็หลากหลาย สำหรับ นักช๊อปทั้งหลายก็ควรใช้เวลาในการเดินดูและซื้อของ สิ่งที่พบว่าด้านนี้ต่างกับด้านแรกที่เราเดินคือ จะมี ที่พัก หลายแห่งริมน้ำ ดูน่ารัก พร้อมทั้งยังจัดที่ส่วนตัวสำหรับแขกที่พัก นั่งเล่นๆริมน้ำด้วย ตลาดอัมพวาจะเปิดราว 4โมงเย็น ปิด 3ทุ่ม

หลังจากเราenjoyตลาดน้ำแล้ว เราก็นั่งเรือกลับ ระหว่างทางกลับที่พัก คือเส้นทางที่เขาจะไปดูหิ่งห้อย ที่นี้เป็นที่ที่มีหิ่งห้อยเยอะแห่งนึง โดยเฉพาะใกล้กรุงเทพ หิ่งห้อยที่นี้เป็นหิ่งห้อยน้ำกร่อย จะอยู่กันเป็นกลุ่ม และจะกระพริบแสงเมื่อต้องการหาคู่ ชีวิตของ หิ่งห้อยไม่ได้ยืนยาวนัก การขยายพันธุ์จึงมีตลอดปี หิ่งห้อยจะกินน้ำค้างเป็นอาหาร และก็ไม่จำเป็นที่จะอยู่แค่ต้นลำพู การที่หิ่งห้อยมีเยอะหมายถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติแถบนั้นยังมีอยู่เยอะ หิ่งห้อยอีกชนิดคือหิ่งห้อยน้ำจืด ชนิดนี้ตัวใหญ่กว่า และจะไม่อยู่เป็น กลุ่ม จะอยู่เดี่ยว นี้เองอาจเป็นต้นเหตุของตำนานกระสือที่มีแสงลอยไปลอยมาก็ได้
เรานั่งเรือดูมาเรื่อยๆ จนถึงที่พัก แล้วก็พบว่าป่าฝั่งตรงข้ามก็มีหิ่งห้อยอยู่ที่ต้นไม้ ไม่ต้องไปไหนไกลก็ได้

วันรุ่งขึ้น 12เมษาพาเพลิน
วันนี้หนิงตื่นมาเพื่อดูบรรยากาศยามเช้า และก็สืบรู้มาว่าเขามีตักบาตร ยามเช้าด้วย เช้านั้นแขกบ้านอื่นๆก็ออกมากันแต่เช้า เพื่อรอใส่บาตร
อากาศเช้าไม่เย็นมาก แต่สบายๆ แดดยังไม่โผล่พ้นไม้ ไอน้ำระเหยเมื่อความร้อนเพิ่มขึ้น แสงเริ่มปรากฎ แต่ไม่จัดนัก เสียงเครื่องยนตร์เรือดังกระหึ่ม มองไปทางต้นเสียง เห็นป้าซิ่งเรือมาด้วยความเร็ว ชะโงกมองในเรือ เห็นของมากมายใน เรือ ป้าเริ่มเบนหัวเรือมาทางฝั่งเรา เพราะคนยังยืนกันเยอะ แขกกลุ่มแรกเลือกซื้อของสำหรับใส่บาตร เรายืนมองห่างๆ กำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี ป้าขายทั้งของคาว ของหวาน ท้ายสุด เราได้ซื้อห่อหมก กับขนมสอดไส้ เอามากินเอง

หลังป้าไปไม่นาน พระก็พายเรือมา พระแวะบ้าน ตายายตรงข้ามก่อน ถึงจะพายมาทางฝั่งเรา แขกเริ่มทยอยใส่บาตร แม่ก็ไปใส่บาตรด้วย ได้บุญกันไป เราเลยตกลงว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตรกัน หลังได้บุญแล้ว เรายังคงนั่งเล่นริมน้ำ ดุผู้คนที่ผ่านไปมา ทั้งชาวบ้าน และแขก เราพบว่าการใช้ชีวิตช้าๆแบบชาวบ้านนั้นได้ซึมซับหลายๆเรื่องดี ไม่เหมือนชีวิตชาวกรุงที่ผ่านมาผ่านไป เร็วจนเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คืออะไร

แสงเริ่มผ่านพ้นยอดไม้ส่องมายังบ้านพัก เราเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ ผ่านเข้ามาสู่เรา พ่ออาบน้ำ หนิงและแม่เดินสำรวจอาหารเช้า ที่พักที่นี้จัดอาหารเช้าไว้ด้วย เป็นข้าวต้มหมูและกุ้ง แขกกลุ่มอื่นๆ เริ่ม ทยอยมาทานข้าวเช้า พวกเราเริ่มที่ปาท่องโก๋ และชากาแฟ เรารอให้ผู้ คนทยอยไปก่อนถึงจะเป็นคิวเรา ระเบียงที่เขาจัดเป็นส่วนโต๊ะอาหาร จัดได้น่ารัก เราenjoyอาหาร และสถานที่กันพอประมาณ และตกลงว่าวันนี้ เราจะออกไปเที่ยวชายทะเลกัน เพราะจากที่พัก อีกไม่ไกลก็หัวหินและ ปราณบุรี ครอบครัวเรายังไม่เคยไปพัก ปราณบุรีเลย จะมีแต่หนิงที่เคยมาก็หลายปีก่อน เราแวะเที่ยววัดห้วยมงคลก่อนจะเขาปราณฯ ที่วัดคึกคักไปด้วยผู้คนแต่ไม่หนาแน่นมากที่มาสักการะหลวงพ่อทวด หรือหลวงปู่ทวดนั้นเอง มีการจัดสรงน้ำพระ เราแวะไม่นานก็เดินทางต่อ เราถึงปราณฯ ประมาณเที่ยง เราหาร้านทานกัน จำได้ว่าเคยไปครั้งนึงกับพี่ต๋องตอนล่องใต้ ชื่อร้าน แจ๋ว อย่างนี้ เรานั่งรถเล่นไปเรื่อยๆ การจราจรไม่ติด แต่รถเยอะพอควร เพราะเวลาเราเยอะเลยบอกเอ๊ะให้ขับไปตามป้าย ถึงร้านเรานั่งริมหาด ท้าลมทะเลและแสงแดด อาหารที่สั่งก้ไม่ยุ่งยาก ปูนึ่ง ปลาทรายทอด ทอดมัน แกงส้มไข่ปลาริวกิว ฯลฯ อาหารถูกทยอยมาเสิร์ฟ แต่น่าเสียดาย อาหารรสชาดไม่อร่อยอย่างที่เคยทาน เรามานั่งวิเคราะห์ ว่า ช่วงหน้าเทศกาล ร้านบางร้านทำเตรียมไว้ก่อน แม้แต่นึ่งปู หนิงเสียดายว่า เคยกินแล้วอร่อยครั้งนึง แต่เมื่อผ่านไปแล้ว เราก็เริ่มออกท่องเที่ยวต่อ เรานั่งรถเลาะหาดปราณฯ ที่พักขึ้นริมหาดเต็มเหมือนดอกเห็ด เป็นที่น่าเสียดายที การก่อสร้าง ที่ไม่ได้ควบคุมทำให้ทัศนียภาพในการชมทะเลเป็นไปในข้อจำกัด ผิดกับหาดบ้านกรูด ที่พยายามควบคุมการก่อสร้าง เรียกว่า สามารถทำ ให้ชายหาดสวยและสัมผัสได้แม้ตาเห็น เรานั่งรถกลับ ระหว่างทาง เราแวะ outlet เล่นๆ ถนนสายมุ่งหน้ากรุงเทพนี้มี outlet เท่าที่เห็นริม ถนนอยู่ 3แห่ง แต่ละแห่งก็มีของไม่เหมือนกันเท่าไหร่ ก็เลือกเข้าตามอัธยาศัย

เรากลับเข้ามาที่พัก ณปลายโพงพาง เกือบ 4โมงเย็น เราต่างคนต่างหาเวลาส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็นอนพักผ่อน หนิงยังคงเดิน ไปมาเพื่อสำรวจสถานที่ เพื่อจะจำเอาไว้เวลามีสถานที่ที่เป็น ขอตัวเองบ้าง นั่งเล่นอ่านหนังสือไปมา ก็ได้ยินเสียงเรือบวกกับเสียง กระดิ่งสั่น เงยหน้ามามอง ก็เห็นชายหนุ่ม2คนขับเรือผ่านไป ชะเง้อดู ในเรือเห็นอะไรบางอย่าง เดาไม่ถูก พยายามส่งสายตาดูอีกทีเห็นป้าย เขียนว่าไอติม อะห้า เราไอ้กินไอติมที่เขาขายในเรือ คิดได้ดังนั้นก็ตะดกนถามว่า ‘มีไอติมเหลือไหม’หนุ่มหัวเรือตอบว่ามี ดังนั้นเรารีบทำการโบก โบก โบก เรือหันหัวกลับมาทางฝั่ง ขณะเดียวกัน น้องจอย เจ้าของสถานที่เข้ามาบอกอยากซื้อด้วย เราถามเข้าว่ามีอะไรบ้าง ได้ความว่าเหลือแค่ไอติมกับแก้ว ส่วนกรวย, ขนมปังได้หมดไปแล้ว ส่วนมะพร้าว เขาปลอกออกมาเนื้อดันแข็ง เขาไม่ขาย ยกให้ฟรีๆเลย เมนูไอติมเขาน่ารักดี อย่าง ยืนในแก้ว นั่งบนถ้วย นอนในขนมปังเป็นต้น
ขณะที่รอหนุ่มขายไอติม ได้พูดคุยกะคุณจอย ได้ความว่าเป็นคนกระบี่ ย้ายมาอยู่ที่นี้หลังจากแต่งงาน คุณจอยว่าถ้าอยากเล่นน้ำคลองก็เล่นได้ น้ำสะอาด ปราศจาก ทากและปลิง ใจหนิงก้อยากเล่น แต่เกรงใจคนในครอบครัว เดี๋ยวน้องจะบ่นเอา

หนิงเรียกแม่กับน้องๆออกมาซื้อกินกัน เป็นกิจกรรมที่สนุกดี คนขาย ก็มีน้ำใจดี แถมนู้น ให้นี้ไปเลย ถึงแม้จะไม่อร่อยถูกปากพ่อ แต่สำหรับคนอื่นๆ ก็ถือเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน

หนิงยังนั่งคุยกับแม่ไป กินมะพร้าวไป จนเย็นได้เวลาไปอัมพวากันอีก รอบ คราวนี้เราไปทางบก เพราะอยากรู้ว่าไกลใกล้กันแค่ไหน คุณขวัญ เจ้าของสถานที่บอกทางให้เราโดยไม่ต้องเข้าเมืองซึ่งระยะทางแค่ 5 กิโลเอง เราขับผ่านสวน และวัดหลายวัด มาออกตรงวัดภุมรินทร์ แล้วขับออกถนนใหญ่ ไปด้านหลังตลาดน้ำเลย สะดวกดี วันนี้เป็นวันที่คนค่อนข้างน้อย เพราะยังเป็นวันจันทร์ คนยังทำงานกัน เราตรงดิ่งไปร้านเดิมที่ทานเมื่อวาน เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการหา ร้านใหม่ๆทาน อีกอย่างเมื่อกลางวันทำเสียอารมณ์ ถ้ากินมื้อนี้ไม่อร่อยอีก คงเสียอารมณ์ทั้งคืน

คราวนี้เราขึ้นไปนั่งชั้น 2 เห็นวิวตลาดน้ำ บรรยากาศดี เราสั่งอาหารคล้ายๆเดิม จะเปลี่ยนก็จากต้มยำเป็นแกงส้ม หมึกเผาเป็น กุ้งทอดกระเทียม และมีน้ำพริก กับปลาทูทอด อาหารที่เปลี่ยนไม่ทำให้เราผิดหวังเลย พ่อครัวฝีมือดีมากๆ อาหารบางอย่างหน้าตาไม่ดีอย่างกุ้งกระเทียม แต่รสชาดเหนือคำบรร ยาย เราทานกันอย่างเอร็ดดร่อย เคล้าบรรยากาศตลาดน้ำเบื้องล่าง ก่อนออกจากร้านเพิ่งจะรู้ว่าร้านที่มาทานข้าวมีชื่อว่าสวรรค์ บนดิน

หลังจากอาหารมื้ออร่อย เราเดินย่อยอาหารกันต่อ จะพูดเรื่องอาหารที่ ขายตามตลาด ถือว่าราคาไม่แพงนัก และรสชาดใช้ได้ ถึงอร่อยมาก
เราเดินมาเจอคู่แฝดอภินิหาร เล็กใหญ่ พาแม่มาเที่ยวเหมือนกัน พวกลูกกตัญญูทั้งนั้น เราสนทนาประสาเพื่อนรัก ก่อนจากกันยังบอกเพื่อนให้ไปทานข้าวร้านสวรรค์บนดิน
คืนนั้นเรากลับมานอนกันเร็ว เพราะเหนื่อยจากนั่งรถตากแดดกัน ทั้งวัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว พุ่มไม้ระยับไปด้วยหิ่งห้อย

วันที่13เมษามหาสงกรานต์
วันนี้หนิงสะดุ้งตื่นเพราะกลัวจะซื้อของถวายพระไม่ทัน เดินออกมาหน้าบ้าน หวังจะเห้นป้ามาขายของ แต่ที่เห็นกลับเป็นพระ ที่พายเรือมารับบาตร เอาละสิ หน้ายังไม่ได้ล้าง ของใส่บาตรก็ยังไม่ได้ซื้อ จะมีก็แต่ ขนมทองเอก เลยตัดสินใจนิมนต์ พระใส่แค่ทองเอกก็ได้ ชื่อเป็นมงคลดี เสร็จแล้วเลยนิมนตืท่านต่อ เรียกเอ๊ะกะอร เพราะน้องว่าเตรียมของไว้ใส่ จากนั้นเลยถามท่านว่าทำไมท่านมารับบาตรเร็ว ท่านว่าวันนี้วันสงกรานต์ จะมีงานบุญที่วัด จริงๆก็จะไม่มา แต่ว่าบังเอิญต้องมารับบาตรบ้านด้านใน จึงมาเร็ว เราเลยโชคดี ไม่รอเก้อ
เช้านั้นพวกเรานั่งทานกาแฟชาที่ท่าน้ำ โดยที่ไม่มีแขกอื่นตื่นเลย เหมือนเช้าเมื่อวาน เราสังเกตว่าแขกชุดนี้เป็นวัยรุ่นและคงจะมาเล่นสงกรานต์มากกว่า มาพักผ่อนแบบ chill chill เช้านี้เราดำเนินชีวิตแบบไม่รีบร้อน ทานข้าวเสร็จก็นั่งพักผ่อนกันหน่อย

รอจนได้เวลาเราcheck out เราร่ำลาเจ้าของสถานที่ เราออกเดินทางไป ยังวัดบางกระพ้อม หนิงขอให้มาวัดนี้ เพราะอ่านจากหนังสือ พบว่าเป็นวัดเก่า และมารอยพระพุทธบาท 4 รอยซ้อนกันอยู่ น่าสนใจ เลยอยากมาดู น้องชายตามใจ เพราะถ้ามุ่งหน้ากลับบ้านเลย ก็คงจะเร็วไป เราหาวัดตามป้ายอยู่นาน จนพบว่าหลง เพราะป้ายที่วางผิด ให้เรา กลับรถ ทั้งที่ควรจะขับรถตรงไป ในที่สุด เราก็มาถึงที่หมาย ผู้คนไม่มากนัก เราทั้งหมดมุ่งตรงไปไหว้พระปิดทอง ก่อนที่จะเดินไปดู โบสถ์เก่า ที่ซึ่ง
มีรอยพระพุทธบาท และจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นปูนปั้น เราเสพความงามได้ตามความพอใจ เสร็จจากนั้น เราเดินทางกลับ
ระหว่างทางกลับ เป็นที่น่าสังเกตุว่าข้างถนนจะมีปลาทูวางขาย ตลอดเส้นทางที่อยู่ในเขตสมุทรสงคราม สืบความจากแม่ว่า ปลาทูที่นี้ มีชื่อเสียง เนื่องจากว่า ตัวใหญ่ และเนื้อมัน ทานอร่อย ปลาทูที่นี้ใหญ่ขนาดว่า เวลาใส่เข่งต้องหักคอก่อน เรียกว่า ‘หน้างอ คอหัก’

เราไม่ลืมที่จะทานคุณตุ่มที่มหาชัยอีกครั้งเป็นการสั่งลาอีกครั้ง อาหารมาตรฐานเหมือนเดิม หลังจากนั้น เรามุ่งหน้าตรงเข้ากรุงเทพ ถนนหนทางว่างสบาย ผิดกับฝั่งตรงข้ามที่เขาเพิ่งจะออกไปเที่ยวในช่วงเทศกาล

นางฟ้า

6 ความคิดเห็น:

  1. พบกันที่อัมพวา

    twin

    ตอบลบ
  2. ฉันอยากกินปลาทู หน้างอ เหมือนใคร

    ตอบลบ
  3. ปลาทู หน้างอ แต่ไม่เหมือนฉัน ฉันมันหน้าหงิก

    ตอบลบ
  4. เค้าเรียก ปลาทูหน้าหักจ้า
    ขอบอกว่า ร้านข้าวที่แกแนะนำอร่อยสมคำร่ำรือ

    ตอบลบ
  5. นอกจากขาแรงแล้ว ยังเล่าเรื่องได้สนุก ชวนติดตาม ...

    ตอบลบ