วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทัวร์เป็ดสาวน้อย ตอนผจญเมืองภูเก็จ

ทัวร์เป็ดสาวน้อย  ตอนผจญเมืองภูเก็จ

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม ภูเก็จ ถึงสะกดด้วยตัว จ.จาน ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหนิงเพิ่งพาฝาแฝดไปเที่ยวเมืองภูเก็จ และพบว่ามีคำนี้อยู่ในหลายแห่งในเมือง เลยสอบถามชาวบ้าน ก็ได้ความว่าเป็นคำดั่งเดิม ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น ภูเก็ต โดยคนเล่าเองก็ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นมาอย่างไร แต่จากข้อมูลที่เสาะหามาได้ พบว่าภูเก็จอาจจะเป็นเสียงเพี้ยนของคำว่า บูกิต ในภาษามลายู ส่วนภูเก็จ มีความหมายว่า เมืองแก้ว สมัยก่อนภูเก็จเป็นที่รู้จักของนักเดินเรือต่างชาติ ต่อมาเมื่อพบแร่ดีบุกในเกาะแห่งนี้ จึงทำให้ภูเก็จเปลี่ยนสถานะแค่ทางผ่าน เป็นแหล่งรับซื้อแร่ดีบุกมาตั้งแต่สมัยอยุธยาทีเดียว และเมื่อเวลาผ่านไป ภูเก็จได้เปลี่ยนสถานะอีกครั้ง จากเมืองทำเงินจากแร่ดีบุก ตอนนี้ภูเก็ต คือเมืองท่องเที่ยวติดอันดับโลกที่ฝรั่งมังค่าต้องมา แต่สิ่งที่ทั้งฝรั่งและไทยน้อยคนนักจะรู้คือ มีอะไรมากกว่าหาดทราย สายลม และสองเราซ่อนตัวอยู่ตรงกลางเกาะ ตรงที่เป็นอำเภอเมือง ณ ปัจจุบันนี้ละ การผจญภัยครั้งนี้เราจะพาไปเที่ยวภูเก็จ เมืองเก่าของเราแต่ก่อนกันคะ

เรื่องไปเที่ยวภูเก็จ เป็นไอเดียของหนิงกับใหญ่ แฝดผู้พี่มาช้านาน เพราะหนิงเคยได้มาพักในตัวเมืองและพบว่าในเมืองมีเรื่องราวมากมายที่เราไม่เคยรู้ เลยอยากชวนใหญ่มา แล้วก็ช่างบังเอิญเหลือเกินที่เล็กแฝดน้องไปได้ตั๋วเครื่องบินฟรีไปเที่ยวภูเก็จ เล็กเลยจัดแจง ให้หนิงตามไปเป็นคนพาเที่ยว ทั้งๆที่หนิงก็ยังงงจนถึงทุกวันนี้ว่า เล็กชวน หรือเล็กบังคับให้ไป แต่ก็สุดจะหาคำตอบได้ เพราะเมื่อรู้ตัวอีกที หนิงก็หอบผ้าออกจากบ้านตามแฝดไปซะแล้ว

แฝดเดินทางไปเที่ยวกันก่อน1วัน เพราะหนิงติดงาน โดยแฝดเดินทางไปถึงภูเก็จในช่วงเช้าวันเสาร์ จากคำบอกเล่าของแฝด อากาศในวันนั้นค่อนข้างร้อน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาทิตย์หนึ่ง ภูเก็จฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ในวันแรกของแฝดอากาศจึงวิปลิตเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีอะไรห้ามแฝดได้ ลงเครื่องบิน แฝดก็ไปติดต่อรถบัสเข้าเมือง เก็บคนละ 85บาทเอง เรียกว่าราคาย่อมเยาว์มาก แต่แฝดบอกจอดทุกป้าย แต่ก็เอาเถอะ 85บาทเอาไรมากนะ ตั้งหลายสิบกิโลกว่าจะถึงเมือง เล็กเป็นคนจัดแจงทุกอย่าง รวมทั้งจองโรงแรมด้วย เล็กได้จองโรงแรม ชิโนเฮาส์ไว้ เป็นโรงแรมในเมืองบนถนนมนตรี โรงแรมนี้เดิมตัวตึกเป็นกรมราชพัสดุเก่า ต่อมาก็ปรับปรุง ห้องพักมีหลากหลายสไตล์ กว้างขวางและที่สำคัญ ไม่แพงมากนัก

ตึกโบราณที่ชาวบ้านอนุรักษ์กันไว้
แฝดโชคดี เพราะคนขับรถใจดีขับรถมาส่งถึงหน้าโรงแรม หลังจากแฝดเข้าที่พัก 2สาวก็จัดแจงเดินออกสำรวจเมืองในทันที แต่ก่อนจะเดินทางไกล กองทัพย่อมเดินด้วยท้อง ว่าแล้ว 2สาวก็ถามหาร้านอร่อยๆที่พอจะประทังชีวิตได้ แต่โรงแรมก็แสนจะใจดี แนะนำร้านระย้าให้ทั้ง2 เป็นการต้อนรับที่แสนอบอุ่น โดยร้านระย้าอยู่ไม่ห่างโรงแรมเท่าไหร่ ทั้ง 2 ก้าวเท้ายาวเพื่อไปที่ร้านก่อนลมจะใส่เพราะแสงแดดและหิว แล้ว ทั้ง2คนก็พบว่า อาหารที่นี้ไม่ได้แค่ประทังชีวิต แต่มันอร่อยมาก โดยเฉพาะแกงปูกับเส้นหมี่ และน้ำพริกกุ้งเสียบ ทั้งสองอิ่มท้องตึงจนแทบจะหมดแรงเดิน เพราะอยากนอนซะมากกว่า แต่เมื่อมาแล้วจะกลับไปนอนก็ใช่ที่ ใหญ่เลยลากเล็กออกสำรวจย่านเมืองเก่า ย่านเมืองเก่าในภูเก็จเป็นถนนสายไม่ยาวนัก ชื่อถนนเป็นชื่อเมืองต่างๆ อย่างถนนถลาง ถนนภูเก็ต หรืออีกถนนก็เยาวราช ถนนดีบุก และอีกหลายชื่อ ตึกรามบ้านช่องในเมืองเก่านี้เป็นแบบชิโน-โปรตุกิส ลักษณะบ้านแบบนี้พบมากในภูเก็ต ตรัง ระนอง พังงา เดิมทีสถาปัตยกรรมแบบนี้เริ่มต้นที่มาเลย์ โดยในสมัยก่อน โปรตุเกสได้เดินทางไปที่เมืองมะละกา และได้สอนให้ชาวพื้นเมืองปลูกสร้างอาคารแบบนี้ขึ้น โดยเป็นการผสมผสานของสถาปัตยกรรม จีนและโปรตุเกสให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวภายใต้สังคมของ 3ชนชาติได้แก่ จีน มาเลย์และโปรตุเกส ลักษณะสถาปัตย์แบบชิโนโปรตุกิสในเมืองนี้เป็นอาคาร 2ชั้นที่เรียกกันว่าอาคารแบบโคโรเนียลหรือเตี้ยมฉู่ ชั้นล่างด้านหน้าทำเป็น ช่องโค้งต่อเนื่องกันเป็นทางเดิน ข้อดีของทางเดินแบบนี้คือในหน้าฝนจะมีทางเดินกันฝนเป็นทางยาว อาคารอย่างนี้เป็นอาคารของชนชั้นกลางในยุคนั้น ส่วนบ้าน หรือ คฤหาสถ์หลังใหญ่ๆ หรือที่เรียกว่าอั่งม้อหลาว เป็นบ้านของคหบดีในยุคนั้นอย่างบ้านชินประชาของพระพิทักษ์

ส่วนสถาปัตยกรรมแบบนี้เดินทางมาเมืองไทยได้ยังไงต้องย้อนกลับไปถึงแร่ดีบุก ที่เป็นแรงดึงดู ให้ต่างชาติ ไม่ว่าอังกฤษ หรือฮอลันดา เข้ามาซื้อ ทำให้ภูเก็ตต้องการแรงงานและนายทุนที่จะมาทำเหมืองแร่ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี( คอซิมบี้ ณ ระนอง) ซึ่งท่านมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับปีนัง ได้นำช่างและคหบดีชาวมาเลย์เข้ามายังภูเก็จ นั้นคือจุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกิสในภูเก็จ

ช่างและคหบดีสมัยนั้นที่ย้ายเข้ามาในภูเก็จล้วนแต่เป็นชาวจีนฮกเกี๊ยน ต่อมาวัฒนธรรมต่างๆที่ติดมาเหล่านั้นได้กลมกลืนเข้ากับชาวเมืองจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นไป

ภายหลังในปีพ.ศ.2537 ทางเทศบาลนครภูเก็ต ราชการและเอกชน ร่วมทั้งประชาชนที่อาศัยในละแวกนั้น ร่วมมือกันอนุรักษ์อาคารเหล่านี้เป็นเนื้อที่ 210 ซึ่งครอบคลุมเนื้อที่ในถนนรัษฏา ถนนดีบุก ถนนกระบี่ ถนนเยาวจาช ถนนถลาง ถนนพังงา และถนนเทพกษัตรี โดยในข้อกำหนดนี้ได้ห้ามไม่ให้สร้างอาคารสูงเกิน 12เมตรในละแวกนั้นด้วย

บ้านชินประชา ด้านในเป็นร้านอาหาร Blue Elephant
สองสาวเดินเล่นกันเพลินจนไปถึงบ้านชินประชา บ้านหลังนี้เป็นบ้านสไตล์ชิโน-โปรตุกิส หลังแรกๆ สร้างโดยพระพิทักษ์ชินประชาหรือตันม่าเสียง เมื่อมีอายุเพียงแค่ 20ปี พระพิทักษ์ชินประชา มีเชื้อสายชาวจีนฮกเกี้ยน มีบิดาชื่อหลวงบำรุงจีนประเทศ (ตันเนี่ยวยี่)ซึ่งเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน รับราชการอยู่ในประเทศจีน ก่อนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย ภายหลังได้ทำเหมืองแร่ดีบุก และค้าขายกับปีนัง

บ้านหลังนี้ปัจจุบัน มีร้านอาหารไทยที่ดังระดับโลกมาเปิดคือ Blue Elephant ไหนๆก็ไหนๆ จะไม่พูดเรื่องร้านนี้เห็นทีจะไม่ได้ เพราะหนิงเองเคยเป็นลูกค้าร้านนี้ที่ลอนดอนมาแล้ว ขอบอกว่าเป็นร้านอาหารไทยที่ไม่ทำให้เสียชื่อคนไทยเลย รสชาดอาหารเป็นไทยมาก จะอ่อนก็อ่อนเผ็ดไปเท่านั้น แต่ราคาก็แถบจะอยากคายอาหารคืนเขาไปเลย แพงมากคะ ได้ยินว่าเจ้าของเป็นสตรีชาวไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ แล้วก็มาทำร้านอาหารกัน ปัจจุบันนอกจากจะเป็นร้านอาหาร ยังเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารไทยอีกด้วย

ข้างหลังคือบาบ๋าแฝด
ใหญ่ชื่นชม ชื่นชอบบ้านชินประชา จนเล็กปวดหัว ต้องพากันกลับไปนอนพักที่โรงแรม ภูเก็จนอกจากสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกรักษ์แล้ว ยังมีเรื่องเชื่อชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีก หากใครเคยรู้ก็พอจะเคยได้ยินชื่อของ บาบ๋า ยาหยา หรือ บาบ๋า ยอนย่า ซึ่งเป็นชื่อเรียกลูกครึ่งชาวจีน ผสมชาวพื้นเมืองในมาเลเซีย โดย บาบ๋าเป็นชื่อเรียกเด็กลูกครึ่งผู้ชาย ยอนย่าเป็นชื่อเรียกลูกครึ่งผู้หญิง แต่สำหรับชาวภูเก็จ เรียกรวมไปว่าบาบ๋า นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อคือ เพอรานากัน เป็นคำที่นิยมในสิงค์โปร์และมาเลเซีย ในภูเก็จ ยังมีการตั้งสมาคมไทยเพอรานากัน สำหรับชาวบาบ๋าในภูเก็จซึ่งเท่าที่สำรวจมาอยู่เกิน 50%อีกด้วย

การที่มีชาวบาบ๋าอาศัยอยู่บนเกาะนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจห้ามได้ และอาจจะเป็นสิ่งดีซะด้วยซ้ำที่ได้เห็นอดีตที่ยังอยู่ในปัจจุบัน ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านคนเหล่านี้ วัฒนธรรมที่ยังคงอยู่คู่บาบ๋าในภูเก็จอีกอย่างคือเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะของสตรี ยังคงมีร้านขายเสื้อผ้าหลายร้านที่ขายเสื้อผ้าสไตล์บาบ๋า และคนท้องถิ่นก็ยังคงใส่เสื้อผ้าเหล่านี้อยู่แม้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้าลูกไม้รัดรูป กับผ้าผ้าถุงรัดเนื้อรัดตัว เพราะสาวบาบ๋ามักจะเอวเล็กสะโพกผาย ดูแล้วต้องมองตามทีเดียว

นอกจากเครื่องแต่งกาย ยังมีอาหารที่พอจะเห็นกันในปัจจุบัน และนิยมมากๆก็น้ำพริกกุ้งเสียบเนี้ยละ นอกจากนั้นก็มีพะโล้ที่ทำแห้งๆมีน้ำขลุกขลิก หรือ แกงไก่ใสมันฝรั่ง ซึ่งเป็นเมนูยอดฮิตของที่นี้ จะว่าไป แกงไก่ใส่มันฝรั่งจะมารสชาติเหมือนแกงกระหรี่ไก่หรือไม่ ก็น่าจะได้ลอง
นอกจากนี้จะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นั้นคือประเพณีกินผัก ที่ปัจจุบันเป็นประเพณีนิยมไปสำหรับคนทั้งประเทศแล้ว

เย็นวันนั้นหลังจากเล็กได้นอนพัก มื้อเย็น 2คนได้หาอาหารอร่อยกิน โดยไปกินข้าวที่ย้อยโภชนา ร้านนี้ใหญ่เล่าว่า ปลามงอร่อยมาก เป็นที่ติดอกติดใจจนทุกวันนี้ คืนนั้น 2สาวยังเดินกลับไปเมืองเก่า เก็บความงามยามเย็นไว้ รอหนิงมาร่วมผจยภัยในวันรุ่งขึ้น


วันอาทิตย์ วันหยุดของทุุกคน
เช้าวันนี้ หนิงมีนัดกับการบินไทยที่จะต้องบินไปเอนเตอร์เทนเพื่อนฝูง วันนั้นหนิงใช่บริการของรถไฟฟ้ามุ่งหน้าไปสุวรรณภูมิ โดยหนิงเลือกใช่แบบ ด่วน โดยรถไฟจะไม่แวะจอดที่ไหนเลย รถไฟจะออกจากป้ายทุกครึ่งชั่วโมง หนิงเลือกนั่งจากพญาไทแทนที่จะเลือมักกะสัน เพราะ ได้ยินว่าการต่อรถมักกะสันไม่สะดวก สู้ที่พญาไทไม่ได้ ลงจาก BTSก็เดินเป็นคุณนายไปได้เลย ค่ารถไม่แพง ไปกลับ 150บาท แต่ขาเดียว 90บาท ฐานะอย่างหนิงต้องซื้อไป-กลับอยู่แล้ว รถใช้เวลาประมาณ 15-17นาที แต่ขบวนที่หนิงไป ใช้เวลา 20นาที คาดว่าคนขับน่าจะมือใหม่ แต่ถึงยังไงเราก็มาทันเวลา

เมื่อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ที่ภูเก็จเป็นที่เรียบร้อย หนิงจักแจงโทรหาแฝด ได้ยินจากใหญ่ว่าเล็กนอนรออยู่ หนิงได้ติดต่อรถเช่าไว้แล้ว ราคากันเองมาก 1000/24ชั่วโมง หนิงบอกเช่า วันครึ่งคิด 1500บาท เป็นรถแจ๊สสีเทา ขับสบาย ไม่กินน้ำมัน ที่สำคัญ เจ้าของรถเป็นพนักงานการบินไทย พอรู้ว่าหนิงเป็นพนักงานเหมือนกัน ก็รู้สึกอุ่นใจ (ทั้ง2ฝ่าย)

หนิงจัดแจงขับรถไปหาเพื่อนทันที จากแผ่นที่ดูแล้วไม่น่าจะยาก วันอาทิตย์นั้นอากาศไม่ร้อนจัด แต่ก็มีแดดเป็นระยะ รถเข้าเมืองดูคึกคัก แต่ทันทีที่มีแยกไปป่าตอง รถเข้าเมืองก็บางตาลงทันที นั้นหมายความว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังนิยมป่าตองอยู่ดี

ไม่นานรถก็มาจอดที่โรงแรม หนิงโทรบอกใหญ่ว่ามาถึงแล้ว และไม่ถึงนาที ภาพที่หนิงเห็นคือเล็กวิ่งถลาลงมาจากชั้น2 เพราะดีใจจัดว่าคนขับรถ เอ๊ย เพื่อนได้มาถึงแล้ว เสียง 2สาวเจี๊ยวจ๊าวยิ่งกว่าผู้มาถึงใหม่ซะอีก 2คนกุลีกุจอช่วยหนิงลากกระเป๋าขึ้นชั้น2 เราเข้าลิฟท์มาเสียงเล็กก็ยังดังไม่ขาด ใหญ่บอกว่าเล็กงอแงไม่ยอมออกไไหน เพราะรู้ว่าเดี๋ยวหนิงจะขับรถพาเที่ยว แต่เพราะดีใจมาก เล็กลืมกดลิฟท์ปล่อยให้เรายืนร้อนกันอยู่ในลิฟท์นานเหลือเกิน

หลังจากเก็บข้าวของ เรา3คนก็ออกเดินทาง คราวนี้เรามีรถเป็นพาหนะ โดยหนิงพาใหญ่ไปกินก๋วยเต๋ยวเป็นอาหารกลางวันเบาๆ เพราะตอนเย็นเราจะเล่นของหนักกัน เราไปกินก๋วยเต๋ยวอันดามัน ที่แสนจะมีชื่อเรื่องลูกชิ้น เพราะจะมีลูกชิ้นปลาลวก ทั้งเนื้อปลา และเต้าหู้ปลา แต่จริงๆแล้วหนิงเคยกินร้านข้างๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน พียงแต่วันนี้มีเปิดแค่ร้านเดียว เสร็จจากก๋วยเตี๋ยว ใหญ่ร้องอยากทานโอ้เอว อาหารท้องถิ่นของภูเก็จ จะเรียกว่าอาหารคงไม่ใช่ น่าจะใช้คำว่าขนมมากกว่า โอ้เอวเป็นคล้ายวุ้นสีขาวทำจากเมล็ดโอ้เอว เขามักจะกินใส่น้ำแข็งไส ใส่ถั่วแดง หรือเฉาก๊วย หรือทั้ง 3อย่างรวมกัน

เราขับรถหาร้านจนได้ แล้วใหญ่ก็สมหวัง แต่หนิงก็ว่าไม่ต่างจากน้ำแข็งไสทั่วไป แต่ประวัติขนมชนิดนี้ฟังดูก็ตลกดี เพราะว่าเป็นขนมมาจากปีนัง คนปีนังเรียกบุนทาวบี้ แต่เมืองภูเก็จไม่มีใครเรียกอย่างนั้น มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งแปะที่ขายบุนทาวบี้ ขายให้คนลิ้นไก่สั้น พอกินเสร็จ แปะก็ถามว่า "โฮเหลี่ยวโบ๋" ซึ่งแปลว่า ดีไหม อร่อยไหม คนลิ้นไก่สั้นก็รีบตอบทันควันว่า "โอ้เอี่ยว"
คือโฮเหลี่ยว ซึ่งหมายถึงว่าดี แล้วก็เลยเพี้ยนมาเป็นโอ้เอวในที่สุด ฟังดูแล้วก็ตลกดี

ร้านขนมน่ารักบนถนนดีบุก
มาไม่ถึงครึ่งวัน หนิงก็กินไปหลายอย่าง จนเราได้เวลาย่อย เล็กใหญ่เลยพาหนิงเดินเล่นเมืองเก่า จนเลยเถิดไปถึงบ้านชินประชาอีกครั้ง หลังจากเดินวนไปมา เราก็มาพักร้านขนมน่ารัก ขนมร้านนี้ทำเอง เพราะเจ้าของบอกว่าชอบกิน เลยต้องทำเอง หนิงแอบมอง ถึงเห็นความเปลี่ยนแปลงจากครั้งที่หนิงเคยเห็นเมื่อเกือบ10ปีที่แล้ว ร้านเก๋ๆ น่ารัก มีมากขึ้น อาจเป็นเพราะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่กำลังมาแรงในตอนนี้

เวลายังเหลือมากมาย หนิงเลยจัดหนักพา2สาวตะล่อนทัวร์ พาไปป่าตอง เราขับรถมุ่งหน้าป่าตอง เล็กใหญ่ ดูตื่นเต้น รถเข้าป่าตองเยอะจริงๆ แถมเส้นทางก็มีเขาสูงหลายลูก เส้นทางนี้เคยได้ยินว่าหลายสิบปีก่อนใช้เป็นเส้นทางแข่งไตรกีฬาภูเก็ต เป็นเส้นทางปั่นจักรยาน ที่ผู้เข้าแข่งขันเดินจูงจักรยานชมวิวซะมากกว่า เพราะถนนชันมาก โชคดีที่ในยุคนั้นหนิงยังไม่ได้ร่วมทีม ไม่งั้นคงมีประสบการณ์การปั่นบนถนนสายนี้เป็นแน่

ป่าตองตอนฝนถล่ม มองไม่เห็นเขาด้านหลังเลย
หนิงจัดแจงพา 2สาวไปหาวิวสวยๆดูป่าตอง โดยหนิงหาร้านนั่งริมทะเลตรงเชิงเขา ชื่อร้านปันหยา เป็นมุมที่เห็นป่าตองทั้งหมด วันนั้นคลื่นสูงและทะเลขุ่น ไม่ใสเหมือนหน้าหนาว อาจเป็นเพราะพายุกำลังจะเข้า เราสั่งอาหารกินเล่นอย่างเดียว เพราะหวังแค่จะมานั่งดูวิว เชิงเขาด้านนี้ก้ไม่มีจุดชมวิวซะด้วย มีแต่รีสอร์ทหรูหราขึ้นเต็มไปหมด และที่กำลังก่อสร้างก็อีกไม่น้อย  หนิงเคยอ่านเจอในหนังสือว่า ในภูมิภาคเอเชียเนี้ย ภูเก็ตจัดเป็นสถานที่ ที่สามารถจะมีการพัฒนาได้อีกเยอะ ก็ลองคิดกันเล่นๆว่า ถึงที่ราบบนเกาะจะเป็นทั้งสวนยางและ รีสอร์ทไปหมด จนไม่คิดว่าจะไปไหนกันได้ ในที่สุด นายทุนสมองใสก็ปีนขึ้นไปสร้างรีสอร์ทกันตามหน้าผาจนได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

เราสามคนนั่งคุยกันเรื่องป่าตองสมัยก่อน ครั้งแรกที่หนิงมาเมื่อตอนอายุ 15เห็นจะได้ จำได้ว่าตอนนั้นทั้งหาดมีแต่ผักบุ้งทะเล ไม่มีร้านรวงเยอะอย่างนี้ เป็นหาดที่สงบมาก ขาว คลื่นแรงลูกโตๆซัดเข้าหาดอย่างบ้าคลั่ง แต่เวลาผ่านไปอย่างกับโกหก ทุกอย่างเปลี่ยนไป เสียงเราสามคนคุยกันเหมือนคนแก่ที่ระลึกความหลัง เพราะแฝดเองก้เคยมาในยุคเดียวกัน และเห็นสิ่งที่เป็นความงามตามธรรมชาติเหมือนกัน

หลังจากเรากินกันเสร็จ ไม่นานฝนก็โปรยลงมา แต่ฝนทะเล มาเร็วไปเร็ว ทิ้งไว้แต่ร่องรอยพอให้ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราขับรถย้อนมาทางป่าตองเพื่อจะไปหาด กะตะ กะรน เพราะเล็กเรียกร้องมากๆ เส้นทางบางช่วงไม่มีแม้แต่สิ่งก่อสร้าง อาจเป็นเพราะเทศบาลไม่อนุญาต หรือไม่ก็ยากเกินกว่าที่จะปีนไปทำ หรืออีกที ทำไปไม่คุ้ม เพราะไม่ใช่จุดขาย เราขับรถผ่านหาดกะรนก่อน หาดนี้ใหญ่รองจากป่าตอง แต่ความสงบมีมากกว่า หาดทรายยังคงมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า เล็กสอดส่ายสายตามองหาที่พักเด็ดๆ หวังจะมาพักในคราวหน้า โรงแรมติดหาดมีให้เลือกเยอะ แต่เท่าที่ดู ราคาคงไม่เบา พอเลยมาหน่อย ก็ดูเริ่มคล้ายพัทยาขึ้นมาบ้าง มีบาร์เบียร์ มากมาย ร้านรวงเยอะแยะ แต่ก็นั้นละ ผู้คนกับรู้สึกสนุกสนาน แขกที่พักบนเขามาหน่อย ราคาที่พักคงถูกลงและก็ยังเดินไปหาดสาธารณะได้อีก

เราผ่านมาอีกหน่อยก็ถึงกะตะ หนิงไม่ได้ขับรถเลียบหาด แต่เรามาชมหาดเมื่อเราขับมาถึงจุดชมวิว ทำให้เรามองเห็นทั้งกะตะและกะรนเลย  ในฤดูท่องเที่ยว 2หาดนี้คงเต็มไปด้วยฝรั่งมังคาน่าดูชม

หน้าตาใหญ่อิ่มเอมมาก
ทีนี้ก็เป็นไฮไลท์ของใหญ่ ใหญ่บอกอยากไปแหลมพรหมเทพ เพื่อระลึกความหลังครั้งกระโน้น ตอนแรกเล็กจะไม่ยอมให้ไป แต่ไหนๆก็ทางผ่าน หนิงเลยจัดให้ ทันทีที่จอดรถ ใหญ่สาวเท้าก้าวขึ้นบันได เพื่อจะเดินไปทาแหลมให้ทันใจ และทันทีที่เห็นแหลม ใหญ่วิ่งหัวฟูต้านลมลงไปทันที หนิงกับเล็กเห็นแล้วอดขำไม่ได้ ใหญ่เหมือนโดนกุมารสิง แสดงท่าทางดีใจมากมาย เราถ่ายรูปกันพอประมาณ แต่ไม่ทันไร ลมแรงๆก็พัดพาเอาเมฆฝนก้อนใหญ่ปลิวลงมาตรงพวกเราทันที่ ฝนโปรยลงมา เรา3คน รวมทั้งนักท่องเที่ยวทั้งไทย ทั้งเทศวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น โชคดีที่มีอาคารอยู่แถวนั้น หนิงเลยวิ่งนำไปหลบหลังอาคาร แล้วเราก็เจอพี่ไทยกลุ่มใหญ่นั่งหลบฝนอยู่เหมือนกัน  ฝนตกเพียงชั่วครู่ก็จากไป พวกมนุษย์กลัวฝนทั้งหลายก็เดินออกมาจากที่ซ่อน มาถ่ายรูปกันต่อ  คราวนี้ใหญ่หนักข้อขึ้น ถึงกับปีนลงไปทางแหลมทันที หนิงได้แต่ร้องขู่ เพราะกลัวว่าใหญ่จะเดินไปถึงสุดเลย เรื่องของเรื่องขี้เกียจตามไปกู้เพื่อนขึ้นมา ดีที่ว่าใหญ่เองก็หวั่นๆ เลยไปแค่ ครึ่งทาง  แค่นี้ใหญ่ก็นอนหลับทั้งคืนแล้ว แหลมที่ใหญ่อยากเดินไปเรียกว่าแหลมเจ้า ทำไมชื่อนี้ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีต้นตาลขึ้นอยู่เป็นกลุ่มๆ  จริงๆถ้าให้ดี ต้องมาดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่นี้ โดยเฉพาะมากับชายหนุ่ม นั่งตากลมผมปลิว เอียงคอเอาหน้าซบไหล่ ชมแสงสีส้มแสดบนท้องฟ้า ก่อนที่พระอาทิตญ์จะกลมกิ๊กเหมือนไข่เป็ด และตกน้ำทะเลดังตุ๋มไป แต่มันไม่มีชายหนุ่มที่ว่า เรา3คนเลยเดินคอตกขึ้นรถกลับที่พักทันที

หลังจากเราชื่นชมบรรยากาศกันเองตามประสาเพื่อนสาว ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี  เย็นนั้นหนิงเสนอสองสาวให้ลองร้านดังประจำเมืองภูเก็จ นั้นคือ อ่างซีฟู๊ด หรือ โกวอ่างนั้นเอง  ร้านนี้เป็นร้านอาหารพื้นบ้านที่จัดจ้าน และก็มีอาหารทะเลด้วย เราไม่หิวกันเท่าไร แต่สั่งอาหารไป7อย่าง มีน้ำพริกกุ้งเสียบ แกงเหลืองกุ้งยอดมะพร้าวอ่อน ห่อหมก กุ้งผัดกะปิสะตอ หมูคั่วกลิ้ง หอยชักตีน ไข่เจียวปู อาหารแต่ละอย่างล้วนเผ้ดลิ้นทั้งนั้น แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ เพราะเราท่านกันหมด จะมีเสียงซี๊ดปากบ้างเป็นครั้งคราว ใหญ่ติดใจหอยชักตีนมาก เพราะใหญ่บอกว่าไม่เคยกินเลย และหอยที่นี้ใหญ่มาก ชักออกมาแต่ละตัว เนื้อล้วนๆ หมูคั่วกลิ้งที่นี้ก็จัดจาน เพียงแต่ที่นี้จะขลุกขลิกกว่าทางนครศรีธรรมราช ส่วนน้ำพริกก็ใช่ได้ แต่เล็กติดใจร้านระย้ามากกว่า ห่อหมกก็จัดว่าไม่น้อยหน้าใครเลย หนิงลองชิมห่อหมกที่ภูเก้ตมาหลายร้าน ส่วนใหญ่อร่อยทุกร้าน คืออาจจะแตกต่างที่รสชาติบ้าง แต่เครื่องแกงถึงทุกร้านเลยทำให้ห่อหมกรสชาติดีไม่แพ้กัน หลังมื้ออาหาร เรากลับไปเดินเมืองเก่าอีกครั้ง ในตอนแรกเรากะจะหาบาร์นั่งเล่นกัน
บรรยากาศยามค่ำคืนในเขตเมืองเก่า
แต่เราก็ไม่เจอร้านถูกใจ เจอแต่ร้านที่แออัดไปด้วยผู้ชาย เพราะเขามาเชียร์บอลกัน เราเลยขอบาย หนิงเดินไปเจอ Guest House แห่งหนึ่งบนถนนถลาง ราคาไม่แพงเท่าไหร่ เพิ่งเปิดใหม่ เจ้าของบอกว่าห้องน้ำในตัว ที่นี้หนิงเองก็ไม่เคยใช้บริการ แต่ก็อยากแนะนำให้ลองกัน เพราะอยู่ในเมืองเก่า ตื่นเช้ามาเดินหาอาหารพื้นเมืองทานน่าจะง่าย พวกเราเดินถ่ายรูปเล่นกันไปแต่เพราะความเหนื่อยล้า เราเริ่มสโลสเลตามๆกัน เลยสรุปว่า ซื้อจาก 7-11 ไปกินดีกว่า คืนนั้น เรานอนหลับเป็นตายเพราะอิ่มจัดนั้นเอง


วันจันทร์ที่ใครๆเขาทำงาน แต่เราไม่ทำงาน

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะผจญร่วมกัน ตื่นเช้ามา โรงแรมมีอาหารให้ ทำให้เราขี้เกียจที่จะออกไปหาอะไรทาน หลังอาหารเช้า ใหญ่บอกว่าเขามีศาลเจ้าที่สะพานหิน ให้เราไปไหว้กัน เพราะเขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธ์ ศาลเจ้าที่ว่าคือศาลเจ้ากิ้วเที้ยนเก้ง เป็นศาลที่ใช้ประกอบพิธีในเทสกาลกินผัก  ศาลนี้สร้างเพื่อสักการระบูชาพระนางกิ้วเที้ยนเลี่ยนลื้อ ผู้เป็นเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายศาสนาเต๋า โดยสร้างตามคำบอกเล่าของร่างทรงว่าพระนางต้องการให้สร้างศาลขึ้นที่นี้
 เพื่อที่จะได้มาปกปักรักษาชาวภูเก็จได้


ส่วนสะพานหินนั้น มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต เดิมทีสะพานหินเป็นท่าเทียบเรือสินค้าและเรือโดยสาร ต่อมาได้เป็นสถานที่ที่ได้มีการขุดแร่โดยเรือขุดแร่ลำแรกของโลก ซึ่งเป็นการขุดครั้งแรกของโลกอีกด้วย ต่อมามีการสร้างอนุสาวรีย์หลัก 60ปีเป็นการระลึกถึงกัปตันเอ้ดเวิร์ด โธมัสไมล์ที่เป็นคนนำเรือขุดแร่มา  ต่อมามีการสร้างศูนย์กีฬา และสวนสาธารณะเพิ่มเติม

เจ้าของร้านอรุณโภชนา
ใหญ่ เล็ก หนิง ไหว้เจ้าตามศรัทธาของแต่ละคน เมื่อไหว้เสร็จ เราก็กลับไปเดินเล่นที่เมืองเก่าอีกครั้ง เราพบความแตกต่างจากเมื่อวานที่เราผ่านมา เพราะวันนี้ร้านร่วงบนถนนเปิดกิจการ ทำให้เราเห็นว่า บนถนนถลาง เป็นแหล่งขายผ้า โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายของหญิงบาบ๋า หนิงเห็นแล้วก้อยากได้ ติดแต่สะโพกผาย แต่เอวไม่คอด ใส่ไปรังแต่จะทำให้ชุดเข้าดูเสื่อมเสีย เราแอบเห็นสตรีชาวภูเก็จแต่งตัวแบบบาบ๋าเดินผ่าน ด้วยผ้าทุ่งสีดำ เสื้อลูกไม้รัดรูปสีแดงสด สวยจริงๆ นอกจากเขาจะขายผ้า บางร้านก็ขายขนมพื้นเมืองแต่เรา 3คนไม่มีโอกาสได้ชิม เพราะเขาเปิด 11โมง ซึ่งเราต้องกลับไปโรงแรมก่อน แต่เราได้มีโอกาสกินโรตีที่ร้านอรุณ โภชนา อยากจะบอกว่าโรตีอร่อยมาก เพราะใหญ่บอก ไม่กิน ไม่กิน ใหญ่ยังกินไปตั้งเยอะ โรตีที่นี้กรอบอร่อย มีทั้งหวานทั้งคาว แต่พี่เจ้าของร้านบอกว่า มะตะบะเนี้ยขึ้นชื่อ เสียดายที่ว่าเราซัดโรตีกับชาชักกันไปเยอะ จนแน่นท้องไปหมด

หลังจากเสร็จกิจในเมืองเก่า เราก้กลับโรงแรมไปเช็คเอาท์ ในช่วงนั้นเองที่ใหญ่ได้ไปเห็นในชื่อวัดพระผุด หรือวัดพระทอง ในหนังสือท่องเที่ยวสักเล่มในร้านหนังสือ ใหญ่บอกว่าน่าไปดู หนิงดูจากชื่อถนนแล้วไม่น่าจะไกล อยู่ถนนเทพกษัตรนี้เอง เห็นดังนั้น พวกเราก็รีบออกจากโรงแรม กุลีกุจอขึ้นรถ ขับหาทางไปทันที แต่ถนนเป็นสายยาว แล้ววัดมันอยู่หัวถนน หรือปลายถนนละ นึกดังนั้น ตำรวจจราจรก็ปรากฏตรงหน้า  หนิงขับรถปราดเข้าไปหาเลย  พร้อมทั้งเปิดกระจก "พี่คะ วัดพระผุดไปทางไหนคะ" ตำรวจหันมามอง พร้อมยิ้มให้ก่อนจะบอกว่า " เลี้ยวขวาข้างหน้า วัดอยู่ขวามือ อยู่ถลาง" หนิงมองตามทางตำรวจ แต่ขวาข้างหน้าของตำรวจมันตรงไปไม่ได้ วันเวย์ งั้นเลี้ยวนี้เลยละกัน หนิงคิด เลี้ยวขวานี้ แล้วเลี้ยวซ้ายไป คงเจอ แต่พอหนิงไปตามทางที่คิดแผนใหม่ มันกลับไม่ใช่ หนิงเริ่มบ่นว่าสงสัยตำรวจไม่รู้ทางแหงๆ แล้ว สามสาวก็เมาท์พี่ตำรวจกันไป เราเริ่มใหม่ที่วัดบนถนนดีบุก เลี้ยวเข้าไปถามเลยดีกว่า  แล้วเราก็เลือกถามพระ เพราะว่าน่าจะรู้ที่สุด แล้วก็ไม่ผิดหวัง หลวงพี่บอกให้ตรงไปอำเภอถลาง แล้ววัดอยู่ขวามือ  นั้นไง พี่ตำรวจบอกเราผิดจริงด้วย เลี้ยวขวาหน้าที่ไหน ก็ขวาที่เราเลี้ยวนั้นละ แล้ววัดก็ไม่ได้อยู่บนถนนถลาง แต่อยู่อำเภอถลางต่างหาก  แต่เมื่อลองคิดกลับไปอีกที บางทีพี่ตำรวจคงไม่ได้บอกผิดหลอก แต่คนฟังนั้นละที่ฟังแล้วสรุปเอาเองว่าอยู่บนถนนถลาง นั้นไงแล้วก็ไปเมาท์ตำรวจกัน พวกเราได้แต่กล่าวคำขอโทษพี่ตำรวจหลังจากแอบว่ากันไปถึงไหน
รถมุ่งหน้าไปอำเภอถลาง เป็นเส้นทางที่เราจะไปสนามบินอยู่แล้ว พอเลยอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรี ท้าวศรีสุนทร เราก็มองหาแยกไฟแดงทันที พอเจอไฟแดง เลยไปหน่อยขวามือ เราก็เห็นป้าย ให้กลับรถ แล้วเลี้ยวเข้าซอย วัดอยู่ไม่ลึกนัก ฝนเริ่มลงพร่ำๆ แต่ดูแล้วลมแรงเหลือใจ 2สาวรีบลงหน้าโบสถืก่อนฝนจะตกหนัก แต่เหมือนพระอยากให้มา ตลอดช่วงเวลาที่เราเข้าไปกราบ มีแต่ลมแรงกับฝนปรอยๆเท่านั้น

วัดพระผุด หรือวัดพระทอง เป็นวัดที่มีมาแต่ดังเดิม และตำนานก็มีมากมาย เริ่มต้นด้วยเรื่องนี้ก่อน  ว่ากันว่าสมัยก่อนที่ธิเบตมาตีเมืองจีน เซียงไฮ้ ได้ตีเมืองสำเร็จและได้อัญเชิยพระกลับธิเบตองค์หนึ่ง แต่ในขณะที่ล่องเรือผ่านภูเก็จ ได้เกิดเรือล่ม และพระก็จมลงตรงนี้ เมื่อเวลาผ่านไป พระที่จมอยู่ในทะเลก้ผุดขึ้นมาบนดิน เรื่องนี้อ่านแล้วก็งงๆว่าธิเบตมาทำอะไรแถวนั้น
บรรยากาศบริเวณร้านอาหาร
เรื่องต่อมา เป็นเรื่องเด็กเลี้ยงวัว เลี้ยงควายที่เอาเชือกจูงควายไปผูกกับต่อแถวทุ่ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน เด็กน้อยนั้นก็ป่วยตาย พร้อมควายตัวนั้นไป พ่อของเด็กเลยสงสัย ตามไปพบว่า หลักที่เด็กน้อยผูกควาย คือเศียรพระนั้นเอง แต่ก็ไม่มีใครขุดพระขึ้นมาได้ เลยสร้างวัด สร้างโบสถ์ทับมาจนบัดนี้  แต่ทั้ง2เรื่องที่เล่าก้เป็นแค่เรื่องตำนานที่เล่ากันมา จะจริงเท็จยังไง ต้องไปดุกันเอง

หลังจากเราไหว้พระเสร็จ ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงของเรา ร้านที่เราจะไปกันชื่อร้านเพียงไพร  ร้านนี้ เป็นร้านอาหารโปรดร้านหนึ่งของหนิง เพราะเกือบทุกครั้งที่ต้องมาทำงานและนอนค้างที่นี้ จะต้องมี 1มื้อที่มาร้านนี้ อาหารร้านนี้มีทั้งอาหารโบราณอย่าง ม้าฮ่อ หรืออาหารท้องถิ่นอย่างแกงปูกับเส้นหมี่ หรือเบือทอด หนิงจัดชุดใหญ่ให้กับแฝด เรียกว่ากินกันอิ่มตายไปข้าง ตบท้ายด้วยขนมสมน้ำหน้าคุณที่เจ้าของร้านเรียกขาน กล้วยทอดแสนอร่อย แต่ขอบอกว่าอย่าได้ตะกละกินไปในคำแรก เพราะอาจต้องซ่อมเพดานเหงือกในทันที

หลังจากอิ่มกันเต็มที่โปรแกรมของเราสามคนก็จบลง หนิงจัดการคืนรถ เราสามคนนั่งเครื่องบินกลับบ้านในตอนเย็น เป็นการออกนอกเมืองที่ทำให้แบตเตอรี่เราเต็มขึ้นมาได้ทันที คราวหน้า3เป็ดน้อยจะไปไหนกับใครต้องติดตามชมคะ

ภาพ  นางฟ้า
เรื่อง  นางฟ้า

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทัวร์เป็ดน้อยกับพ่อห่าน ตอน ทักษะการปั่นจักรยานเบื้องต้น

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า กลุ่มเพื่อนๆของเล็กเขารวมตัวกันปั่นจักรยาน ทำให้เล็กและใหญ่ได้มีโอกาสไปร่วมปั่นอยู่ 2-3ครั้ง จนเกิดอาการติดลม อยากได้จักรยานขึ้นมาบ้าง งานนี้ก็ร้อนถึงพ่อห่านอย่างพี่โม่ ที่ถูกรบเร้าให้ช่วยหารถให้หน่อย จนเล็กไปได้รถจักรยานมาคัน สวยถูกใจเจ้าหล่อนนัก พอเล็กมี ใหญ่ก็คันๆ อยากได้ จนวันหนึ่ง หนิงกับพี่โม่ ไปเดินเล่นตลาดนัดรถไฟ แล้วไปเจอคันนี้เข้าให้ เห็นแว่วๆว่าใหญ่ตั้งชื่อว่า กาแฟเย็น เจ้าคันนี้ราคาถูกกว่าที่ลงขายในเวป หนิงกับพี่โม่เลยยุ บอกให้ใหญ่เอาไว้ก่อน

เมื่อมีจักรยานก็ต้องมีทริป ไอ้จะพาไปขี่เขา ก็คงมีจูงจักรยานกันแน่ๆ ในช่วงเวลานั้นเองที่หนิงได้ข่าวว่าแม่มณีถอยรถsingle speedออกมาครอบครองไว้ 1คัน หนิงเลยคำนวณว่า ถ้าพาสาวๆมือใหม่ ทั้ง 3ไปพร้อมกัน น่าจะดี เพราะจะได้มีเพื่อนปั่นกันไป ว่าแล้ว หนิงก็ปรึษาพี่โม่เรื่องออกทริป เราเลือกที่จะเริ่มจากบ้านใหญ่ เพราะบ้านพักใหญ่ อยู่แถวพระราม 2 เหมาะที่จะปั่นออกไปหาอาหารทะเลกิน หนิงเลยเอาปูเข้าล่อให้ใหญ่หลวมตัว อยากมามากขึ้น ซึ่งก็ได้ผล ในขั้นแรก เมื่อเล็กรู้ระยะทาง ก็มีร้องงอแงทำท่าจะเบี้ยว พี่โม่ก็จัดหนักโดยการล่อซื้อแฮนด์มือสองเพื่อมาเปลี่ยนให้เล็ก ก็ได้ผลเป็นอย่างดี

จริงๆก่อนหน้านี้เรื่องทัวร์เป็ดกำลังจะกลายเป็นตำนาน เมื่อหลายคนเห็นว่า มีพ่อห่านเข้ามาป่วนเปี้ยนในกลุ่มเป็ด แต่ในที่สุด พ่อห่านเลยต้องทำหน้าที่หัวหน้าคณะทัวร์ ทำให้ทัวร์เป็ดน้อย ยังดำเนินต่อไปได้

หนิงจัดแจงนัด สาว สาว สาว ในสุดสัปดาห์ที่เป็นใจอย่างยิ่งในการปั่น เพราะเป็นช่วงที่มรสุมเข้า ทำให้ในวันนั้นไม่มีแสงแดดมาแผดเผาให้สะเทือนใจ เรานัดกันที่บ้านใหญ่ 8โมงครึ่ง ซึ่งจากการคำนวณเวลาแล้ว หนิงว่าระยะทางขาไป 25กิโล น่าจะทำให้ถึงร้านอาหารเที่ยงๆ พอให้น้ำย่อยออกมาทำงานพอดี โดยการปั่นครั้งนี้ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นการใช้ถนนร่วมกับรถยนตร์ตั้งแต่ 4ล้อขึ้นไป

ก่อนออกเดินทางเรามาเช็คลมยางหน้าหลัง โดยสูบลมให้เท่ากับที่ยางกำหนดมา หลังจากทุกอย่างพร้อม สาวๆก็เตรียมผ้าไว้สำหรับกันแดด และที่แน่ๆ ก็ใส่ถุงแขนกันล่วงหน้าเลย ไม่อย่างนั้น แขนด่างเอาได้

เส้นทางที่จะไป บางช่วงเป็นช่วงชุลมุน บางช่วงปลอดรถ ทำให้การปั่นไม่เครียดมากเกินไป ก่อนออกเดินทาง เราเจอเพื่อนบ้านใหญ่ ซึ่งพี่เขาเพิ่งกลับจากการปั่น พี่เขาก็ปั่นมาจากเส้นที่เรากำลังจะไป เขามาแนะนำให้เราไปดูทะเลกรุงเทพ น่าดูมากเลย แต่นั้นมันสวนสยามนี้นะ 'ทะเลกรุงเทพ' หนิงจำสโลแกนมันได้ แต่คงไม่ใช่ละ พี่เขาคงไม่ปั่นจากพระราม 2ไปสวนสยามแล้วกลับมาเร็วก่อน9โมงไปได้ พี่เขาคงหมายถึงทะเลบางขุนเทียนนั้นเอง แน่นอน เราก้อยากไปถึงนั้น แต่คงไม่ใช่วันนี้ หนิงแอบคิดในใจ

เราออกจากบ้านใหญ่ 9โมงโดยประมาณ ปั่นผ่านหน้าโรงเรียนรุ่งอรุณ เส้นทางนี้เมื่อ 10กว่าปีก่อน หนิงเคยมาปั่นไปดูลิงแสมฝูงสุดท้ายในกรุงเทพ ไม่รู้ว่าปานนี้มันยังอยู่กันไหม หนิงจำได้ว่าเส้นทางครั้งนั้นเป็นทาลูกรัง ตอนนั้นหนิงใช้เสือภูเขาปั่น แต่คราวนี้พวกเราใช้รถทางเรียบประเภททัวริ่งทั้งนั้น ปั่นเลยโรงเรียนรุ่งอรุณไปหน่อยทางขวามือหลังจากลงสะพานข้ามคลอง จะมีร้านขายอาหารประเภท ห่อหมก ข้าวต้มมัด ร้านนี้เมืองก่อนตอนที่หนิงปั่นมาดูลิง เคยซื้อขนมสอดไส้กิน อร่อยมาก คราวนี้ หนิงเข้าไปถามหา ได้ความว่าไม่ทำมานานแล้ว เพราะคนทำเรียนจบ ทำงานอย่างอื่นกันหมด น่าเสียดาย แต่อย่างอื่นหนิงก้ไม่ได้ซื้อชิมว่าจะอร่อยไหม แต่ดูแล้วก็คงไม่น่าผิดหวัง เพราะเป็นร้านที่ทำเองแบบชาวบ้านที่มีวัตถุดิบแบบเต็มๆ

เราปั่นผ่านกันมาเรื่อยจนถึงสามแยก เลี้ยงขวาไปพระราม2 เลี้ยวซ้ายไปท่าข้าม พี่โม่ พ่อห่านที่นำทริปนี้ออกอาการงงๆ เลยพาพวกเราเลี้ยวขวาไปรพราม 2 แต่พอไปได้สักพัก ก็พบว่ามาผิดทาง เลยย้อนกลับทางเก่า จากระยะทางจากบ้านใหญ่ หนิงซึ่งรับหน้าที่ปิดท้าย สังเกตุว่าเป็ดแต่ละตัวท่าทางจะยังเกร็งๆ กับการขี่จักรยานบนถนนที่รถเยอะ ดูไม่ค่อยกล้าหันมามองข้างหลังกันเลย จนหนิงอดใจไม่ได้ ต้องบอกให้หันมามองกันบ้าง ส่วนแดงกับ single speed ดูแดงแข็งแรงมาก หนิงจะแนะแดงให้ก่อนขึ้นสะพาน ออกแรงส่งให้จักรยานมันแรงพอที่จะขึ้นสะพานง่ายๆ ซึ่งดูแล้วแดงทำได้สบายทีเดียว

ตอนนี้พวกเรามุ่งหน้าไปตามทางที่ไปท่าข้าม แล้วเราก็พักจุดแรก ร้านสะดวกซื้อ 7-11 หนิงรีบถามเล็กก่อนเลยว่าไหวไหม เล็กยังเสียงแจ๋ว ดูคึกคัก ส่วนแฝดใหญ่ หนิงหายห่วง ใหญ่เป็นสาวใจสู้ทีเดียว เพราะเมื่อครั้งที่ใหญ่ ปั่นครั้งแรกกับเพื่อนๆเล็ก ใหญ่ปั่นขึ้นเนินยาวๆได้สบายๆ โดยไม่ต้องลากจูงเลย ส่วนแดง เป็นสาวที่แอคทีฟตลอดเวลา หนิงแค่ห่วง เพราะเพิ่งรู้มาว่าแดงเพิ่งจะออกทริปไกลๆครั้งแรก ก่อนหน้านั้น แดงแค่ปั่นอยู่แถวๆบ้าน

จริงๆแล้วเล็กกับใหญ่เคยมีประสบการณ์การปั่นจักรยานในอินเดีย ซึ่งแสนจะไม่ง่ายเลย เพราะหนนั้น เต็มไปด้วย รถสารพัดแบบทั้งรถยนตร์ จักรยาน มอเตอร์ไซค์ คนเดินเท้ารวมไปถึงวัวที่ต่างก็แย่งกันใช้ถนนร่วมกัน คราวนี้จะว่าไปถือว่าง่ายกว่ามากสำหรับฝาแฝด

หลังจากให้น้ำกันไป เราก็ออกเดินทางต่อ เส้นทางของเรามุ่งหน้าไปทางวัด หัวกระบือ ลมทะเลที่พัดขึ้นฝั่งวันนี้แรงเอาการอยู่ ใหญ่ค่อนข้างดูไม่สบายเลยกับการปั่นจักรยาน แต่เล็กยังพอไปได้ หนิงถามเล็กเป็นระยะ ระยะ ว่าไหวไหม กลัวว่าเล็กจะเกิดอาการท้อแท้ไปซะก่อน เราแวะถ่ายรุปกันไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านวัดหัวกระบือ เส้นทางค่อนข้างจะปลอดจากรถ จะมีมาบ้างเป็นบางช่วง สะพานข้ามคลองก้ไม่มากเหมือนช่วงที่ปั่นแรกๆ แต่ลมยังคงเป็นอุปสรรคนักหนา หนิงได้ยินเล็กบ่นเรื่องลมเป็นระยะ แต่หนิงก็ให้กำลังใจไปว่าขากลับสบาย แดงปั่นลิ่วๆ ตามพี่โม่ไปติดๆ แดงบอกว่าถ้ารอบดีๆ ยังปั่นแซงพี่โม่ไปได้ด้วย ดูเหมือนแดงจะได้กำลังใจไปเยอะ ส่วนใหญ่ดูแย่มากสำหรับคราวนี้ ใหญ่ปั่นรั้งท้าย จนหนิงต้องให้ใหญ่นับ 1-2เพื่อช่วยหาจังหวะในการปั่น ใหญ่แอบถามว่าทำไมจักรยานแดงไปเร็วจัง เบากว่าเยอะเหรอ ใหญ่บอกว่าจักรยานใหญ่หนักมาก
หนิงได้แต่บอกว่ามันคนละประเภทกัน จริงๆจักรยานแบบแดงเขามีสำหรับการแข่งขัน แต่นำมาดัดแปลงเพื่อใช้ขี่ตามถนน จักรยานของแดงขอเสียคือไม่สามารถพากันปั่นขึ้นเขาได้ ซึ่งผิดจุดประสงค์ในการซื้อจักรยานของใหญ่

หลังจากปลอบใหญ่ให้หายกังวล พี่โม่ก็จัดพักให้อีกรอบ รอบนี้เราได้มุมน่ารักให้ชักภาพเป็นการใหญ่ น่าตลกที่ทริปนี้ทุกคนมีกล้องเป็นของตัวเอง แล้วเราก็เลือกถ่ายมุมที่เราชอบ อย่างสนุกสนาน เมื่อหายเหนื่อย เราก็ออกเดินทางต่อ ไม่มีใครรู้ว่าเรามาไกลแค่ไหน เพราะมือใหม่ไม่มีใครมีเครื่องวัด ส่วนมือเก่ามีพี่โม่คนเดียว แต่ไม่ยอมบอกใคร ส่วนหนิงก็หลอกเพื่อนสาวไปเรื่อยๆว่าใกล้แล้ว ใกล้แล้ว

ไม่นานนัก เราก็ปั่นออกสู่เส้นทางมุ่งหน้าชายทะเลบางขุนเทียน จากตรงนั้นไม่ไกลเท่าไหร่นัก เราก็จะถึงร้านอาหารที่เรารอคอย แต่พี่โม่บอกว่าเลยจากร้านอาหารเลี้ยวซ้ายตรงสามแยก จะมีร้านกาแฟน่ารักร้านหนึ่ง ร้านกาแฟนี้เป็นร้านกาแฟที่นักปั่นจักรยานแถวๆนั้นใช้เป็นที่พักดื่มน้ำ ก่อนปั่นกลับบ้านใครบ้านมัน

ก่อนเราจะมาถึงร้านน้ำ เล็กท่าทางบอกบุญไม่รับเลย แต่พอเลี้ยวซ้ายเท่านั้นละ ลมส่งก้นเล็ก ทำให้ปั่นได้เร็วขึ้นแบบไม่เห็นฝุ่นเลย ผิดกับใหญ่ที่ปั่นยังไงก็ไม่ไป ตลอดทางใหญ่บ่นว่ารถหนัก แต่หนิงลองให้ใหญ่ยกจักรยานหนิง ใหญ่ก็ว่ารถหนิงหนักกว่า แต่พอใหญ่ลองปั่นรถแดง ใหญ่บอกว่าสบายมาก หนิงมีหลอกให้แดงลองปั่นแซงใหญ่ด้วยรถจักรยานใหญ่ หวังจะให้ใหญ่สบายใจ ซึ่งแดงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอเอาพลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในออกมา แต่ทันทีที่แซงใหญ่ได้ แดงบอกว่า 'ไม่ไหวแล้ว รถหนัก' ว่าแล้วใหญ่ก็ต้องกลับมาปั่นจักรยานคันเดิมของตัวเองมุงหน้าร้านน้ำแบบแฮ่กๆ

หลังจากเรานั่งดื่มน้ำกันสบายใจ ระยะทางประมาณ 25กิโล ตามเป้าหมาย เราก็ย้ายที่พักมายังร้านอาหารริมทาง ชื่อรับลม ร้านนี้เป็นร้านชาวบ้าน มีบ่อปลาอยู่ข้างๆ ที่นั่งสบายนั่งยืดขาสบาย เราสั่งหอยตลับผัดพริกเผา ปลาทอดราดน้ำปลา ปลาหมึกผัดกะทิ ไข่เจียวกุ้ง ที่ขาดไม่ได้คือปูนึ่ง ซึ่งใหญ่รอคอยมาก อาหารมาอย่างต่อเนื่อง เราใช้เวลานับชั่วโมงในการกำจัดสิ่งเหล่านั้นลงไปอยู่ในกระเพาะอาหาร ก่อนออกเดินทาง เราตบท้ายด้วยสละลอยแก้วเย็นๆ ให้ชื่นใจ

ขากลับ เรากลับทางเดิม โดยเราแวะวัดหัวกระบือด้วย ที่วัด หนิงเห็นกะโหลกควายวางเรียงกันเต็ม อีกด้านมีคอกควาย ซึ่งมีเจ้าควายอยู่นับสิบๆตัว สอบถามได้ความว่าวัดนี้เน้นการทำบุญไถ่โคกระบือ แล้วกระบือเหล่านั้น ก็จะเอาไว้ให้ชาวบ้านมาขอไปสำหรับทำนา ห้ามเอาไปฆ่าเด็ดขาด แต่ควายสวนใหญ่เป็นควายเผือก ชาวบ้านไม่นิยมเลี้ยง อันนี้คงเป็นความเชื่อท้องถิ่น จะว่าไปหนิงเห็นควายเผือกมากๆ แถวประเทศลาว เวียดนาม เมื่อครั้งไปทัวร์ริ่งท่ีนั้น แต่ก็ดูชาวบ้านไม่ได้เชื่อถืออะไร อาจเพราะแถวนั้นมันมีแต่เผือกๆ ไม่เลี้ยงไว้ คงไม่มีควายไว้ใช้เป็นแน่

ระหว่างทางก่อนถึงบ้านใหญ่ ใหญ่พาเข้าชมอาศรมศิล์ป สถานที่เรียนที่ใหญ่กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ สถานที่น่ารัก ร่มรื่น เหมาะกับการเอนหลังเป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้ว สาวๆ ก็ล้มตัวลงนอนแผ่หราแบบไม่อายใคร เพราะแต่ละคนก็หมดกันสุดๆ ทริปนี้เป็นทริปที่สุดของสาวๆ โดยเฉพาะเล็ก เพราะเราไม่อยากเชื่อว่าเล็กจะทำได้ ถึงจะมีงอแงบ้างก็ตาม ส่วนแดงหลังจากทริปนั้น แดงก็เกิดอาการอยากจะปั่นอีกตลอดเวลา จนทำให้หนิงกับพี่โม่ เตรียมหาทริปสำหรับสาวๆกัน ใหญ่ไม่ต้องพูดถึง ขานี้สุดๆ ใจถึง แรงดี เพราะในที่สุด เราก็รู้ว่ารถจักรยานใหญ่มีปัญหา ล้อหลังมันไม่วิ่ง น่าจะเกิดจากลูกปืนข้างใน ซึ่งคือสาเหตุของรถที่ทำให้ปั่นไม่ไป แต่ใหญ่ก้ปั่นมาเกือบตลอดทาง มีหนิงกับแดงผลัดกันลองของจนรู้ถึงสาเหตุของความหนืดนั้น

ก่อนจากกัน เรามาเซ็ตรถกันใหม่ ทั้งของแดงและของเล็ก คราวหน้า หนิงแนะให้สาวๆหาของใช้สำหรับจักรยาน ไม่ว่ากางเกง หรือผ้าคลุมหน้า เพื่อป้องกัน ไม่ให้สภาพเราเยินไปกว่าที่เป็นอยู่ คราวหน้า หนิงกับพี่โม่ยังไม่รู้ว่าจะพาสาวๆไปไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องมีของอร่อยๆรออยู่แน่ๆ เหมือนรางวัลของชีวิตยังไงยังงั้น

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่5 Great day, great view, great friends.

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่ 5 Great day, great view , great friends

หลังจากเรานอนเอาแรงอย่างมีความสุขเมื่อคืนแล้ว ตื่นเช้ามา ร่างกายเราก็เรียกความสดใสกลับมาอีกครั้ง แผนการณ์ปั่นที่เราได้รับทราบมาวันนี้ มีระยะที่ประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร และแน่นอนระยะทางวันนี้เป็นเขาซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้าย ที่จะมีการพากันไปดูนาขั้นบันได ที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน และยังถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทางรัฐบาลจีน สนับสนุนอีกด้วย

เช้านี้เราออกเช้าเหมือนเดิมโดยพวกแม่บ้านยังได้นอนเล่นต่อไปอีก เมืองหลี่ชุ่นนี้ ประชาการส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยเป็นชาวอีก้อ และเย้า มีหมู่บ้านเล็ก หมู่บ้านน้อยตามเขา ตามดอยอย่างที่เราพบเห็นมาตลอด อากาศบนเขาเย็นสบาย ทั้งที่นี้แค่เดือนตุลาคม ถ้าเป็นฤดูหนาว คงจะหนาวมาเอาการทีเดียว

หนิงกับออยจัดการแต่งตัวเรียบร้อย ลงมาทานอาหารเช้า อาหารเช้า เป็นเหมือนเส้นขนมก๋วยเตี๋ยว ราดด้วยเครื่องต่างๆ มีน้ำซุปร่วมผสมโรง หนิงมารู้ตอนหลังว่า เขาเรียกว่าขนมข้ามสะพาน ที่ว่าข้ามสะพานนั้นมันอย่างไง จะเล่าให้ฟัง

เรื่องของเรื่องคือเมื่อหลายร้อยปีก่อน ประมาณ 200ปีมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหน่ึงอยากจะเข้าไปสอบจอหงวนในเมืองหลวง แต่ด้วยต้องอ่านหนังสือเยอะและไม่ต้องการการรบกวน ชายหนุ่มคนนี้ก็เลยหนีไปอ่านหนังสือที่เกาะแห่งหนึ่ง โดยทุกๆวันภรรยาของ เขาจะนำอาหารเดินทางข้ามสะพานมาส่ง แต่ในทุกวันอาหารที่ทำมากว่าจะถึงมือชายหนุ่มก็เย็นหมด ภรรยาเองก็หมดปัญญาที่จะทำให้มันอุ่นตลอด แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ภรรยาทำไก้ต้มเสร็จแล้ว โดยไก่ยังอยู่ในน้ำซุป ก็เผลอหลับไป แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าน้ำซุปนั้นยังคงความร้อนอยู่ ภรรยาเชื่อว่า ไขมันไก่ที่ลอยบนน้ำรักษาความร้อนไว้ได้ ดังนั้นในวันต่อมานางจึงได้ทำน้ำซุปไก่ แล้วนำขนมจีน หมูหั่นบางๆ ผักดอง และเครื่องปรุงต่างๆ นำไปให้ชายหนุ่มได้กิน มื้อนั้นชายหนุ่มบอกว่าเป็นอาหารที่อร่อยมาก จึงถามภรรยาว่าอาหารชนิดนี้ชื่ออะไร ภรรยาตอบว่าไม่มีชื่อแต่ว่าระหว่างทางนางได้เดินข้ามสะพานมา จึงเรียกอาหารชนิดนี้ว่าขนมจีนข้ามสะพาน ต่อมาชายหนุ่มสามารถสอบจอหงวนได้ และขนมจีนข้ามสะพานก็เป็นที่นิยมในมณฑลยูนนานในเวลาต่อมา

หลังจากอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราก็เริ่มทยอยเอากระเป๋าขึ้นรถ ในวินาทีนั้นเองที่ออยพบว่าสมบัติล่ำค่าของออยได้อันตธานไปจากที่ซ่อน ออยตั้งหน้าตั้งตาสืบหาร่องรอย แต่ก็ไม่พบ สุดท้ายออยได้แต่มานั่งหน้าตูบ ไม่พูดไม่จากับใคร จนมีเสียงแซวลอยมาว่าใครแอบเอาไปให้เอามาคืนดีๆ แต่ในทันใดนั้นเอง เหมือนพรายกระซิบ พวกพี่ๆเห็นออยเดินกลับไปง้วนอยู่ที่ กระเป๋า แล้วแสงประกายที่ตาออยก็เจิดจรัส ออยเจอสมบัติล้ำค่าแล้ว สืบไปถามมาได้ความว่า มันมาอยู่ได้ไง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าตัวเก็บอย่างดีมาแต่เมื่อคืนนั้นเอง เพียงแต่เมื่อวานเหนื่อยจัด เลยเกิดอาการ ไฟลัดวงจรทางสมองเล็กน้อย เป็นอันว่าวันนี้ออยอารมณ์ดีแล้วพร้อมลุยต่อไป

เรารอกันจนพร้อมทุกคน แล้วก็เริ่มปั่นกันออกจากเมืองหลี่ชุน เมืองหลี่ชุน จัดว่าเป็นเมืองบนเขาที่ใหญ่ทีเดียว เพราะตั้งแต่ปั่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงตอนนี้ที่กำลังจะลาจาก เป็นระยะทางที่ไม่น้อยทีเดียวที่สอง ข้างถนนเป็นตึกใหญ่เหมือนตึกที่สร้างบนพื้นราบ

เราปั่นกันไปเรื่อยๆเพื่อหาจุดชมวิวถ่ายรูปกัน มันทำให้เราเห็นว่า ที่ๆเราปั่นขึ้นมากันเมื่อวานมันช่างสูงอะไรอย่างนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่า พวกเราปั่นขะโยกเขยกมากันจนได้ เราถือว่าวิวที่เราเห็นตรงหน้ามันคือรางวัล ที่เราตั้งใจปั่นกันมา ภูเขาซ้อนๆกันเบื้องหน้า แต่อีกนัยหนึ่งมันทำให้เราตระหนักว่าวันนี้เรายังคงต้องปั่นขึ้นเขากันอีก หนิงได้ข่าวว่าการปั่นวันนี้ เป็นการปั่นขึ้นไปเพื่อดูวิวพระอาทิตย์ยามเย็น นั้นหมายความว่าเรามีเวลาเป็นตัวกำหนดให้ต้องปั่นในวันนี้ ระยะทางในวันนี้ไม่ถึง 100กิโล เพียงแค่ 96กิโลเมตรเองเท่านั้น เส้นทางที่ได้ยินมา เขาว่าลงเขาซะส่วนใหญ่ แต่ถึงไงข่าวที่ลือกันมา ไม่อาจจะเชื่อถือได้ เพราะว่า4กิโลแม้วที่เคยได้ยิน ในทุกยุคทุกสมัยก็ทำเอากระอักมาแล้วหลายครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้ หนิงถึงทำใจรอไปก่อน

หลังเราชักภาพกับวิวสวยๆแล้ว เราก็เริ่มไหลลงจากเขากัน ด้วยความที่การลงเขาเป็นของชอบพี่หมุ พี่หมูเลยนำพวกเราไปก่อน และนั้นเองทำให้พี่หมูหลุดด่านลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ว่าหลุดไม่ได้หมายถึงแหกโค้งหรืออะไร เพียงแต่ว่าพี่หมูไปถึงเร็วก่อนที่ด่านจะตั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น พี่หมูเลยไม่ต้องมาติดอยู่ที่ด่านเหมือนพวกเรา หลังจากพี่หมูผ่านไม่นาน ทหารจีนก็ตั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วเราก็ถูกกักบริเวณที่นั้น พวกเราถึงแม้จะอยากแหกด่านกันลงไป แต่ใครละจะกล้า พี่ทหารเล่นยืนจังก้าหน้าคว่ำ ทหารจีนไม่ใช่ทหารไทย พูดไม่รู้เรื่องขึ้นมาจับยัดคุกละซวยแน่ๆ พวกเราไหลลงมาด้วยความเร็วสูงแต่ก็ เตะเรคกันตัวโก่งทีเดียว พวกเราเลยได้แต่นั่งรออยู่ที่ด่านนั้น เรารอจนกว่าพี่เยาว์จะเอา Passportพวกเราออกมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ พักใหญ่กว่าพี่เยาว์จะมา เราถึงได้หลุดออกจากด่านได้สะดวกโยธิน เหตุที่ทหารมาตั้งด่านบริเวณนั้น เนื่องจากภูมิภาคที่เราไปปั่นนั้น ติดกับเวียดนามและลาว แต่ด่านนั้นมันก็เข้ามาในเขตจีนพอสมควร เลยไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ว่ามาตั้งทำไม แต่ถึงไงเมื่อเราหลุดมาได้ เราก็ยังคง downhillกันต่อไป เสียงพี่หมูวอมาบอกเส้นทางเป็นระยะ เส้นทางยังคงมีการทำถนนเป็นช่วงๆ พี่บี๋ยังคงต้องย่องลงมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงซักเท่าไหร่ เราไหลมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็หมดทางเขา เหลือเพียงแต่ทางเลาะริมน้ำไปเรื่อยๆ อีกไม่นานเราก็จะได้พักเที่ยงกัน อากาศเย็นยามเช้าหายไป เมื่อถึงพื้นล่างอากาศร้อนเริ่มเข้ามาแทนที่ เราถอดเสื้อกันลมออกเก็บ เพราะมันไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว เราปั่นไปคุยไปกันเรื่อยๆ ร้านอาหารกลางวันอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆระหว่างทาง เราไปถึง ได้ยินสาวๆจากรถตู้ร้องหาห้องน้ำกันจ้าละหวั่น แต่สุดท้ายก็เห็นเดินสมัครใจเข้ารกเข้าพงจนได้

อาหารเที่ยงวันนั้นเหมือนทุกวัน มันๆเลี่ยนๆแบบคนจีน อาหารจานโตหลายจานวาง และอย่างเคย อาหารเหลือ แต่วันนี้แอบเห็นพี่หมูไปได้หนอนไม้ไผ่มา เห็นเอาไปให้แม่ครัวคั่วมาจาน แต่เห็นที โต๊ะเด็กๆคงขอบาย เพราะไม่สันทัดอาหารป่าเช่นนั้น เราพักกันไม่นาน เพราะระยะทางที่เหลือจะต้องปั่นไปเพื่อขึ้นเขา ไม่สบายอย่างเมื่อเช้าแล้ว

เราออกตัวกันพลางๆ ไปได้สักพัก พี่ชายก็แอบปั่นหนีอย่างรวดเร็ว ได้ความว่าจะไปหาทำเลเหมาะเจาะวางทุ่นซะหน่อย เราปั่นตามไปเรื่อยๆ หวังจะตามกลิ่นไป แต่ระหว่างทางเป็นทางเลาะแม่น้ำและสันเขา ดูยังไงก็ไม่เห็นวี่แววพี่ชาย พอไปอีกหน่อย ก็มีป่ากล้วย กล้วยหอมลูกโตๆเครือยาวละพื้น มองไปก็ไม่เห็นพี่ชายเลย แถบนี้เราไม่เห็นต้นยางแล้ว แต่ยังคงเห็นสวนกล้วยอยู่บ้าง แต่ที่เห็นมากขึ้นคือนาขั้นบันได พูดถึงนาขั้นบันไดแถวบ้านเราก็มีทางภาคเหนือแถวแม่ฮ่องสอน แต่ความใหญ่โตไม่เท่าที่เมืองจีนแน่ เพราะว่าเขาแต่ละลูกที่คนจีนขึ้นไปปลูกข้าว มันสูงใหญ่นัก เกินบรรยายจริงๆ เคยได้ยินคนพูดว่าหน้านาเราจะได้ยินเสียงน้ำไหล จากคันนาขั้นบันได เรื่องนี้หนิงยังไม่เคยได้มีโอกาสได้พิสูจน์เลย สักวันถ้าได้ยินจะจะแล้วจะเล่าให้ฟัง

เราเริ่มกังวลนิดหน่อยกลัวว่าจะหลงกัน เมืองจีนไม่ใช่เมืองไทย หลงไปหาทางกลับไม่ถูกด้วย แต่ถึงไงเราก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาปั่นกัน เพราะท้ายสุดเราต้องปั่นขึ้นเขากันหลายสิบกิโล เดี๋ยวจะพลาดดูพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดกัน ก่อนขึ้นเขาเราหยุดพักกินน้ำกันก่อน เป็นช่วงที่เรารอพี่ชายด้วย และไม่นาน พี่ชายก็เผยโฉมออกมา ได้ความว่าพี่ชายแอบเข้ารกเข้าพง แต่ไม่มีโอกาส วอบอกพวกเรา เพราะกำลังทำธุระหนักอยู่ เป็นอันว่าสมาชิกเราครบแล้ว ช่วงที่เรากำลังนั่งพัก หนิงกับออย ออกอุบายอยากแกล้งพี่ต๋อง แต่แผนล้มซะก่อน เพราะพี่ต๋องระวังตัวตลอดเวลา ตอนแรก เรากะจะเอาหินไปซุกไว้ในกระเป๋าข้างจักรยานพี่ต๋อง เวลาปั่นขึ้นเขาจะได้หนักๆ แต่ที่ไหนได้แผนนี้ไม่สำเร็จ และในขณะที่สาวๆวางแผนแกล้งลุง หนุ่มๆก็รุมจีบอาหมวยขายน้ำเป็นการใหญ่ โดยพี่พงษ์ถึงกับวางแผนเจาะยางตัวเอง

พอออกจากร้านน้ำได้หน่อย พี่พงษ์ก็วอมาบอกว่ายางแบน นั้นไง พี่พงษ์กะจะค้างบ้านหมวยชัวร์ แต่พี่ไกด์ ผู้เป็น buddyตลอดทางของพี่พงษ์ ประกาศให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นแผนการณ์แยบยลที่พี่พงษ์วางไว้จึงล้มเหลว ในขณะที่พี่บี๋ประกาศตั้งหน้าตั้งตาปั่นไปให้ถึงไวๆ และก็มีออยติดสอยห้อยตามไปติดๆ วันนี้ออยตัดสินใจทิ้งอาจารย์ต๋องไว้ข้างหลัง แต่พี่ต๋องก็มีหนิงแปะติดไปตลอด เพราะหนิงอยากรู้ว่าแรงพี่ต่องจะแค่ไหนกัน

ออกจากร้านหมวย เราก็เริ่มไต่เขากันเลย โค้งซ้ายโค้งขวา กว่าจะหมดแต่ละโค้งมันช่างยากเย็นเหลือเกิน หนิงเกาะพี่ต๋องไปติดๆ โดยมีพี่บี๋นำขึ้นไปก่อนและมีออยตามหลัง พี่ต๋องปั่นเป็นจังหวะๆ เสียงหายใจไม่มีให้ได้ยินสักนิด แสดงถึงความฟิตทีเดียว หนิงแอบลอบมองหลายหน เห็นสายตามุ่งมั่นของพี่ต๋อง หนิงนึกในใจว่าพี่ต๋องจะตั้งหน้าตั้งตาปั่นไปถึงไหนกัน ไม่คิดจะเงยหน้าชมวิวหรือไร หนิงเลยจักการกำจัดความเงียบในทันที หนิงทั้งชวนคุย ร้องเพลง กดวอเรียกคนโน้นคนนี้ พี่ต๋องก็ไม่สนใจ มีการหันมาต่อว่าว่าทำสมาธิปั่นจักรยานเสีย แต่นกแก้วอย่างหนิงก็ยังคงไม่หยุดเสียง การปั่นเงียบๆมันช่างไม่น่าพิสมัยเอาซะเลย ปั่นไปได้หลายโค้ง หนิงเริ่มหิวแล้ว เวลาตอนนั้น 4โมงเย็น อาหารเมื่อเที่ยงย่อยสลายไปหมด ดีที่ว่าหนิงเอาเสบียงติดกระเป๋าหลังมา มีทั้งแอ๊ปเปิ้ล กล้วย หนิงเลยจัดแจงส่งกล้วยให้พี่ต่อง แต่ทันที่ที่พี่ท่านกินหมด เธอก็โยนเปลือกมาหน้าจักรยานหนิง ทำอย่างกับว่่าเราจะลื่นไถลซะงั้น แต่คนดีผีคุ้ม ไม่มีซะละที่พี่ต่องจะกำจัดหนิง หนิงยังคงปั่นไปเรื่อยๆตามพี่ต๋อง ช่วงเวลานั้น เหมือนพี่ต๋องพยายามจะเร่ง แต่ความสูงชันของเขา กับความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นมาเกือบทั้งวันไม่ทำให้พี่ต๋องสามารถหนีหนิงไปได้ หนิงเกาะตามพี่ต๋องมาเรื่อยๆ เสียงหายใจของหนิงเป็นจังหวะ หนิงลอบมองพี่ต๋องเป็นครั้งคราวเหมือนอยากจะรู้ความในใจ แอบเห็นสายตาพี่ต่องจับจองไปบนพื้นถนน ที่ไอความร้อนละเหยลอยมาปะทะใบหน้า โค้งแล้ว โค้งเล่า เราก็ยังไม่เห็นยอดเขาสักที นาฬิกาข้อมือบอกเวลาล่วงเลยมาแล้ว1ชั่วโมง ก่อนหน้านี้ที่จะหมดสัญญาณวิทยุ หนิงได้ยินว่าพี่พงษ์ทำการปะยางเรียบร้อยแล้ว หนิงมองไปข้างหน้า เห็นหลังใครสักคนแว้บๆ หลังน้อยๆของสาวน้อย น้องออยนั้นเอง ออยพยายามตามพี่บี๋ แต่พี่บี๋ชายหนุ่มที่พลังช้างก็ปั่นทิ้งออยไว้คนเดียว ออยมุ่งมั่นปั่นโดยไม่สนใจข้างหลัง เหมือนหนิงอ่านใจพี่ต๋อง พี่ต๋องเริ่ม speedขึ้นนิดๆ หวังจะตามออยให้ทัน หนิงต้องเร่งจังหวะตาม ออยตัวค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ออยก็ยังนำเราอยู่ 1โค้ง ตอนนั้นหนิงเองเริ่มหันรีหันขวาง นึกในใจว่าอย่าให้ออยเห็นพี่ต๋องเลย ไม่งั้น ตูเหนื่อยขึ้นอีกแน่ แต่แล้วออยก็หันมาเห็นพี่ต๋องจนได้ หนิงสังเกตเห็นจังหวะออยเร่งขึ้น ‘เอาแล้วสิกู ศิษย์คิดหนีครู แล้วกูละ จะทำไงดี’ แต่ช่วงแห่งความคิดมันมาไวไปไว ไม่ต้องคิดมาก ‘ตามอย่างเดียวกู’ ว่าแล้วหนิงก็เร่งจังหวะตาม ขณะที่ความเข้มข้นของการะประลองกำลังกันเล็กๆ กำลังเริ่มต้น ก็มีเสียงลอยตามคลื่นอวิทยุมา ไม่ไกล แค่เขาทางซ้ายมือนั้นเอง ‘เห็นบี๋ไหม เห็นบี๋ไหม’ เสียงพี่บี๋ร้องเรียกทันทีที่เห็นพวกเราปั่นขึ้นมากัน พี่บี๋ปั่นนำกว่าเยอะ แน่นอนเพราะรถที่พี่บี๋ใช้เบากว่าใครๆในกลุ่ม บวกกับกำลังหนุ่มใหญ่ของพี่บี๋ แต่ช่วงที่เราแสนจะเหนื่อยเพราะตะบี้ตะบันปั่นตามขาแรงอยู่นั้น หนิงก็นึกในใจว่า ‘กูไม่เห็นบี๋หรอก แต่ตอนนี้กูงะ เห็นหมีแน่ๆ’ เหนื่อยเหงื่อโทรมกายขนาดนั้น แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ออยซึ่งกำลังโดนพี่ต๋องปั่นไล่มาติดๆก็ถึงพี่บี๋ก่อน หนิงเห็นสายตาเสียดายของพี่ต๋อง พี่ต๋องคงคิดว่า ระยะไกลกว่านี้เถอะ ออยเสร็จแน่ หนิงตามมาติดๆ พวกเราหยุดพักเหนื่อยอึดใจก่อนที่ออยและพี่ต๋องจะปั่นนำไปก่อน ส่วนหนิงหลังพิสูจน์แล้วว่าสามารถเกาะพี่ต๋องได้ตลอด ก็ขอพักรอพี่ๆคนอื่นๆอยู่ที่นี้ต่อไป

หนิงกะพี่บี๋ยืนคุยกันไม่นานก็เห็นพี่ๆปั่นออกจากเหลี่ยมเขาขึ้นมา หนิงกับพี่บี๋เลยจัดการร้องเพลงรอ ทั้งร้องทั้งเต้น พี่หมูปั่นมาถึงก่อนใคร แล้วเลยเลยไปก่อนเลย ในขณะที่พี่ชายและพี่วัชร ตามไม่ห่าง คู่สุดท้ายหนีไม่พ้นชายคู่ เจ้าของแผนการณ์นอนบ้านหมวย พี่พงษ์กะพี่ไกด์ เมื่อเราถึงกันครบ เราจัดการถ่ายรูปเป็นที่ระทึกว่า วันนี้กูปีนเขากันสูงอีกแล้ว ก่อนที่เราจะออกเดินทางกับเวลาที่เหลือแค่ 1ชั่วโมง กับระยะทาง10กิโลกว่าๆ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดิน หนิงได้ยินพี่หมูวอถามทาง เลยขอให้พี่บี๋ตามไปดู เพราะพี่บี๋สามารถโขยกไปได้ไวกว่าใครๆ ตอนนั้นเราอยู่กันห้าคน ค่อยปั่นกันไป พี่ชายกับรถfullsus ที่แสนจะหนักเป็นอุปสรรคในการปั่นยิ่งนัก แต่เราก็ปั่นรอกันไป พี่พงษ์หลังจากเปลี่ยนยาง ความที่สูบที่ใช้สูบเป็นอันเล็ก แรงอัดจึงไม่เต็มที่ ทำให้ยางอ่อนกินแรงเวลาปั่น พี่ไกด์เลยประกบตลอด หนิงปั่นรอ ปั่นนำไปไม่ไกลนัก เรามองออกไปทางซ้ายมือ สิ่งที่เราเห็นคือหุบเขาและเส้นทางที่เราปั่นกันขึ้นมา มองไปไกลๆหน่อยเห็นหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา แสงพระอาทิตย์ยามเย็นทอเป็นสีทอง อีกไม่นานก็จะลาลับขอบฟ้า พวกเราเริ่มกังวล ว่าเราจะไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกกัน แต่เราก็ยังคงปั่นกันอยู่ ในใจคิดว่าอย่างน้อยเราก็จะได้ปั่นครบระยะทางกัน พี่บี๋วอมาบอกว่าเจอพี่หมูแล้ว พี่บี๋กับพี่หมูเลยปั่นไปด้วยกัน เสียงวอของออยบอกว่าใกล้ถึงเต็มที ออยกับพี่ต๋อง ออกมาก่อนตั้งนานยังไม่ถึง แล้วเราละ คิดอย่างนั้นหนิงเดาว่าเราคงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกบนยอดเขาแน่ แต่จะว่าไปตรงที่เราอยู่ก็สูงพอที่จะเห็นความงาม และแล้ว เมื่อเวลามาถึง พวกเราห้าคนที่ยังคงปั่นกันอยู่ ก็ได้ดูวิวพระอาทิตย์ที่ตกที่สวยที่สุดในทริปนั้น เราปั่นมุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือ ซ้ายมือเราเป็นหุบเขา ที่เห็นนาขั้นบันได เต็มไปหมด มีหมู่บ้านน้อยๆ อยู่ตามไหลเขา 2-3แห่ง แสงทองของพระอาทิตย์หมด ไป เหลือเพียงลูกกลมๆสีส้มลอยอยู่ยอดภูเขาที่สูงตระหง่าน หนิงตะโกนเรียกให้พี่ๆดู พวกเราดูอย่างชื่นชม ความเหนื่อยที่ต้องปั่นกันมาหายเป็นปลิดทิ้ง เสียงพี่ชายของจอดถ่ายรูป แต่หนิงยังคงปั่นต่อไป คิดในใจว่ามันจะเป็นเพียงภาพที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป เสียงพี่ไกด์ลอยตามลมมาว่า Great day,great view and great friends. มันเป็นความประทับใจมากในการปั่นวันนั้น ตลอดทางที่มีอุปสรรค พวกเราไม่ทิ้งกัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะพลาดความสวยที่ใครๆว่าที่สุด แต่แค่นี้สำหรับเราแล้ว ความสวยอย่างนี้ถือว่าเป็นที่สุดของทุกวัน

ท้ายที่สุดเมื่อเราไปยังจุดชมวิว ความงามตรงหน้ากลับไม่ได้สร้างความประทับใจเท่ากับภาพที่เราเห็นก่อนหน้า ความรู้สึก สิ่งที่เห็น เสียงที่เราคุยกันตลอดทาง ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดจริงๆ

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

นอนเล่นๆแถว.....แพร่งภูธร

นอนเล่นๆแถว……แพร่งภูธร


ออกเดินทางในวันเกิด


เรื่องการไปเที่ยวเล่นกับพี่อ๊อด เริ่มขึ้นมาไม่นานมานี้ แต่นับวัน หนิงกับพี่อ๊อดก็ชวนกันไป เที่ยวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ สืบเนื่องมา

จากหน้าที่การงานที่เราสองคนมีวันหยุดที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ และเราก็ยังหาวันหยุดที่ตรงกันได้บ้าง หรือถ้าไม่ได้ก็ต้องแลกตารางบินกันไป หลายทริปที่ผ่านมา คนอาจจะรู้จักพี่อ๊อดแค่ผ่านๆ คราวนี้เรามารู้จักพี่อ๊อดกันมากขึ้นหน่อย ในมุมมองของหนิง จริงๆแล้ว หนิงเพิ่งจะมาสนิทกับพี่อ๊อดไม่นานมานี้ เพราะ social network ที่กำลังมาแรงสุดๆ อย่างFace Bookที่ทำให้เราคุยกันมากขึ้น พี่อ๊อดเป็นเพื่อนกับพี่ปั้นหยา ภรรยาพี่ต๋อง ถ้าใครได้อ่านเรื่องปั่นจักรยานเที่ยวเมืองจีน พี่ต๋องหัวหน้าทัวร์ขาแรงบ้าพลังของเรานั้น ละ พี่ต๋อง และพี่ปั้นหยา เที่ยวกับพี่อ๊อดมาก่อน จนเมื่อหลายปีก่อน ทริปเปรู หนิงได้เข้าไปร่วมเดินทางกับพี่ต๋องด้วยด้วย แต่คราวนั้นพี่อ๊อดไม่ได้ไป เราจึงยังไม่รู้จักกัน ต่อมาไม่นาน หนิงมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่อ๊อด แต่ก็ยังไม่ได้ไปไหนด้วย เพราะตอนน้ันพี่อ๊อดยังจับคู่เที่ยวกับพี่ต้น เพื่อนสนิทของพี่อ๊อด จนในที่สุดโชคชะตาก็ให้เราได้มาเจอกันอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ หนิงซึ่งกลับมาใช้ชีวิตเดี่ยวๆ กับพี่อ๊อดที่ใช้ชีวิตโดดๆ มาจับคู่เที่ยวกันอย่างเหมาะเจาะ



หลายครั้งที่เราออกเที่ยว มักเป็นการไปแบบ day trip เพราะเราหาวันว่างตรงกันได้แค่ 1วันเท่านั้น หากแต่คราวนี้เรากางตารางบินแล้วพบว่า เราหยุดตรงกัน2วัน ดังนั้น trip จึงได้ขยายจาก1เป็น2วัน แต่ในตอนแรกเรายังไม่ตกลงว่าจะไปไหนดี จนกระทั่ง อีก 3วันจวนจะถึงวันที่เรานักหมายกัน วันนั้น พี่อ๊อดนอนเล่นอยู่ปารีส ในขณะที่หนิงเพิ่งจะถึง ที่ซิดนีย์ เราใช้การสื่อสารยุคใหม่ให้มีประสิทธิภาพ โดย หนิง online ทันที และทันทีที่เปิด Face book หนิงเห็นพี่อ๊อด link โรงแรมมาให้ดูโรงแรมนึง อยู่แถว แพร่งภูธร ชื่อว่า The Bhuthorn หนิงจัดแจงกดดูlink ในทันที เพราะอยากรู้ว่าคืออะไร และทันทีที่homepageขึ้นมา หนิงได้แต่อึ้ง หนิงกดเข้าไปดูที่ละห้อง ทีละห้อง ในใจคิดว่า พี่อ๊อด ต้องอยากไปเหมือนกันแน่ๆ คิดได้ดังนั้น หนิงจัดแจงตอบพี่อ๊อดไปว่า ‘น่าไปพี่อ๊อด ไปนอนกันไหม 24-25แล้วเที่ยวมันแถวนั้นเลย เดินตามรอยนักท่องเที่ยว’ พี่อ๊อด กด likeสวนกลับมาทันที เป็นอันรู้กันว่า เราทั้งสองคนเห็นดีเห็นงามกับการเดิน ทางครั้งนี้ ถึงแม้หนิงจะยกแผนสองมา แต่พี่อ๊อดบอกให้จองเลย ถ้าว่างเราลุยกัน และเหมือนฟ้าเป็นใจ การจองเป็นไปอย่างราบรื่น และมีห้องพักให้เราได้เลือกถึง 2ห้อง คือห้อง นารา และห้องภูธร หนิงเลือกห้องภูธร เพราะห้องนาราดูจะใหญ่เกินไปสำหรับเราสองคน



หลังจากกลับจากบิน วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่หนิงต้องทำธุระให้เสร็จก่อนจะไปเที่ยว หนิงนัดเจอพี่อ๊อด 11โมง เพื่อว่าเราจะได้ไป เช็คอิน ตอนเที่ยงพอดี

แผนการณ์ทุกอย่างดำเนินไปไม่ผิดแผน หนิงแต่งตัวโบกมือร่ำลาแม่ บอกว่าจะไปทำตัว เป็นญี่ปุ่นนักท่องเที่ยวซะหน่อย

กระเป๋า 3ใบที่หอบพะรุงพะรัง หนิงซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปหาพี่อ๊อดหน้าปากซอย พี่อ๊อดกับกระเป๋าใบน้อย 1ใบ มองหน้าหนิงแล้วถามว่า ‘จะออกไปหางานในเมืองทำ เหรอน้อง’ เสียงหัวเราะขำๆที่พี่อ๊อดเห็นหนิงหอบของมากมาย เพราะเราไปแค่คืนเดียว แต่หนิงขนของมาอย่างกับจะไปหลายวัน หนิงเองได้แต่หัวเราะขำตัวเอง เพราะก็รู้ตัวว่ากลายเป็นบ้าหอบฟางไปแล้ว



เราเรียกรถแท๊กซี่แทนการขับรถ เพราะที่จอดรถในละแวกนั้นหายากมาก ลุงคนขับแท๊กซี่ก็แสนจะใจดี ให้เราบอกทางอย่างเดียวทั้งที่ลุงก็ไม่รู้จักสถานที่ที่เราจะไป หนิงกับพี่อ๊อดใจจอจ่อกับการเดินทางมาก เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะไปหาเนี้ย มันขนาดไหนกัน เดากันไม่ออกจริงๆ


รถขับผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายผ่านมนนมสด เราไปกันผิดทาง หนิงบอกให้ลุงวนกลับไปอีกทางเพื่อเลี้ยวเข้าซอยอีกซอย แล้วคราวนี้เราก็เริ่มจะมาถูกทิศ แต่ด้วยความไม่แน่ใจ เราก็ทำให้ลุงลังเล จะเลี้ยวซ้ายขวาดี แต่ในที่สุด เราก็มาถึง แพร่งภูธรจนได้ หนิงบอกลุงให้เลี้ยวเข้าไปเลย ถนนบังคับให้ลุงเลี้ยงซ้าย แล้วในที่สุดเราก็มาปรากฎอยู่หน้า The Bhuthorn จนได้ ที่แท้แล้ว เป็นโรงแรมน้อยๆน่ารัก ตั้งติดกับร้านไอสกรีมกะทิที่เราเคยกินเมื่อทริป เที่ยวชมน้ำท่วมพระนคร พี่อ๊อดจัดแจงจ่ายค่ารถพร้อมทิปในความน่ารักของลุงและเราหอบของเดินไปยังน่าประตู

น้องพนักงานเปิดประตูต้อนรับเรา แล้วจัดแจงเชิญเราเข้าไปนั่งข้างใน ห้องรับแขกที่เราเข้าไปนั่ง ทำหนิงกับพี่อ๊อดตะลึ่งงึงงันในสภาพ เครื่องเรือนโบราณที่จัด วางอย่างถูกที่ถูกทาง ความลงตัวของห้อง พื้น ผนัง ดอกมะลิใส่พานจัดวางที่โต๊ะ แทนแจกันดอกลิลลี่ใหญ่ยักษ์ น้ำตระไคร้ถูกนำมาเสิร์ฟ น้องสาวคนสวย ชื่อว่ามิกกี้จัดการเอาเอกสารมาให้หนิงกรอก เพื่อเป็นการลงทะเบียบว่าเรามาถึงแล้ว หนิงกับพี่อ๊อดไม่เป็นอันทำอะไร โวยวายถึงความสวยงามของห้องหับที่จัดไว้ เราหยิบกล้องถ่ายรูปมากดชัตเตอร์กันอย่างบ้าคลั่ง เรียกว่าน้องที่มาต้อนรับ อมยิ้มทีเดียว กว่าเราจะพอกับการถ่ายรูป เราก็เหนื่อยพอดี น้องบอกว่าจะพาเราเข้าห้องพัก ให้เรายิ่งตื่นเต้นใหญ่ว่า จะเป็นอย่างไร เพราะขนาดชั้นล่างที่เปิดเข้ามา ยังสวยได้ขนาดนี้ แล้วห้องนอนของเราละ จะเป็นยังไง ห้องภูธรที่หนิงจองไว้ อยู่บนชั้น 2 เป็นห้องขนาดกลาง มีเตียงไม้สักที่มีเสาเป็นเครื่องเรือนนอนตัวเอกประดับห้อง ห้องอยู่ตรงมุมของตึก จึงมองเห็นส่วนกลางของแพร่งภูธรได้ชัดเจน พื้นไม้อย่างหนา ที่หนิงเอาแก้มไปสัมผัส พบว่าเวลานอนกลิ้งบนพื้นอย่างนี้แล้วมีความสุขมาก แน่นอนเราจะกล้ิงยังไงก็ได้ เพราะที่นี้มีกฏว่าเราต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นชั้นสอง นอกจากเตียงนอนใหญ่ ยังมีเตียงหวายถักขนาดพอดีคนอีกเตียง เผื่อว่าห้องนี้จะนอนได้ 3คน



พี่อ๊อดกับหนิงจัดแจงวางของ หยิบกล้องกันออกมาอีกครั้ง พี่อ๊อดบอกว่าเราควรถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนที่บรรยากาศมันจะเสียหาย จริงอย่างพี่อ๊อดว่า ถ้าให้เราได้อยู่แล้ว หนิงคงเป็นคนหนึ่งที่ทำมันเละแน่ๆ เราจัดแจงย้ายของอีกครั้ง เพื่อการถ่ายรูปโดยเฉพาะ ทุกมุมของห้องถ่ายออกมาได้สวยงามทีเดียว ก่อนจะออกจากโรงแรมเพื่อไปทานอาหารกลางวันกัน หนิงกับพี่อ๊อดแอบเห็นประตูห้องนาราไม่ได้ล๊อค ก็เดาว่าแขกยังไม่เข้า เลยแอบย่องเข้าไปดูกัน ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ ที่นอนจัดอยู่ชั้นลอยด้านบน เป็นฟูกบนพื้น ส่วนชั้นล่างเป็นที่นั่งเล่นและห้องน้ำ จากห้องน้ำมองเห็นสวนเล็กๆที่เข้าจัดในโรงแรมด้วย น่ารักดี เราสองคนย่องทำตัวเหมือนหัวขโมย แต่พออกมาเจอน้องมิิกกี้ ก็อดจะสารภาพไม่ได้ว่าแอบเข้าไปดู และชื่นชมกันว่าสวยมาก

เราวางแผนกันว่ามื้อเที่ยงนี้เราจะไปทานเกาเหลาลูกชิ้นสมองหมูกัน แต่เราไม่เอาสมอง เราจะกินกันแต่ลูกชิ้น ที่เขาทำเองที่ร้านวันต่อวัน หนิงกับพี่อ๊อดเดินเปะปะไปเรื่อย ตามทางที่มีคนชี้มา พี่อ๊อดคุ้นๆว่าเคยเห็นร้าน แล้วเราก็มาถึงภายในไม่กี่ก้าว ร้านตั้งอยู่ในละแวกแพร่งภูธรนั้นเอง หนิงกับพี่อ๊อดสั่งเกาเหลาตามชอบโดยขอเว้นสมองหมู ถึงเขาว่ากันว่าอร่อยเพียงใด แต่เราสองคนก็ไม่อาจจะขอกินได้ น้ำซุปรสชาติเขากลางๆ หอมพริกไทยที่โรยมาให้ ลูกชิ้นมีหลากหลายทั้งลูกชิ้นปลากรอบ ลูกชิ้นเต้าหู้ใส่ไส้ ลูกชิ้นหมู แถมยังมีเครื่องในหมูอีกด้วย หนิงกับพี่อ๊อดว่ากันไปคนละชาม ที่นี้แปลก ไม่ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว มีแต่ข้าวเท่านั้น ราคาก็ไม่เบาทีเดียว ชามละ 70 แต่ก็คุ้มราคา หลังจากเกาเหลา เราตกลงกันว่าขอหลบแดดที่โรงแรมก่อน เพราะร้อนเหลือเกิน ก่อนเข้าโรงแรม หนิงกินไอสกรีมกะทิล้างปากไปอีกถ้วย



เรากลับเข้ามาในโรงแรมอีกครั้ง เปิดแอร์เย็นช่ำนอนเล่นกัน ห้องที่นี้เป็นเตียงใหญ่หมด ไม่มีเตียงคู่ หนิงเลยเย้าพี่อ๊อดว่า วันนี้เห็นทีเราต้องทำตัวเป็นผัวเมียกันแล้วกระมัง เพราะนอนแยกไม่ได้ พี่อ๊อดหัวเราะขำๆ แต่ตอนหลังหนิงแซวหนักๆว่าจะเขียนลง blogว่าเรามาฮันนีมูนกัน พี่อ๊อดเริ่มขำไม่ออก บอกว่า ‘พี่น้อง เพื่อนฝูง ฉันอ่านกันเยอะ อย่าเขียนอะไรยังงั้น ฉันขี้เกียจตอบคำถาม เดี๋ยวฉันจะขายไม่ออก’ ตกลงว่าเราไม่ได้มาฮันนีมูน แค่มาดูลาดเลากันว่า ถ้าต้องมาฮันนีมูน เห็นที The Bhuthorn จะเป็นที่แรกๆที่เราเลือกมากัน(กับคู่ใครคู่มัน ฮะ ฮะ)

ตอนบ่ายที่โรงแรมจัด Afternoon Tea ไว้ให้ด้วย เราลงไปดื่มด่ำบรรยากาศชั้นล่างกันก่อนที่จะออกไปเที่ยวเล่นกัน ที่นี้เขาเสิร์ฟขนมเบื้อง กับน้ำชายามบ่าย ถามน้องมิกกี้ว่า เสิร์ฟอย่างนี้ทุกวันรึเปล่า น้องบอกว่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางวันก็ไอสกรีมกะทิ บางวันก็ข้าวเหนียวมะม่วง น้องมิกกี้บอกว่าฝรั่งนิยมชมชอบ ข้าวเหนียวมะม่วงมาก



หลังจากเราสำราญกับที่พักพอสังเขป หนิงก็ชวนพี่อ๊อดเดินเท้าออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยัง สยามมิวเซียม หรือพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่เพิ่งจะเสร็จไม่นานปีนี้เอง เดิมทีที่นี้คือกระทรวงพาณิชย์มาก่อน หลังจากระทรวงพาณิชย์ย้ายไปสนามบินน้ำ ที่นี้ก็ถูกนำมาทำพิพิธภัณฑ์นั้นเอง ที่นี้หนิงเคยมา 4-5ครั้งแล้ว ในแต่ละครั้ง พิพิธภัณฑ์จะจัดกิจกรรมหลากหลายกันไป ครั้งล่าสุด เป็นการแสดงเรื่อง ครุฑยุดนาค เรื่องราวในป่าหิมพานต์ เป็นที่ถูกใจลูกเด็กเล็กแดงเป็นการใหญ่

มาคราวนี้ ไม่ได้อยู่ในช่วงเทศกาล แต่ก็มีส่วนจัดแสดงพิเศษเรื่องของขลัง และเรื่องส้วม ซึ่งก็น่าสนใจทีเดียว เราใช้เวลาเดินดูส่วนแสดงพิเศษจนกระทั่ง 4โมงเย็น เราจึงได้เข้าไปดูตัวพิพิธภัณฑ์กันจริงๆ เหตุที่เรารอ4โมงเย็น เพราะเป็นเวลาที่เขาให้เข้าฟรี ไม่งั้นเราต้องเสียค่าเข้าคนละ 50บาทซึ่งก็ไม่ได้แพงนักหนา เราเริ่มต้นที่ชั้น 3 ก่อนที่จะเดินลงมาเรื่อยๆ การจัดแสดงเขาน่าสนใจดี หนิงว่ามันเปลี่ยนไปบ้าง แต่เจอน้องๆนักเรียนที่เลิกเรียนแล้วไปเที่ยวแถวนั้น บ่อยๆบอกว่า ก็เหมือนเดิม มีซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปบ้างเท่านั้น แต่โดยรวม ก็ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยจริง ลืมเล่าไปว่าช่วงบ่ายก่อนที่เราจะออกมาผจญโลก เมย์หญิงนิสัยดี เพื่อนสมัยเรียนมหาลัย โทรมาหา กะว่าจะชวนหนิงจัดงานวันเกิดย่อมๆ แต่หนิงบอกเมย์ไปว่าออกมาท่องพระนครกับพี่อ๊อด แถมยังบอกให้เมย์เข้าไปดู webของ The Bhuthorn เมย์ก็ถึงกับอยากมา หนิงเลยนัดเมย์มาเจอกันที่วัดโพธิ์ เพราะหนิงจะจัดให้ พี่อ๊อดได้ถ่ายรูปที่วัดโพธิ์ในยามค่ำคืน โดยเราต้องเข้าไปก่อนเวลา 6โมงเย็น และเราสามารถอยู่ได้ตลอด จนกระทั่งเขาเปิดไฟ แต่ถ้าไปหลัง 6เย็น ยักษ์วัดโพธิ์ เอ๊ย ยามวัดโพธิ์จะไม่ให้เข้า ตามกฎระเบียบที่วางไว้



หนิงกับพี่อ๊อดเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์จนได้เวลาเย็นโข เราก็เคลื่อนตัวเข้าวัดโพธิ์กัน วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามวรวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอก สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนที่หนิงนำเสนอพี่อ๊อดให้ไปถ่ายตอนกลางคืน คือ พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล โดยแรกเริ่มเดิมที่ในสมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์มีพระประสงค์ที่จะนำโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณมาหล่อขึ้นใหม่ แต่เหมือนปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว ได้รับคำทัดทาน เพราะถือเป็นกาลกิณีไม่เป็นสิริมงคลต่อบ้านเมือง ดังนั้น พระองค์จึงให้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ ย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณนี้ไว้ และมีพระนามว่า ‘พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ’ โดยตัวพระเจดีย์มรกระเบื้องเคลือบสีเขียว ประดับอยู่ นับเป็นมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่1


ต่อมาในสมัยรัชกาลที่3 ได้มีการสร้างมหาเจดีย์เพิ่มอีก 2องค์ ได้แก่ พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรรกนิทาน โดยพระมหาเจดีย์นี้สร้างเพื่ออุทิศถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชชนก ประดับด้วยกระเบื้องสีขาว ถือเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2

และในสมัยเดียวกัน พระมหาเจดีย์มุนีบัติบริขาน ได้ถูกสร้างขึ้น เป็นพุทธบูชา โดยประดับด้วยกระเบื้องสีเหลือง จึงถือว่าเป็นมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่3


พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระมหาเจดีย์องค์สุดท้ายก็ถูกสร้างขึ้น คือพระมหาเจดีย์พระศรีสุริโยทัย โดยเป็นการถ่ายแบบจากพระเจดีย์สุริโยทัย จากวัดสวนสบสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีความแตกต่างจากพระมหาเจดีย์ทั้ง 3องค์คือ มีซุ้มคูหาเข้าไปในพระมหาเจดีย์ได้ พร้อมทั้งประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาม หรือสีน้ำเงิน


หลังจากนั้นรัชกาลที่4 ทรงมีพระราชดำรัสว่า ‘ต่อไปในรัชกาลหลังอย่าได้เอาเป็นแบบอย่างที่จะเป็นต้องสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาล ในวัดพระเชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4รัชกาล แต่แรกนั้นได้เคยเห็นกันทั้ง 4พระองค์ ผิดกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น’ หลังจากนั้นจึงไม่มีการสร้างพระมหาเจดีย์อีกเลย



เมย์ได้เข้ามาในวัดก่อน6โมง ดังนั้น สาว สาว สาว ก็บรรเลง เพลงชัตเตอร์ กันอย่างเมามัน พี่อ๊อดดูตื่นเต้นเพราะพี่อ๊อดเคยเห็นรูปที่มีคนมาถ่ายในช่วงเวลานี้แล้ว ส่วนเมย์ เหมือนเคาะสนิม เพราะไม่ได้ถ่ายรูปซะนานมัวแต่ไปเป็นนางแบบมากกว่า หนิงเคยมาถ่ายแล้วเมื่อหลายปีก่อน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม จะต่างก็ตรงต้นไม้ที่ไปผุดที่พระมหาเจดีย์ ดูใหญ่ขึ้น อาจเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ขึ้น ไปเด็ดออกซะที คาดว่านกน้อยคงไปถ่ายมูลตรงนั้นแล้วทิ้งเมล้ดให้เติบโตผิดที่ผิดทาง

เราใช้เวลานานโขอยู่ตรงนั้น ชื่นชมกับความสวยงามของวัด จนเสียงของท้อง ก็เรียกร้องออกมา หนิงพาพี่อ๊อดและเมย์ เดินเรื่อบเปื่อยและมีจุดหมายอยู่ที่ร้าน โภชน์สภาคาร ใกล้ๆกับ แพร่งภูธร ในตอนแรก หนิงกะจะพาเมย์ไปทานจิตรโชติ แต่จากที่เราคำนวณเวลาในการรออาหาร ดูแล้วมันอาจจะนานเกินไป เราจึงเปลี่ยนมาที่ร้านนี้ ร้านโภชน์สภาคาร เป็นร้านดั่งเดิมที่หนิงเคยมาทานเมือง 30กว่าปีก่อน ตอนแรกนึกว่าเขาปิดกิจการไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผ่าน ก็ยังเห็นร้านเปิดอยู่ทุกที คราวนี้หนิงลองดูว่าอาหารยังอร่อยเหมือนเดิมไหม ร้านนี้มีอีกชื่อว่าร้าน

กุ๊กสมเด็จ หนิงเข้าใจว่าน่าจะหมาย

ถึงกุ๊กที่เคยทำงานในวังนั้นเอง อาหารที่

เราสั่งวันนี้มีหมี่กรอบ ปลากระพงพริกไทยดำ

แกงจืดลูกรอก กุ้งกระเทียม และไข่เจียวตะไคร้ อาหารที่สั่งไม่ทำให้เราผิดหวังเลยอร่อยทุกอย่างโดยเฉพาะหมีกรอบ

ที่เมย์บอกว่า

เขาใส่ส้มซ่าลงไปด้วย เพราะเป็นสูตรโบราณ สมัยใหม่ไม่ค่อยมีใครใส่เข้าไปแล้ว อาหารมื้อนั้นเราเลยฉลองวันเกิดให้ทั้งหนิงและเมย์ที่เกิดห่างกัน 24ชั่วโมง


หลังจากเราอิ่มอร่อย ก็ถึงเวลาพาเมย์ไปอวดห้องพักของเราก่อน เมย์ตั้งใจมากที่จะมาดู และเมย์ก็ไม่ผิดหวัง เมย์ถ่ายรูปมุมต่างๆไปเป็นไอเดีย สำหรับ มัณฑนากรอย่างเมย์ หลังจากเมย์กลับไปคืนนั้น หนิงกับพี่อ๊อดก็ปิดสวิทซ์นอนทันที เพราะวันรุ่งขึ้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอเราอยู่



เช้าหลังวันเกิด


เช้านี้หนิงชิงตื่นนอนก่อนพี่อ๊อด เพราะว่าจะออกไปสำรวจบรรยากาศยามเช้า สมัยก่อนที่หนิงเรียนอยู่ที่ศิลปากร มีบางวิชาที่ต้องมาเรียนแต่เช้า ก็ยังได้มีโอกาส เห็นบรรยากาศยามเช้าแถวนั้นบาง เช้าๆอากาศแถวนั้นจะสบาย เพราะมีไอน้ำจากเจ้าพระยาลอยละลิ่วปลิวลมมาปะทะหน้าให้ชื่นใจเสมอ เช้านี้ หนิงเลยจัดแจงไปสำรวจ สวนสราญรมย์ สวนสาธารณะในละแวกนั้น หนิงใช้ทางเท้าเดิน ข้ามสะพานปีกุน เลาะคลองหลอดไปเรื่อยๆ ไม่กี่นานก็ถึง ดูผู้คนคึกคัก ที่นี้จะเห็นเขามาเต้นแอโรบิกยามเช้าเพราะปรกติหนิงจะเห็นเขาเต้นกันตอนเย็นมากกว่า

สวนนี้ถึงจะเล็กไปสักหน่อย แต่ผู้คนก็มาใช้บริการกันอุ่นหนาฝาคัง โดยเฉพาะ อาแป๊ะ อาซ้อทั้งหลาย ทั้งวิ่ง ทั้งเต้น พอจบแอโรบิก ก็มีลีลาศต่อเลยทันที


สวนสราญรมย์เดิมเป็นพระราชอุทยานของพระราชวังสราญรมย์ ในสมัยรัชกาลที่5และ มีการปรับปรุงทำเป็นสวนพฤกษศาสตร์ และในสัมยรัชกาลที่6 ก็มีการจัดงาน ฤดูหนาวขึ้นที่นี้ด้วย ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 สวนสราญรมย์ก็ได้เปลี่ยนเป็นที่ทำการของคณะราษฎรสมัยนั้น


หนิงวิ่งเล่นพอให้กระชุ่มกระชวยก็เดินทางกลับ ไปถึงพี่อ๊อดก็ตื่นพอดี หนิงอาบน้ำอาบท่า แล้วลงไปทานอาหารเช้ากับพี่อ๊อด ที่โรงแรม เขาจัดโต๊ะอาหารให้เรา ในสวนน้อยด้านหลัง โดยมีน้ำสมุนไพรรออยู่ก่อน ตามมาด้วยสลัด และโยเกิร์ต และก็ตามมาด้วยอาหารที่เราสั่งไปตั้งแต่เมื่อวาน พี่อ๊อดสั่งโจ๊กไว้ ในขณะที่หนิงขอแซนวิชแฮม ชีส เขาจัดจานมาน่ารักทีเดียว การบริการของน้องๆเขาก็ดีมาก เรียกว่าเทียบระดับ First Class ของการบินไทยได้สบาย หนิงกับพี่อ๊อดพูดกันเล่นๆว่า ถ้าเรามีโอกาสทำที่พักแบบนี้ เราคงไม่ทำห้องให้ดีมาก เพราะทรัพย์น้อย แต่เราจะทุ่มสุดตัวกับการบริการ คล้ายๆกับอาชีพที่เราทำอยู่ในขณะนี้

เราสองคนนั่งขำกันไปกับความฝัน พร้อมอาหารเช้าที่ทำให้เราเป็นคนสำคัญคนนึงทีเดียว



หนิงกับพี่อ๊อดตกลงว่าเราจะนั่งเล่นๆนอนๆที่นี้จนเที่ยงเราถึงจะไป เรียกว่าอยู่กันคุ้มไปเลย กว่าเราจะเสร็จจากอาหารเช้า ก็ปาเข้าไป 10โมงกว่า นั่งๆนอนๆ ตามความตั้งใจก็ใกล้เที่ยงพอดี เราลงมา check out แต่โดยดี แต่เราก็ยังไม่ยอมจากมาง่ายๆ โดยเราขอฝากของไว้ก่อน เพราะเราจะเดินเที่ยวไปจนถึง นิทรรศ์รัตนโกสินทร์ ที่โรงแรมใจดีมาก จัดแจงเก็บของให้อย่างดี

เราเดินออกมาเรื่อย หวังหาของกินกลางวัน แต่ยิ่งหา ก็ยิ่งไม่เจอ เพราะดูแล้วก็อยากไปหมด จนเลือกไม่ถูก เราเลยเดินโซเซไปศาลเจ้าพ่อเสือกันก่อนเลย จำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วเป็นปีขาล และเป็นปีเสือดุ ดังนั้น จะเห็นว่าศาลเจ้าพ่อเสือมีแต่ผู้คนล้นหลาม มาไหว้ขอพรกันมากมาย มาปีนี้ดูจะเป็นปีกระต่ายหมายจันทร์ ผู้คนเลยดูบางตามากสำหรับศาลเจ้าพ่อแห่งนี้ หนิงกับพี่อ๊อดเข้าไปไหว้แบบด้อมๆ มองๆ เพราะไม่เคยจะได้เข้าศาลเจ้าบ่อยๆ เลยทำตัวไม่ถูก เราจะเห็นคนกำธูปเป็นกำๆ เขาจะเอาไปปักตามกระถางต่างๆถึง 6กระถาง โดยใช้ธูปทั้งหมด 18 ดอก ศาลเจ้าพ่อเสือนอกจากจะมีเจ้าพ่อเสือหรือ เสียนเทียนซั่งตี้ ยังมีเจ้าองค์อยู่อยู่อีกด้วย ได้แก่ เจ้าแม่ทับทิม และเจ้าพ่อกวนอู


ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่3 เกี่ยวเนื่องกับวัดมหรรณพาราม ริมถนนบำรุงเมือง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่5 ได้มีการขยายถนนบำรุงเมือง จึงได้มีการย้ายศาลมาตั้งยังทางสามแพร่ง บนถนนตะนาวศรีจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังได้ความรู้อีกว่า ศาลเจ้าแห่งนี้ห้ามถ่ายรูป เหมือนกับศาลเจ้าหลายๆแห่ง แต่คนเฝ้าศาลบอกว่า ถ่ายไป ท่านตามไปที่บ้านไม่รู้นะ โชคดีจริงๆที่เรายังไม่ทันได้ถ่ายอะไร



เราเดินออกต่อมุ่งหน้าไปวัดราชนัดดา เพื่อจะต่อไปยังนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เส้นทางที่เราเดินไปเราใช้ถนนมหรรณพ ผ่านศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ระหว่างทางได้แวะดื่นน้ำทับทิมคั่นสดๆ เรียกความสดชื่นได้ดี หนิงกับพี่อ๊อดยังคงปักใจไม่ทานอะไร ไม่ใช่ไม่หว แต่เลือกร้านไม่ถูเท่านั้นเอง เราเดินผ่านศาลาว่าการฯ เข้าไปยังซอยสำราญราษฎร์ ระหว่างเดินผ่าน มีผู้ชายคนนึงออกปากทักหนิงเรื่องกล้องถ่ายรูปที่หนิงสะพายไป เรียกรอยยิ้มประทับหน้าเจ้าของไม่มีหุบ หนิงนำเสนอข้าวต้มเป็ดกับพี่อ๊อด แต่จนแล้วจนรอด เราสองคนก็ยังเป็นสาวสวยเลือกได้อยู่นั้นละ จนเมื่อเราเจอวัดเทพธิดารามวรวิหาร หนิงกับพี่อ๊อดก็ทำการหยุดพักหลบแดดชั่วคราว โดยพี่อ๊อดเลือกที่จะเข้าโบสถ์พึ่งร่มเย็นของวัดนั้นเอง พูดเรื่องวัด ในความเป็นจริงแล้วนอกจากวัดจะเป็นที่พึ่งแกคนในยามทุกข์ยาก ทั้งกาย ทั้งใจ ในทุกยุคทุกสมัยแล้ว สำหรับคนจร วัดก็เป็นที่พึ่งชั้นเยี่ยมทีเดียว นอกจากเราจะเข้าไปพึ่งความร่มเย็นในโบสถ์ชั่วขณะ เรายังได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อขาว หรือพระพุทธเทววิลาสอีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ปรากฎที่มา หากแต่ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯอัญเชิญจากพระบรมมหาราชวังไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม อันเป็นวัดที่สร้างพระราชทานกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพพระราชธิดาพระองค์ใหญ่


หลังจากความสงบสุขมาสู่คนเดินทางอย่างเราสองคน พี่อ๊อดกับหนิงก็ย้ายตัวออกมาจากวัดเทพธิดาราม ผ่านยังโลหะปราสาท วัดราชนัดดาวรวิหาร แล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังนิทรรศน์รัตนโกสินทร์

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เป็นพิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ สร้างหลังจาก สยามมิวเซียม ไม่กี่ปี และด้วยความที่ใหม่กว่า เทคโนโลยีในการนำเสนอ ก็มีรูปแบบที่แตกต่างและดูตื่นเต้น มากกว่าทีเดียว สถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นอาคารให้เอกชนเช่ามาก่อน ติดกับพลับพลาต้อนรับอาคันตุกะ หรือศาลาเฉลิมไทยในสมัยก่อนนั้นเอง


ก่อนที่หนิงกับพี่อ๊อดจะเข้าไปพบความหรรษาในพิพิธภัณฑ์ เราต้องหาอะไรรองท้องกันหน่อยแล้ว เพราะด้วยความที่เรา สวยเลือกมาก เราเลยยังไม่ได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วเวลาก็ล่วงมาบ่ายกว่าๆแล้ว เราเลยเดินสะเปะสะปะไปซื้อกาละแมที่เขากวนกันสดๆเดี๋ยวนั้นทานลองท้อง ได้ผล เพราะเรารู้สึกดีขึ้นทันตาเห็น ขนมอร่อย ช่วยได้จริงๆ หลังจากนั้นเราก็ยังได้แอร์ที่เย็นฉ่ำในพิพิธภัณฑ์ช่วยดับ ร้อนอีกด้วย

เราเข้าไปซื้อตั๋วรอการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ โดยเขาจะมีไกด์พาเข้าชมเป็นรอบๆ ในแต่ละรอบเขาก็จำกัดจำนวนคน ไม่เกิน 20คน


เขาให้เราเดินขึ้นชั้น 2เพื่อเขาชมวีดีโอเกี่ยวกับกรุงเทพ เมืองที่มีชื่อยาวแสนยาว และที่ทำให้หนิงกับพี่อ๊อดตื่นเต้นคือ ขณะที่เรากำลังเพลินกับหนังสารคดี เราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเราได้ลอยขึ้นมาอยู่บนชั้น 3โดยไม่รู้ตัว เมื่อหนังจบ ไกด์บอกเราว่า เราได้ขึ้นมาชั้น 3แล้ว แค่นี้ หนิงก็บอกพี่อ๊อดว่า คุ้มแล้ว

เราเดินดูนิทรรศการแต่ละห้องที่เข้าจัด ทั้งเกี่ยวกับวัง เกี่ยวกับชีวิตของคนสมัยก่อน เรียกว่าเป็นเรื่องของกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะ และชั้นบนสุด เป็นห้องสำหรับชมวิวทิวทัศน์ของโลหะปราสาท และภูเขาทอง เรียกว่า ไฮไลท์ทีเดียว

เราสองคนใช้เวลาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กันอย่างสนุกสนาน มีหลายห้องที่หนิงติดใจ อย่างห้อง 360องศา เป็นห้องที่ฉายหนังบนผนังห้องรอบๆห้องเลย


เรากลับออกมาก็เกือบ4โมงแล้ว ตรงลานพลับพลา จัดเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ เพราะมี หนังกลางแปลงในคืนนี้ เลยมีร้านขายของกิน ทั้งเล่น ทั้งจริง ต่างๆนาๆ ให้ลองริมรสกัน เราด้อมๆมองๆหวังจะชิมก๋วยเตี๊ยวเรือ แต่สุดท้าย ก็ไปลงที่หมี่กะทิ เสียดายที่ว่าเวลาล่วงเลยมาให้ซินเดอเรอล่าอย่างเราสองคนต้องรีบกลับบ้านกันแล้ว เราเดินกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ The Bhuthorn ก่อนจะจากมาเราได้นั่งพัก และชื่นชมกับที่พักเล็กๆและน่ารัก ใจกลางพระนคร ที่เราสองคนแสนจะประทับใจมาก การเดินทาง2วัน 1คืนที่หนิงกับพี่อ๊อด ออกมาใช้ชีวิตด้วยกัน ก็จบลงเมื่อtaxi พาเรากลับมาส่งยังจุดหมายอย่างปลอดภัย




เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า