ทำไมต้องไตรกีฬา
หลายคนสงสัยว่าทำไมคนเราต้องตรากตรำร่างกายด้วยการออก
กำลังกายแบบมหาโหดอย่างไตรกีฬา จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้โหดสำหรับคนที่เตรียมพร้อม แต่อย่างเรา แค่เล่นเพื่อที่จะเข้าเส้นชัยในสภาพที่ยังดีอยู่
ไตรกีฬา เป็นกีฬาที่ประกอบด้วย กีฬา 3อย่าง ว่ายน้ำ จักรยาน วิ่ง และต้องคน คนเดียวเล่นให้จบ ในเวลาที่กำหนด
ระยะการแข่งขึ้นอยู่กับรูปแบบ ถ้าต้องการแบบเร็ว กระชับ ระยะจะสั้นลง เราเรียกว่า sprint ระยะที่ยาวหน่อยคือระยะ โอลิมปิก หรือมากว่านั้นไม่มากนัก เกินจากนี้ไป เราเรียกว่า Iron Man ซึ่งระยะนี้ มีคนเล่นไม่มากนักในบ้านเรา แต่เมืองนอกเป็น ที่นิยมทีเดียว เรายังไม่กล้าพอที่จะเล่น เพราะต้องใช้เวลาใน การซ้อมมากกว่าเดิม
ตอนที่ตัดสินใจมาเล่น ตอนนั้น รักคุด ตุ๊ดเมิน แล้วไม่มีอะไรทำ เลยไปว่ายน้ำเล่นบ่อยๆ จำได้ว่าวันนึงกำลังว่ายน้ำเล่นๆอยู่ ก็มีโทรศัพท์จากพี่มะม่วงมา คุยไปมา พี่มะม่วงบอกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว น้องก็เล่น ไตรกีฬาไปเลย ส่วนตัวนะอยากอยู่เล้ว แต่ว่าไม่คิดว่าจะทำได้ ตอนนั้น แค่คิดว่าทำให้จบแบบ ไม่ disqualify ก็พอ เลยตัดสินใจ ส่งข้อความบอกพี่จ้อน ใจเราก็คิดว่าพี่จ้อนคงห้ามปราม แต่ที่ไหนได้ พี่จ้อนตอบกลับดีใจที่ทีมจะมีผู้หญิงมาร่วมทีมอีกคน
เท้าความเรื่องผู้หญิงที่ร่วมเล่นกัน สมัยก่อนมีพี่แอร์ญี่ปุ่นเล่นคน นึง ตอนหลังเลิกไปแต่ยังมีพี่ติ๋ม เป็นอีกคนที่ยังคงเล่นถึงทุกวันนี้ เ
ตอนนั้น เราซ้อมแค่ว่ายน้ำ 1000เมตร จักรยานก็ไม่ได้ซ้อม วิ่งตอนนั้น แค่ 5โลเอง
เลยเพิ่มความเข้มข้นในการซ้อม โดยเพิ่มระยะในการว่ายน้ำ จาก 1000ก็เป็น 1100 1200 เรื่อยๆจน ได้ 1500 ส่วนจักรยาน ซ้อมแค่ ในยิม เพราะไม่มีกลุ่มขี่ในตอนนั้น ก็วอร์ม แค่ 30 นาที ส่วนวิ่ง เริ่มจากเพิ่มความเร็ว และเพิ่มระยะขึ้นเรื่อย จนได้ 4รอบส่วนรถไฟ
ตอนนั้น พี่ๆในกลุ่มก็ให้กำลังใจ ประมาณว่า ซ้อมด้วยกันไหม ตอนนั้น พี่จ้อนจัดการซ้อมแบบระยะสั้นเลย โดยว่ายน้ำสระ ปั่นจักรยานออกมอเตอร์เวย์ แล้วกลับมาวิ่งในหมู่บ้านต่อ ตอนนั้นซ้อมอยู่ 2-3ครั้งพอให้คุ้นเคย แล้วเราก็ไปซ้อม ที่บางปู ฝรั่งจัด ก็ทำให้เริ่ม ชินๆ มาบ้าง
ตอนนั้นเริ่มลดน้ำหนักด้วย เพราะคิดว่าตัวเบาจะได้เปรียบกว่า ก่อนไปแข่งครั้งแรก ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ได้ 4 ชม 30นาที พี่หลายคนบอกว่าทำไม่ได้หรอก แต่จากที่ซ้อมมา เราคำนวณเวลา แล้ว น่าจะเป็นเวลาที่ทำได้
คำพูดนึงที่พี่จ้อนบอกในวันนั้นยังอยู่ในความทรงจำเลย “ขี่หลังเสือแล้วลงยากนะน้อง” สำหรับเรา ตอนนี้ยังลงไม่ได้ เพราะไม่รู้จะลงยังไง แต่พี่จ้อน หาทางลงหลังเสือสำเร็จแล้ว ก็ไม่รู้ว่าลงเอง หรือว่าถูกใครผลักลงมา อิอิ
ก่อนเดินทางไป เราต้องเตรียมตัวและอุปกรณ์ให้พร้อม จักรยานต้องไป service เปลี่ยนยางให้หน้าเล็กลง เพราะครั้งแรกที่แข่งเราเลือกใช้เสือภูเขา เดิมที หน้ายางจะใหญ่ กินแรงจึง ต้องเปลี่ยนใหม่ รองเท้าวิ่งกับจักรยานเราใช็คู่เดียวกันเพราะ ยังใช้ รองเท้าที่ติดกับจักรยานไม่เป็น ชุดว่ายน้ำ เป็นชุด เดิมๆที่ใช้ว่ายทั่วไปยี่ห้อ triump ไม่ใช่ชุดที่เขาใส่เฉพาะ
ในวันเดินทาง เราเดินทางไปกับพี่ๆ ก่อนพ่อกับแม่ ปีนั้น เอาครอบครัวไปด้วย อยากให้ที่บ้านมีส่วนร่วมกัน เราเดินทางไปก่อน เพราะมีวันหยุดพอ เมื่อไปถึง เราทำการจัดการจักรยานให้เรียบร้อย แล้วปั่นดูทางไปกับพี่ จำได้ว่าตั้งใจจะดูทางไปถึงแค่ทางลงเขา ที่พี่ๆว่าอันตราย แต่ที่ไหนได้ เราไปจนจบเส้นทาง ตอนซ้อมดูทางมีอุบัติเหตุ พี่อ้น พี่ในทีมล้มตรงโค้งพอดี หมุแดงทั้งตัวเลย แต่วันรุ่งขึ้น พี่เขาลงแข่งจนจบทั้งที่เจ็บแผล
ตอนนั้น
ก่อนวันแข่ง เราต้องไปลงทะเบียนก่อน ที่นี้เราจะเห็นรายชื่อคู่แข่งเรา เขาจะแบ่งเป็นช่วงอายุ รุ่นละ 5 ปี
ก่อนแข่งขันทุกปี ผู้จัดจะมีงานเลี้ยง Pasta Partyให้นักกีฬาทั้งหมด เรียกว่าเป็น เทคนิค ที่ก่อนแข่งเราจะต้อง load carbo ให้มากที่สุด เพื่อที่ร่างกายจะนำไปใช้ในวันแข่ง นักแข่งหลายคนอัดเข้าเต็มที่ ตอนหลังได้คุยกับพี่หลายๆคน พี่ๆบอกว่าเราควร load ก่อนหน้านั้น มาเป็นอาทิตย์แล้ว ก่อนแข่งไม่ควรจะกินมาก เพราะจะทำให้ท้องไส้ ปั่นป่วนในวันแข่งได้
เราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนแข่ง ทั้งรองเท้า ชุด เบอร์ ที่สำคัญ อาหารที่กินระหว่างแข่ง อาหารที่ว่าไม่ใช่ข้าวกระเพรา หรืออะไรนะ แต่เป็น เจล สำหรับนักกีฬา แต่บางคนก็มีchocolate เป็นอาหารเสริม พูดเรื่องอาหารเสริม แล้วก็มีหลาย สูตร บางคนว่าดื่มกาแฟก่อนแข่งนะดี คาเฟอีนสูง แต่บางคนแย้งว่า พอหมดฤทธิ์ เราจะแย่เลย
ตอนหลัง มีคนแนะให้ทานกล้วยหอมทั้งอาทิตย์ เพื่อเพิ่มโปรเตสเซี่ยม จะได้ไม่เป็นตะคริว เขาว่าอะไร เราก็ทำตามไปเรื่อย ใครว่าอะไรดี เราก็ลอง
นอกจากเรื่องอาหาร ยังมีเรื่องกันแดดด้วย เพราะช่วงที่แข่งจะกินเวลาถึงเที่ยงทีเดียว เคยเห็นพี่ติ๋มแต่งตัว เรียกว่ามาหมด หมวกปีกกว้าง ครีมกันแดด ทาทั้งหน้า ทั้งตัว เรียกว่า ขอสวยไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
เช้าวันแข่ง จะเป็นเช้าที่วุ่นนิดๆ เพราะในความรู้สึก เหมือนกับว่าเรามีภาระสำคัญรออยู่ อารมณ์นั้นใครบอกว่ามาแข่งขำๆ ก็คงไม่อยากเชื่อ แต่ถ้ามาเพื่อ จะทำให้ดีที่สุด ก็คงไม่ผิด เพราะทุกคนก็คาดหวังว่าจะทำให้ดีกว่า ปีก่อน จริงๆแล้วกีฬาอย่างนี้ จัดขึ้นเพื่อให้แข่งกับตัวเอง ดีกว่า หรือแย่ลง คงต้องแก้กันในคราวต่อไป มันเป็นเรื่องข้องใจได้ทุกปี
นักแข่งทุกคนจะต้องไปยังจุด transition จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยน ประเภทกีฬา คือ เมื่อว่ายน้ำเสร็จ จะมาที่จุดนี้มาเอาจักรยาน และอุปกรณ์ต่างๆ และเมื่อปั่นจักรยานจบ ก็จะมาเก็บจักรยานและเปลี่ยนรองเท้าวิ่ง เป็นจุดเก็บของละว่าง่าย
ง่าย
ตรงจุดนี้จะมาเจ้าหน้าที่คอยเขียนเบอร์ให้ จะเอาเมจิกเขียนที่ขา ด้านข้างกับด้านหลัง และที่แขน เพราะเวลาถ่ายรูป ว่ายน้ำ หรือเกิดเหตุจะ ได้รู้ว่าเป็นใคร นอกนั้นยังมีเบอร์ติดที่หมวก และคาดเอวเวลาปั่นจักรยาน และวิ่งอีกด้วย
นอกจากนั้นจุดนี้เขาจะติดเบอร์ที่ราว เพื่อที่เราจะเอาจักรยาน รองเท้า ผ้าเช็ดตัว อาหารเสริม วางไว้ ตรงนี้เราจะสนุกกับการดูจักรยานชาวบ้านที่ ราคาแพงๆ แพงที่ว่าก็เป็นแสนๆทีเดียว บางทีดูอย่างเดียวไม่สะใจ ขอถ่ายรูปคู่จักรยานยังทำกันเลย ส่วนใหญ่จะเป็น
ช่วงนี้ใครเจอคนรู้จักก็จะทักทายกัน เรียกว่าปีนึงเจอกันครั้ง คนเล่นไตรกีฬาบ้านเราไม่มากนัก หน้าตาก็จะจำกันได้ ที่เล่นทุกปี หน้าเดิมๆก็มีเยอะ
เสร็จจากTransition เราก็จะต้องไปประจำการที่ชายหาด ว่ายน้ำที่นี้ต้องว่ายน้ำทะเลก่อน ประมาณ 1400 อีก400เมตร
จะมาว่ายในบึง ซึ่งคือเหมืองเก่า ทะเลที่นี้ไม่น่ากลัว เพราะช่วงที่จัดแข่ง จะเป็นช่วงที่คลื่นไม่ใหญ่นัก และน้ำไม่แรงมาก พวกเราจะทำการลงแช่น้ำเป็นการอุ่นเครื่อง และที่สำคัญ “ฉี่” ก่อนแข่ง เพราะดื่มน้ำมาเยอะ แต่จะรอห้อง
เรื่องน้ำทะเล อุณหภูมิ จะไม่เย็นนัก แต่ช่วงปีหลังๆ เวลาปล่อยตัวเลื่อนขึ้นมาเป็น7โมงเช้า เลยทำให้น้ำยังไม่อุ่นนัก ปีหลังๆ จะเห็นบางคนไม่อยากลงน้ำก่อน เพราะตอนขึ้นมารอ ปล่อยตัวจะหนาวมาก
ตอนนี้ชาวการบินไทย จะทำการชักภาพกันใหญ่ และอวยพรให้ ขวัญกำลังใจกันและกัน ปีหลังๆ นอกจากแข่งเดี่ยวแล้ว การบินไทยก็ส่งทีม พวกชาวทีมทั้งหลายจะมาให้กำลังใจ พวกว่ายน้ำก่อน จากนั้นก็จะกลับไปประจำการที่Transition ปีล่าสุดทีมการบินไทยส่งทีม ได้ที่5 ซึ่งถือว่าใช้ได้ดีทีเดียว
เมื่อเวลาใกล้เข้ามาทุกขณะ นักกีฬาจะถูกเรียกให้ขึ้นมาจากน้ำ จะมีพิธีการเล็กน้อย จากนั้น ก็จะเริ่มนับเวลาย้อนหลัง เสียงแตรจะดังขึ้น นั้นละ นาฬิกาจับเวลาที่ข้อมือก็เริ่มทำงาน ทุกคนก็มุ่งหน้าสู่ทะเล
ปีแรกที่แข่ง จำได้เลยว่า พี่บี๋เตือนว่า “ระวังตีนนะแก” ไอ้เราก็งง ตีนอะไร ปลาตีน? ตีนกบ? ไม่ใช่ พี่บี๋หมายถึงตีนคนนี้ละ แล้วเรา ก็ถึงบางอ้อ ต่อเมื่อ บรรดาตีนทั้งหลาย ยันเข้าหน้าบ้าง ยอดอกบ้าง เล่นเอาอกน้อยๆแทบแย่
ตอนนั้นตกใจเหมือนกัน
ทุกปีจะมีนักกีฬาว่ายน้ำไม่จบ ว่ายไปได้หน่อยแล้วขึ้น ส่วนใหญ่จะกลัว กลัวความลึกหรืออาจกลัวจากจิตใต้สำนึกตัวเอง และภาพที่เห็นตอนปล่อยตัวลงน้ำ ทุกครั้งมันเหมือนคนบ้าสิ้นดี คนบ้าที่ติดเชื้อแล้ววิ่งลงน้ำ อย่างไงอย่างงั้น แล้วเราก็บ้ากับเค้าด้วย เค้าเรียกว่าเป็นไปตา
เวลาลงน้ำ ข้อแนะนำคือไม่ควรว่ายไปตรงกลาง เพราะจะแออัดไปด้วยปลาตีน ควรเลือกด้านใดด้านนึง แต่ส่วนตัวขอแนะนำ ด้านนอก เพราะด้านใน ยังไงยังไง เพื่อนก็ต้องเบียดเข้ามาอยู่ดี ว่ายช้าก็โดนเพื่อนว่ายทับไปอีก
เรื่องว่ายทับก็เป็นอีกเทคนิคนึงของนักกีฬา เกิดมาเคยแต่ว่ายน้ำ แต่นี้เจอคนว่ายทับมาบนตัวเรา เอาดิ เอากับเค้า เราเลยต้องหยุดให้ไปก่อน กลัวว่าถ้าปล่อยให้ทับไปเรื่อยๆ แล้วจะติดใจ แล้วเรื่องมันจะยุ่ง
ว่ายน้ำทะเลค่อนข้างง่ายกว่าที่คิด ช่วงฝั่งคลื่นจะแรง เราต้องใช้แรงหน่อย เพื่อจะหนีคลื่น แต่พอออกไปได้ แล้วจะว่ายง่าย เพราะคลื่นจะเบา และความเค็มจะช่วยให้ ลอยตัวง่าย แต่ข้อเสียงคือ เวลาเราซ้อมที่สระ เราจะมีเส้นให้ดู น้ำก็จะใสแจ๋ว แต่ทะเลจะไม่มีเส้น น้ำใสแต่ไม่แจ๋ว เพราะงั้นเราต้อง mark จุดให้ดี ว่ากลับตัวตรงไหน ตรงไหนคือจุดที่ขึ้นฝั่ง เทคนิคส่วนตัวคือว่ายกบ ทั้งที่จริงแล้ว การว่ายกบไม่เอื้อสำหรับกีฬาชนิดนี้ เพราะกบ จะใช้แรงขามากกว่าท่าอื่น แล้วจะทำให้การปั่นจักรยานและวิ่ง ถดถอยแรงลง แต่อย่างว่า ซ้อมฟรีสไตล์ให้ตาย พอแข่งจริงว่ายกบทุกครั้ง จนตอนหลังเลิกคิดที่จะว่ายฟรีสไตล์ อีกเลย
แต่ว่ายกบมีข้อดีคือ สามารถมองเห็นจุดกลับ และเส้นทางง่ายกว่า เพราะท่ากบ เราจะเงยหายใจตรงๆ ซึ่งเราก็จะมองข้างหน้าไปด้วย ในขณะที่ฟรีสไตล์ จะต้องตะแคงหน้าหายใจ ก็จะไม่เห็นข้างหน้า แต่วิธีแก้คือ บางจังหวะการว่ายฟรี บางคนจะผงกหน้ามองทาง ซึ่งก็ได้ผล แต่ต้องฝึกพอสมควร
บางคนใช้วิธีมองคนข้างๆ ที่ว่ายเท่าๆกันแทน อันนี้ถ้าโชคดี คนที่ว่ายข้างๆว่ายกบ ก็ดี แต่ถ้าคนที่ว่ายข้างๆ ว่ายฟรีเหมือนกัน แถมไม่เงยหน้ามองตรง ก็คงพากันไปขึ้นฝั่งที่อื่นละ มีนะ เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะที่ว่ายกันช้าๆ บางทีคนว่ายข้างหน้าว่ายขวางไปมา สลับฟันปลา เห็นแล้วเหนื่อยแทน แต่ต้องชมเชยนะ เพราะพวกนี้ว่ายน้ำเกิน ระยะที่กำหนด เพราะว่ายหลงทาง อิอิ
เรื่องว่ายน้ำยังไม่จบ เวลาขึ้นจากทะเล เราต้องวิ่งข้ามเนินทรายมา ลงบึง ซึ่งตรงนี้จะมี พวก พ่อแม่ พี่น้อง มายืนเชียร์ ตอนนี้เหนื่อยให้ตายก็ต้องเก็ก แข็งแรงไว้ก่อน
ในบึงเนี้ย เกิดขึ้นเพราะขุดเหมือง จึงไม่ลึกมากนัก แต่มีสาหร่าย เยอะ เคยมีนักกีฬาตาย เพราะตกใจที่เจอสาหร่าย และอาจจากเหนื่อยเลยเกิดตะคริว เจ้าหน้าที่เองก็ช่วยไม่ทัน ปีนั้นเค้ามาแข่งพร้อมภรรยา ภรรยาเค้าเองมารู้ว่าสามี ตายก็เมื่อแข่งจบ น่าเศร้าจริงๆ
ลืมเราเรื่องก่อนขึ้นจากทะเล เวลาที่เราแข่งจะเช้ามาก แล้วเวลาว่ายน้ำเข้าฝั่ง เป็นเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพอดี ทำให้เราจะmark ทางขึ้นกันไม่ค่อยถูก จากประสบการณ์ แว่นว่ายน้ำใสๆไม่ช่วย ต้องแบบมืดๆ คล้ายแว่นกันแดดจะดี เพราะจะกรองแสง เห็นได้ง่ายกว่าเวลาย้อนแสง
จุดขึ้นจากบึงก็เหมือนกัน จะมีแดดแยงตา มองไม่ถนัด กะไม่ดีก็ต้องว่ายเกินระยะกันไป เคยมีเหตุการณ์ที่บึง ไม่ใช่ สาหร่ายแต่เป็นคน พี่ที่รู้จักกันก็ว่ายตามกันมา ไอ้เราก็ว่ายกบแบบ เต็มที่ วาดขากว้าง แขนกวาดน้ำ แล้วพี่แกก็จิ้มเข้าที่เป้า ทั้งเจ็บ ทั้งอาย แต่คนจิ้มไม่รู้เรื่อง ดีที่ว่าชุดที่ใส่เป็นกางเกงขาสั้นอีกตัว มีบุบางๆที่เป้า ใช้สำหรับไตรกีฬาโดยเฉพาะ ไม่งั้นพี่แกคงหลุดเข้า ไปอยู่ในตัวเราแน่ หยุดสักเดี๋ยวก็ว่ายต่อไปได้ แต่ไม่กล้า กวาดกว้างแบบเมื่อกี้อีกเลย
ขึ้นจากน้ำแล้ว ผู้จั
เมื่อถึงจักรยาน เราจะใส่รองเท้า หมวก และจูงจักรยานออกไปยัง จุดที่เขาอนุญาตให้ปั่น หมวกสำคัญ ไม่มีไม่ให้แข่ง ส่วนเราเมื่อถึงจักรยาน จะต้องใส่เสื้อก่อน เช็ดหน้า กินอาหารเสริมต่างๆที่จัดไว้
ปีต่อมาเรา up grade จักรยานเป็นเสือหมอบ เวลาดีขึ้น แต่ไม่มาก นัก เลยคิดว่านอกจากจักรยานดีแล้ว การซ้อมก็มีส่วน ปีถัดๆมาเวลาจักรยานดีขึ้นอีก เพราะเริ่มหากลุ่มซ้อมขี่มากขึ้น เรื่องจักรยานยังไม่หมด เพราะนอกจากเสือหมอบแล้ว มีรถอีกประเภทที่ใช้แข่งคือรถไตรกีฬาโดยเฉพาะ รถประเภทนี้ จะมีองศา ที่จะทำการปั่นใช้กล้ามเนื้อท่อนเดียวกับการวิ่ง ซึ่งผลที่ได้คือ เวลาลงวิ่งจะไม่เป็นตะคริว แต่ข้อเสียคือ รถประเภทนี้ราคาสูง และใช้งานได้น้อยกว่าเสือหมอบ เพราะแฮนด์จะไม่เหมือนรถทั่วไป ส่วนใหญ่จะใช้ขี่คนเดียว
หลังจากปั่นมาสัก5โลเห็นจะได้ เราจะเริ่มขึ้นเขา อย่างที่บอกไว้ว่าเขาที่นี้ไม่ยาวมาก แต่ก็ชันในบางช่วง บางคน ถึงกับเดินจูงจักรยานทีเดียว แต่สำหรับเรา การลงเดินจูงไม่ท้าทาย เลยไม่เคยทำสักที หลังจากลูกแรก ก็เจอลูกสองเลย เรียกว่าหัวปีท้ายปี หัวใจยังไม่ทันได้พักก็ต้องเต้นแทงโก้ต่อ กันอีกรอบ
หลายคนใช้วิธีทิ้งตัวอย่างเร็วเพื่อเกิดแรงส่งไปยังอีกเขา ก็ช่วยได้ แต่สุดท้ายก็แรงใครแรงมัน
ผ่านเขานี้ก็จะลงยาว ผ่านหาดยาว ไปจนถึงอีกเขา ตรงนี้ไม่ยากนัก แต่ผ่านมาหลายลูกก็ทำให้ เหนื่อยคาดใจทีเดียว ลูกนี้ถือว่าสุดท้ายแล้ว แต่ทางค่อนข้างยาวแต่ไม่ชันมาก ผ่านตรงนี้ ไปได้ก็เรียกว่าสบายขึ้น เราจะปั่นไปกลับตัวแถวแยกก่อนถึงสนามบิน ผ่านตรงนี้ทีไร ก็อดที่จะคิดถึงคราวน์ไนยางไม่ได้ และก็อดที่จะมองหาป้าฟรอนท์ ไม่ได้เหมือนกัน (ไม่ได้อยากกลับมาพัก แต่แค่สงสัยว่าเคยอยู่กัน ได้ยังไง)
กลับรถตรงแยกแล้วคราวนี้จะปั่นเข้าสวนยาง สวนยางเป็นช่วงที่กินแรงที่สุด เพราะจะคิดว่าทางราบ แต่จริงๆแล้วเป็นทางลาด เวลาปั่นจะหนืดๆ ออกแรงเยอะ เลยยิ่ง ทำให้เหนื่อยมาก เคยปั่นประกบฝรั่งสาว แล้วคุยกันว่าเราน่าจะนอนอยู่บ้านดีกว่า เราต่างเห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นกันไปเรื่อยๆ
มีอยู่ปีนึง พี่นุ้ยพยายามปั่นไล่เรา แต่ปั่นไม่เจอกันสักที เพราะสวนยางมันเป็นเส้นทางอ้อมไปมา ซับซ้อน พี่นุ้ยบอก ได้ ยินเสียงหนิงคุยตลอดเลย
ปีแรกๆ ปั่นออกจากสวนยางยังต้องปั่นวนเข้าไปเจอเขาอีก แต่ปีหลังๆ ผู้จัดคงเห็นใจ เลยให้ปั่นออกจากสวนยางแล้วไป บนถนนใหญ่ ทางราบๆเรียบๆยาวๆดี แต่ลมแรงสะบัด จากนั้นก็เริ่มเข้าทางหมู่บ้านแล้วทะล
จบจากจักรยานก็มาวิ่ง อันนี้นักวิ่งทั้งหลายจะบอกว่าชอบ แต่ถ้านักจักรยาน
แต่ปีหลังๆ วิ่งได้อย่างเก่งก็ 9กิโล ที่เหลือเดินๆวิ่งๆ ปีที่พี่นุ้ยไล่ จัดว่าสนุกทีเดียว ไ
แต่ก่อนเส้นทางวิ่งจะเป็นแบบรอบเดียว 12กิโล ผ่านหมู่บ้าน บาง ปีวิ่งบนหาด ทรมานมากๆ เพราะหาดเอียง แต่ก็ปีเดียว คงโดนต่อว่า ตอนหลัง เขาจัดเป็นวิ่งรอบละ 6กิโล 2รอบ ง่ายดี และเจอเพื่อนฝูงเยอะแยะ วิ่งเข้ามาผู้จัด จะเตรียมอาหารการกินไว้ให้ แต่ส่วนใหญ่ จะอิ่มน้ำ กินอาหารกันไม่ลง กินได้อีกทีก็เย็นย่ำค่ำมืด เรียกว่าปอบลงเลยล่ะ
ช่วงหลังๆ พี่ๆน้องหลายคนเข้ามาร่วมเล่นไตรกีฬากัน แต่บางคนก็ขอแค่เป็นทีมผลัด อย่างที่บอกตอนแรก ว่าปีล่าสุดทีมผลัดเรา อยู่อันดับ 5 ไม่ธรรมดาทีเดียว จะเล่าเรื่อง ทีมผลัดว่า เกิดครั้งแรก เมื่อพี่ติ๋มแจ้งว่าผู้จัดจะจัดแข่งแบบทีมด้วย ประกอบกับปีนั้นพี่จ้อนกับพี่แอนไม่พร้อมลงเดี่ยว เลยขอลงทีม แต่หาคนว่ายน้ำไม่ได้ ตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่กัปตันมิตรร่วมทีม กัปตันว่ายน้ำให้ ปีนั้นพวกเราเห็นฝีมือการว่ายของกัปตัน ว่าไม่ ธรรมดา ปีถัดๆมาเลยขอให้กัปตันเป็นไม้1 ว่ายน้ำให้ทุกปี ตอนหลังพี่จ้อน พี่แอนขอถอนตัว เลยหาคนร่วมทีมกับกัปตัน ก็ได้ พี่ก้อยกะน้องออย
ส่วนทีมผลัดอีกทีม ก็ไม่น้อยหน้า เป็นสีสันให้กับทีม การบินไทย มาก
ทีมการบินไทย มีทั้งลูกเรือ นักบิน คาร์โก้ และ Ground Staff ที่ภูเก็ต บางปีก็มีสามีพี่แอร์ ลูกพี่ติ๋ม หรือญาติๆของพวกเรามาร่วม ทีม
ทุกปี พวกเราจะพกญาติพี่น้องไปร่วมงาน จริงๆแล้วคือ ไปถ่าย รูปให้ แต่ช่วงปีหลังกิ๊ฟจะรับหน้าที่นี้ตลอด ถึงขนาดว่าได้ ป้ายนักข่าวมาติดตัว สามารถซิ่งมอไซค์ตามถ่ายได้ ทุกที่ เป็นที่ถูก อกถูกใจทุกคน
จากนี้ไป เชื่อว่าใครก็ตามที่อยากพิสูจน์ตัวเอง คงอยากลองกันเยอะ แต่ขอบอก “ขี่หลังเสือแล้วลงยาก” ยากจริงๆ ขอบอก แล้วคงได้เจอกันที่ภูเก็ต
นางฟ้า