วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ทริปหนีเมียเที่ยว


ทริป “หนีเมียไปเที่ยว”


แค่ชื่อทริปก็เสียวไส้แล้วสำหรับพ่อบ้านทั้งหลาย แต่สำหรับชาวจักรยานพระราม5แล้ว ไม่เคยกลัวใคร (นอกจากแม่บ้าน) เหตุที่ตั้งชื่อทริปอย่างนี้ เพราะเหมือนกับเด็กหนีเที่ยว ซึ่งที่จริงแล้ว พี่ๆเขาก็ขออนุญาตทางบ้านกันทุกคน คงไม่มีใครหนีเมียมาจริงๆหลอก(ใช่ไหม)
ส่วนแรงบันดาลใจให้หาเส้นทางปั่นนอกเหนือจากที่ปั่นปั่นกันอยู่ทุกอาทิตย์ ทริปนี้เกิดขึ้นจากคำพูดลอยๆของพี่โอ แต่หลายคนเอาจริง พอหนิงได้ยินเท่านั้นละ รีบหันไปบอกพี่โป้งเลยว่า เที่ยวกันไหมพี่ พี่โป้งก็ไม่รอช้า ถามเลย ไปไหน เรียกว่าส่งลูกกันเห็นๆ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่เรานั่งคุยกันหลังจากปั่นตามควายเสร็จ อย่างสะบักสะบอม(สำหรับหนิงนะ) เรานั่งกินน้ำอยู่ หนิงถามพี่ๆว่าอยากไปกันไหม เสียงตอบรับทันทีมีมากมาย วันนั้นนับได้หลายคนที่ยกมือสนับสนุน หนิงจัดแจงหาวันว่าง พี่โป้งขอให้เป็นวันเสาร์ เพราะวันอาทิตย์ยังได้มาปั่นกันอีกขำๆ

วันที่เหมาะสมแก่การออกทริปคือวันที่4กันยา หนิงจัดแจงลงกระทู้ คนอ่านหลายคน คงไม่กล้าไป เพราะชื่อทริปเป็นแน่ แต่เมื่อถึงเวลา 8โมงเช้า ก็มีหน่วยกล้าตายมารออยู่แล้ว 8คน อันได้แก่ พี่สุเมธ พี่แขก พี่โอ พี่วสันต์ พี่โป้งพี่หมึก หนิงและอาร์ม 8โมงล้อเคลื่อน เราไม่รอใครแล้ว เพราะเรานัดพี่อ๊อด พี่ประพันธ์ และพี่โจระหว่างทาง โดยเฉพาะพี่โอ ซึ่งบอกว่าถ้าไม่มาสงสัยจากหอนได้

ทางที่ไป พี่โป้งนำเส้นทางให้ เราจะไม่ปั่นบนถนนใหญ่ เราจะเข้าซอย เป็นทางลัด ไปโผล่ศาลายา แล้วมุ่งหน้านครชัยศรี

พวกเรามุ่งหน้าปั่นจากบางกรวยมุ่งหน้าถนนบรมราชชนนี เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เราคุ้นเคย เราปั่นไม่เร็วมาก เพราะรถที่ใช้วันนี้ เป็นรถทัวร์ริ่งกับเสือภูเขา จะมีรถพับก็พี่โอขี่คนเดียวเ พราะพี่โอไม่มีรถอื่น นอกจากเสือหมอบเท่านั้น ส่วนหนิงเอาน้องขาวคนสวยมาขี่ หลังจากที่ไม่ได้ขี่เธอเลยตั้งแต่เมษา ฮาวาย เพราะหนิงก็จะพาน้องขาวไปเที่ยวเมืองจีนเดือนหน้าด้วย

เพราะฉะนั้น ทริปนี้จะไม่ปั่นกันเร็วมาก เราปั่นกันเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบรมราชชนนี ถนนนี้รถมากมายจริงๆ เราต้องปั่นกันอย่างระมัดระวัง ปั่นมาได้สักพัก เราก็กลับรถใต้สะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัด ศรีประวัติ ซึ่งเรานัดพี่อ๊อด และพี่ประพันธ์ไว้ที่นี้ ไม่นานเราเจอพี่ๆ เราก็รวมตัวกันออกไป เพื่อจะไปรับพี่โจ ซึ่งรออยู่ระหว่างทาง เส้นทางในซอยตอนเช้า ยังไม่จอแจ รถค่อนข้างน้อย พอเข้าไปหน่อย ก็เป็นเรือกสวน ไร่นา บ้านอยู่อาศัยมีประปราย อากาศดีต่างจากถนนใหญ่เลย พวกเราปั่นไปคุยไป แบบที่ไม่มีเวลาเราปั่นพระราม5 เพราะพระราม5 เราปั่นทำความความเร็ว และรถใหญ่ข้างๆที่ทำให้เราวางใจไม่ได้ ซึ่งทำให้พวกเราต้องตั้งสมาธิกับการปั่น แต่วันนี้เราปั่นสบายๆ ถึงแม้จะมีรถสวน รถแซงก็ตามเราก็ยังได้ชมวิวทิวทัศน์ ปั่นมาเรื่อยๆ จนเจอพี่โจ ตอนนี้เราทั้งหมดมี 11คน เรามุ่งหน้าปั่นไปศาลายา เส้นทางปั่นผ่านเรียบคลองมหาสวัสดิ์ น้ำในคลองค่อนข้างจะเต็ม เพราะฝนที่ตกลงมาแทบทุกวัน น้ำดูใส หน้าลงไปดำผุดดำว่ายพิลึก เส้นทางมีแต่ บ้านชาวบ้าน ไม่มีหมู่บ้านจัดสรร เหมือนต้นๆซอย เราข้ามคลองมหาสวัสดิ์ปั่นไปเรื่อยๆ เราก็เจออีกคลอง คือคลองทวีวัฒนา คลองนี้ดูไม่ใหญ่มาก แต่ทำให้เรารู้แล้วว่าเข้าใกล้ ศาลายาเข้าไปทุกที ไม่นานเกินรอ เราก็ปั่นมาเจอหอนาฬิกา หนิงถามอาร์มว่าที่ไหนเนี้ย ถึงได้คำตอบว่า มหิดลแล้ว ในความรู้สึก คือใกล้กว่าที่คิดมาก ทางที่มาลัดมากๆ เราปั่นย้อมศรให้ชาวบ้านชาวช่องเขาสรรเสริญเล่นๆพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าเส้นทางมุ่งหน้า นครชัยศรี พี่โป้งบอกว่าจะพาไปดูพิพิธภัณฑ์รถก่อน เป็นรถโบราณ พิพิธภัณฑ์ที่ว่าอยู่ไม่ห่างจากตลาดน้ำท่านาเท่าไหร่ ที่นี้พี่โชเพื่อนพี่โป้งซึงก็เป็นนักจักรยานเก่า จะมาสมทบกับเราที่นี้ด้วย เรายังคงปั่นมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ หนิงปั่นคุยไปกะพี่อ๊อด ในขณะที่พี่โป้งปั่นตามหลังพี่สุเมธออกห่างไปเรื่อยๆ

สองคนนั้นคงคัน เพราะถนนที่เรียบและตรงเหมาะกับการทำความเร็ว ส่วนหนิงที่ต้องปั่นปะทะลม ก็ปั่นได้แค่นั้น พี่โป้งมาสารภาพว่าที่ปั่นไปก่อน เพราะจะจอดยิงกระต่าย ฮา

ส่วนพี่โอที่ต้องมาปั่นจักรยานล้อเล็ก ก็เป็นที่น่าเห็นใจ เพราะต้องใช้แรงและรอบขามากกว่าคนอื่นๆ เลยโดนแซวว่าพี่โอรอบจัด แต่ยอมรับว่าพี่โอแรงจริงๆ ปั่นตามมาตลอด บางครั้งมีการปั่นแซงแล้วยังบอกว่าได้รอบอีก

ก่อนทางเลี้ยวซ้ายไปนครชัยศรี พวกเราเลี้ยวขวาไปดูรถโบราณก่อน ที่นี้เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน ที่เจ้าของมีใจรัก ปากทางเข้า เราเห็นรถเมล์จากลอนดอน จอดอยู่ด้านหน้า เรารีบถามเจ้าหน้าที่ว่าของจริงเลยหรือ หรือว่าทำขึ้นมาเลียนแบบ พี่เขาบอกว่าของจริง โอ้แม่เจ้า เอามาได้เนอะ พวกเราเดินเข้าไปข้างใน เจอรถที่เรียกว่าไม่ใช่เก่าเก็บ แต่เก่าอย่างมีคุณค่า เจ้าของเขาซ่อมแซมทำสีสวยงาม บางคันยังวิ่งได้ด้วยซำ้ พี่โจขอชักภาพใหญ่ บอกว่าเอาไปให้คุณนายที่บ้านดู เดี๋ยวไม่เชื่อว่ามาเที่ยว ฮา

รถที่เขาเก็บมีทั้งรถเก๋ง จักรยาน มอเตอร์ไซค์ เราคิดกันเล่นๆว่า รถ 600กว่าคัน คิดแค่ซื้อมา 30,000 แล้วจะใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ แถมเจ้าของไม่เก็บค่าเข้าชม ได้ยินว่ากลุ่มจักรยานหลายกลุ่มมาเที่ยวชมที่นี้บ่อยๆ

เราเดินดู ลองนั่ง ถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์ จนใกล้เวลา 11โมง หนิงเลยบอกพี่ๆว่าเราไปทานข้าวกันเถิด เพราะกลัวว่าร้านจะคนเยอะ ร้านที่ว่าก็ไม่พ้น ติ๊กโภชนา เจ้าดังของตลาดท่านาไปได้

ไม่นานจากพิพิธภัณฑ์เราก็ถึงร้านอาหาร เราทำการจองโต๊ะไว้เรียบร้อย กันเหนียว ไปถึง พี่ๆดูเหมือนเหนื่อยจาการปั่นมาไกล (แค่ 30กว่ากิโลเอง) หนิงซึ่งหิวมาก ถูกจัดวางให้เป็นคนสั่งอาหาร หนิงเลยสั่งชุดใหญ่แบบไม่ยั้งมาอย่างละ 2 เพราะเห็นว่าชายโสด(ชั่วคราว) ทั้งหลายคงหิวไม่แพ้กัน อาหารทยอยมาเรื่อยๆ เริ่มจากห่อหมกเนื้อปลาช่อน ตามมาด้วยลูกชิ้นปลาผัดฉ่า ไข่เจียว ต้มยำ ปลาช่อนทอดน้ำปลา หอยจ๊อลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม และปลาผัดพริกเผา เสียงร้อง(โหยหวน)ดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นกับอาหารนะ แต่เพราะตกใจว่าทำไมมันเยอะอย่างนี้ แต่สุดท้าย อาหารทั้งหลายก็ทะยอยกันเข้าไปนอนกองอยู่ในท้องพวกเรา มีเหลือไม่กี่อย่างพี่โจทำการบรรจุภัณฑ์เอากลับไปเป็นอาหารเย็น

บทสนทนาบนโต๊ะอาหารไม่มีอะไรเกินไปกว่าเรื่องของจักรยาน และที่เรียกเสียงฮาคือ พี่หมึกล้มจาการไปแข่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ฟังดูใจร้ายที่ขำขันกับเรื่องที่คนอื่นทุกข์ร้อน แต่ต้องไปฟังลีลาการเล่าของเจ้าตัว ด้วยการทอดเสียง ทำเสียงบ่น ทำให้เรื่องเศร้ากลายเป็นเรื่องตลก พี่หมึกเปรียบจักรยานเหมือนม้าที่ดีดพี่หมึกหลุดจากอาน แต่น้องๆก็ดีใจที่พี่หมึกไม่ได้เป็นอะไรมากมาย เราเสร็จจากมื้อเที่ยงภายในเวลาแค่ชั่วโมง
ตอนนี้เป็นตอนขากลับที่ใครๆก็เริ่มโอดโอย เพราะกินกันอิ่มขนาดนั้นแล้วยังจะให้ปั่นกลับอีก แต่งานนี้เรียกว่าหนีเมียกันจริงๆ เพราะไม่มีเมียใครขับรถตามมาเลย หนิงว่าถ้ามีมาจะขอติดรถกลับไปด้วย เมื่อพวกเรามากันเองได้ย่อมกลับได้เป็นธรรมดา แต่คงช้าหน่อย พี่โจซึ่งดูแช่มชื่นกว่า เวลาปั่นพระราม5ปกติ บอกว่าขากลับเราจะตามลม ซึ่งก็จะช่วยพวกเรามาก

เราปั่นกันมาเรื่อยๆจนได้ยินคนตะโกนบอกว่าพี่วสันต์ยางรั่ว พวกเราสามัคคีกันจอดรถรอ หนิงหยิบยื่นชุดปะให้ เพราะจากประสบการณ์การปั่นทัวร์ริ่ง อย่าได้ไว้ใจร้านจักรยานข้างทาง เพราะสิ่งที่เขามีไม่อาจช่วยเหลือเราได้ พี่วสันต์หารอยรั่ว แต่ไม่เจอ เลยทำการสูบลมไปก่อน ตอนนั้นมีชายไม่ทราบสัญชาติ มาจับยางรถพี่วสันต์ แล้วยังว่า ‘เนี้ยยางผ่านการแข่งมา’ เอาสิรู้ได้ไงไม่รู้ แต่ตอนหลังกลิ่นละมุดออก เราเลยว่าไม่บ้าก็เมา แล้วเราปั่นต่อไปอีกพัก

ก็ได้ยินพี่ๆบอกให้จอดร้านขายจักรยานมือสอง พี่วสันต์เองก็ได้โอกาสทำการปะยาง พี่ๆคนอื่นๆเดินเขาไปดูรถ หลากหลายคัน เห็นพี่โอมองๆอยู่ คงอยากเปลี่ยนรถใจจะขาด ถ้าไม่ใช่ว่ายืมรถหนิงปั่น พี่โอคงขอแลกรถที่ร้านนั้นเป็นแน่ อีกคนที่อยากได้รถคือพี่โจ ซึ่งรถที่พี่โจจดๆจ้อง เป็นรถคล้ายๆกับที่หนิงขี่มา เป็น Giant สภาพก็ผ่านสงครามมาเยอะพอควร ลุงเจ้าของร้านรีบเดินมาบอกว่าคันเนี้ย 7000 ร้านอื่นเขาขายกันเป็นหมื่น หนิงอยากตะโกนบอกลุงไปว่า ลุงขา ที่เป็นหมื่นนะมือใหม่คะ สภาพดีกว่าของลุงจมเลย เต็มที่หนูให้ลุง 5000ก็เยอะแล้ว อันที่จริงลุงคงดูจากการแต่งตัวของพวกเรา และคงคะเนว่าไอ้พวกเนี้ยมีเงินซื้อแน่ๆ ลุงเลยโขกราคา(คิดแบบลบสุดๆ) แต่รถคันเนี้ยถ้าพี่โจจะซื้อ หนิงแอบบอกว่าให้ต่อเยอะๆ เพราะยางก็ต้องเปลี่ยน เบาะอีก แฮนด์อีก เพราะงั้นต่อเยอะๆไว้ก่อน เดี๋ยวลุงก็ต่อกลับมาเอง

เราดูรถจนพี่วสันต์เปลี่ยนยางเสร็จ เราก็จากร้านจักรยานมือสอง เราปั่นมาเรื่อยๆ หนิงบอกว่าพี่ขา ขอขากลับแบบไกลๆหน่อย ระยะแบบขามามันจิ๊บๆ แต่วาจาที่กล่าวอ้างลืมไปว่าเวลาอิ่มๆเลือดมันจะไปเลี้ยงกระเพาะมากกว่าที่จะเลี้ยง กล้ามเนื้อขา แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของน้อง พี่อ๊อดจัดไป เรามุ่งหน้าไปทางมหิดลก่อน
แล้วเราเลี้ยวซ้ายตรงแยกก่อนถึงมหิดล พี่โจร่ำลากันตรงนี้ เราปั่นข้ามคลองมหาสวัสดิ์ตรงมาเรื่อยๆ ไม่นาน พี่โช ก็รำ่ลาไปอีกคน

เราปั่นกันมาเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้สู้เส้นเมื่อเช้าไม่ได้ ผิวถนนเสียหายจากรถใหญ่ที่วิ่งบนถนนนี้ แต่สิ่งที่เดือดร้อนคือ เวลาที่เขาปะถนนไม่ดี แล้วเราปั่นบนถนน มันจะทำให้รู้สึกกระดอน เราซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยติ๊กโภชนาอยู่แล้ว ติ๊กก็เลยอยากจะออกมาสู่โลกกว้างบ้าง หนิงต้องหวานอม ขมกลืนอยู่พักใหญ่ทีเดียว

แต่ถนนเส้นนี้ข้อดีอย่างคือร่มรื่น ต้นไม้สองข้าง ยังคงทำหน้าที่สมบูรณ์ทุกประการ ในขณะที่แดดเองก็เริ่มโลมเลียก้นพวกเรา ก่อนหน้านี้ พี่หมึกโวยวายเรื่องแดดส่องหัว แต่หนิงได้ยินพี่โป้งบอกว่าอีกเดี๋ยว ก็หันตูดให้แดดแล้ว

เรายังคงปั่นกันมาเรื่อยๆ นักปั่นเหลือ 10คน แต่ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะ เริ่มอยากกลับไปนอนเล่นที่บ้านกันแล้ว เลยเริ่มทำเวลา พี่โอรอบจัด ยังคงความแข็งแรงซอยถี่ตามพวกเรามาอย่างกระชั้นชิด ไม่นานเกินรอ เราก็มาออกซอย วัดศรีประวัติ ซึ่ง หลายคนก็งงว่ามาได้ไง พี่แขก หนิงและอาร์ม แอบคุยกันว่า ถ้าหลงก็กลับไม่ถูกเหมือนกัน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาปั่นตามพี่อ๊อดกับ พี่โป้ง

เราออกสู่ถนนบรมราชชนนีอีกครั้ง บ่ายนี้ รถติดหน้าดู กลิ่นเหม็นควันรถ ชวนให้อยากนอนสลบอยู่ตรงนั้นเลย แต่ภาระกิจยังไม่เสร็จสิ้น เราปั่นมาเรื่อย ไม่นานก็ถึงสะพานวนเข้า ถนนนครอินทร์ ซึ่งอีกอึดใจเดียวก็ถึงจุดหมายเราแล้ว พี่อ๊อดและพี่ประพันธ์แยกตัวไปอีก เราเหลือ 8คน ถนนเส้นนี้จัดว่ารถน้อยกว้างถนนรอบด้านในละแวกนี้มาก มีรถ แต่ไม่ได้ชวนน่าปวดหัว

ความที่คุ้นเคยกับถนน พี่หมึกเริ่มเร่งความเร็ว ตามมาด้วยหนิง ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งข้ามสะพานวงเวียน พี่สุเมธไม่รอช้า แปลงร่างจากเสือภูเขาเป็นเสือหมอบทันที หนิงก็อดไม่ได้ ลืมตัวไปว่าแบกของมาเพี้ยบ พี่โอปั่นจนรอบหมด ตามไม่ไหว เสียงพี่โป้งตะโกนว่า ‘เฮ้ย 43แล้ว’ เท่านั้นละ หนิงถึงกับปล่อยให้รถไหลอย่างเดียว

พี่โป้งว่าจะแปลงร่างกันหรือไง พวกเรากลับเข้าร้านน้ำโดยสวัสดิภาพ รวมแล้วร่วม 75 กิโลเมตรสำหรับ ทริปสั้นๆอย่างนี้ อาร์มเลี้ยวขวาแยกบางกรวยกลับบ้าน พี่ๆหลายคนติดใจ อย่างพี่ประพันธ์ถึงกับออกปาก ไปไหนไปด้วยเลย สำหรับบางคนที่ไม่มา ถึงกับเสียดายชีวิตโสดขึ้นมาทีเดียว พี่ๆบอกหนิงจัดเดือนละครั้งเลย แต่ถ้าทำอย่างนั้น พวกปั่นซ้อมคงเซ็งแย่ พวกเราปั่นกันโดยเฉลี่ยความเร็วไม่ได้ต่างกันมาก จึงไม่เกิดความเบื่อหน่าย เพราะไม่ต้องปั่นรอกันไปมา อย่างบางกลุ่มที่มีความแตกต่างกันเยอะสำหรับความเร็ว

อย่างๆน้อยๆการได้ไปปั่นครั้งนี้ ก็ยังทำให้เห็นว่าถึงแม้กลุ่มเราจะเล็กกว่าหลายกลุ่ม แต่เราก็ค่อนข้างเหนียวแน่น อีกอย่าง พี่ๆหลายคนมีความคิดบรรเจิดเรื่องทริปยาวๆ
ซึ่งถ้ามีความเป็นไปได้คง ได้มีการจัดแน่ๆ

เพราะงั้น สรุปว่า นับแต่นี้ เมียๆทั้งหลายต้องระวังให้ดี เพราะสามีที่รักจะแอบหนีไปปั่นเที่ยวกันอีก แต่ถึงยังไง พี่ๆก็หนีกันไม่รอด ถึงเวลารีบแจ้นกลับบ้านทุกคน ฮา

เรื่อง นางฟ้า
รูป นางฟ้า

1 ความคิดเห็น: