วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

อัมพวามหาสงกรานต์





เที่ยวอัมพวามหาสงกรานต์

ทุกปีช่วงสงกรานต์ ครอบครัวเราจะต้องตกลงกันว่าจะไป เที่ยวไหนดี จะไหนหรือนอกประเทศกต้องตกลงและ จัดการให้เรียบร้อนก่อนเดือนมีนา ปีนี้พ่อ ถามว่าจะไปไหนกัน ลูกๆก็เงียบ ด้วยเนื่องจากไม่ได้ตกลงกันก่อน และหนิงก็เริ่มไม่แน่ใจ ว่าจะลาได้กี่วัน จริงๆตอนแรกเลยญาติที่ฮ่องกง จะมาเยี่ยม แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ยกเลิก พวกเราเลยเฉยๆกันก่อน ตอนแรกกะว่าจะพาพ่อไปขับรถเที่ยวแถวอ่างทอง ไปดูพระใหญ่ ที่เขา ว่าใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากองค์ที่พวกตะลีบันทำลายลง แต่อากาศอย่างนี้ พ่อคงไม่ชื่นชมกับพระเท่าไหร่

พ่อคงรอคำตอบจากลูกๆนานมาก เลยบอกว่าจะตามอาดาไปเที่ยวตรัง แทน มาไม้นี้ หนิงก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว จำได้ว่าเคยได้เมล์จากเพื่อนๆเรื่องที่พักแถวอัมพวา เลยลองหาดูอีกที เจอwebพอดี หลังจากลองเข้าไปดูให้ถ้วนถี่แล้วก็ตัดสินใจว่าไปนอนเล่นสักคืน ถามน้องชาย ‘เอ๊ะ’ เขาก็โอเคเห็นดีด้วย เลยจองไปก่อน 1คืน กะว่าอีกคืนจะไปนอนทะเลเล่น เลยคิดว่าจะไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่ ปราณบุรีสักหน่อย ก็คงจะไม่เลว แต่เมื่อเช็คที่พักทำให้เราเลือกที่จะพักที่อัมพวา 2คืนแทน ก่อนออกเดินทาง ยังพบว่าพี่ชายที่จะไปเยี่ยมที่ปราณไม่อยู่ ทำให้เรา ต้องเปลี่ยนแผนกันวันต่อวัน

รายงานแผนการทุกอย่างให้พ่อแล้ว พ่อโอเค ดีกว่าอยู่กรุงเทพ
ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะพาไปทำอะไรบ้าง รู้แค่มีตลาดน้ำ และหิ่งห้อย

เช้าวันอาทิตย์ที่11
เราเลือกวันนี้เพราะเมื่อวานแม่ยังต้องไปสอนหนังสืออยู่ เป็นอาจารย์ ก็อย่างนี้ สอนทุกวันถ้ามีตาราง เสาร์อาทิตย์ กลางวัน กลางคืน ดีว่าปีนี้ แม่ปลดเกษียณแล้ว จะได้อยู่เป็นเพื่อนเล่นกะพ่อซะที พ่อเหงา

เราตกลงออกเดินทาง ตอน10.30 เพราะหนิงให้เหตุผลว่า ออกช้ารถติด กินข้าวเที่ยงไม่ทัน ในรถประกอบไปด้วย พ่อ แม่ น้องชาย น้องสาวคนใหม่และหนิง หนิงวางแผนว่าจะพาไปกินข้าว เที่ยงร้านคุณตุ่มที่ มหาชัย ร้านนี้อ่านเจอในหนังสือเกี่ยว กับอาหารเล่นนึง และเคยพาเพื่อนโต้งและผองเพื่อนมาพิสูจน์กันแล้ว ทุกคนชอบ คราวนี้เลยกะว่าจะพาพ่อมาพิสูจน์ดู

ร้านคุณตุ่ม อยู่ทางไป วัด เจษฎาราม มีห้องแอร์ 2ห้อง และยังมีแบบ open air อีก 2 ส่วน เรียกว่า ถ้าโชคดีก็ไม่ต้องนั่งกินไปร้อนไปในหน้าร้อนอย่างนี้ วันนั้นเราไปโชค ไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไปถึงก่อนเที่ยง แต่ก็เป็นช่วงหยุดยาว ผู้คนที่เดินทาง ออกต่างจังหวัดจึงมากมายทีเดียว

อาหารวันนั้นที่เราสั่ง เป็นอาหารทะเลทั้งนั้น เนื่องจากเพราะมหาชัย เป็นเมืองที่ประมงมาขึ้นที่นี้ หลายครั้งที่เพื่อนฝูงจะมาหาซื้อของทะเล ไปเวลาจัดงานปาร์ตี้
เราสั่งปลากระพงทอดน้ำปลา ทอดมันปลา กุ้งทอดเกลือ ข้าวผัดปู แกงส้มปูไข่ อาหารแต่ละอย่างมีรสชาดโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง ชนิดที่เราไม่อาจปฏิเสธรสชาดได้เลย เราลิ้มรสอย่างเมามันส์ จานแล้วจานเล่า ผ่านไปจนกระทั่ง แกงส้มปู เหมือนหนังขาดตอน เป็นเพราะเราสั่งไม่เหมือนชาวบ้าน การปรุงเลย พิสดารกว่า แต่ในที่สุด ปูแกงส้มก็ถูกยกมา แต่ขอบอกว่าด้วยอาการเร่งทำหรือ ไงไม่รู้ แกงรสชาดจึงไม่กลมกล่อม น่าเสียดาย

หลังจากเราเสร็จกิจกรรมการกิน เรายังได้ของหวาน ลอดช่องวัดเจษฯ เป็นของแถมจากทางร้าน

หลังจากอิ่มหนำสำราญ เรานั่งรถเที่ยวเล่นเมืองมหาชัยเล่นๆ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ไป วัดโกรกกราก เพราะอยากดูพระประธาน ใส่แว่นดำ ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส จะไปดูว่าเพราะอะไรท่านถึง ต้องใส่แว่นดำ

เราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สมุทรสงคราม เพื่อเข้าที่พัก ยังไม่ได้บอกว่าที่พักเราชื่ออะไร แต่จะบอกว่าที่พักอยู่ริมคลองประชาชมชื่น ใกล้ๆกับอัมพวา ถ้าขับรถจากที่พักไปก็แค่ 5กิโลเอง แต่ถ้านั่งเรือ ก็สัก 10 นาที อาจจะเร็วกว่า ถ้าซิ่งๆ
ทางเข้าที่พักดูสลับซับซ้อน จนน้องชายนายเอ๊ะ เริ่มหวั่นไหว เราแกล้ง บอกว่า แสนจะชาวบ้านนะ น้องก็บอกว่าชอบ อยู่ได้ พอเราบอกว่า ต้องนอนมุ้ง อาบน้ำในตุ่ม น้องเริ่มทำเสียงแข็งๆ ว่าจะดีเหรอ
เราเองก็เริ่มตุ๊มๆต่อมๆ เพราะทางเข้าที่พักดูไปก็มีแต่สวนมะพร้าว ร่องผัก ต่างๆนา ชวนให้คิดว่า นอนบ้านเก่าๆ ตุ๊กแกเยอะๆแน่
ในที่สุด น้องก็ขับรถเข้ามาถึง ‘ณปลายโพงพาง’ สถานที่ได้รับการดูแลอย่างดี ต้นไม้ตกแต่งสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ เราเดินเข้าไป check in กับคุณ จอย เจ้าของสถานที่ คุณจอยยังดูเด็กกว่าที่คิดไว้เยอะ อายุน่าจะ 20 ปลายๆด้วยซำ้ เราได้บ้านแฝด ที่มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และเสริมที่นอนให้ 1 ที่ สภาพห้องน่ารัก ไม่ใหญ่โต ไม่คับแคบ ห้องน้ำโปร่ง สะอาด ทั้ง2ห้อง มีเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่มีตู้เย็น มีทีวีและน้ำขวดให้ หน้าห้องมีส่วนนั่งเล่น ออกจากตัวบ้าน ก็เป็นคลองเลย น้ำใส สะอาด เดินไปหน่อย จะมีโตะนั่งเล่นตรงท่าน้ำใกล้บ้าน มองไปฝั่งตรงข้ามมีบ้าน เรือนไทยปลูก อยู่หลัง ดูเหมือนจะมี ตากะยายอยู่กัน 2 คน บ้านที่เราพัก ใกล้กับส่วนที่เป็น reception และ ห้องอาหาร แต่ไม่ได้มีเสียงรบกวน เนื่องจากทางที่พักไม่นิยมให้ใช้เครื่องขยายเสียงทำเสียงดัง แขกที่พักส่วนใหญ่ชอบความสงบ จะดื่มเหล้า ยาปลาปิ้ง ก็เงียบๆ เฉพาะกลุ่ม ที่พักแต่ละหลังมีเอกรักษ์ บ้างทำจากปูน บางทำจากไม้หรืออิฐ สีสันก้ไม่ซ้ำกัน นัยว่าเจ้าของเป็น artist จากเพาะช่าง

หนิงเดินสำรวจรอบๆ แอบพอใจนิดๆที่ทำเลที่พักเราดี เพราะสะดวก ต่อการเคลื่อนย้าย ผู้ใหญ่ ก็ไม่อยากเดินไกลเท่าไหร่ และอีกอย่างก็รายล้อมไปด้วยผู้คน ไม่เปลี่ยวใจ ส่วนใหญ่แขกที่พัก จะเป็นวัยนักศึกษา ถึงผู้ใหญ่ ไม่ให้ครอบครัวเล็กๆ ที่มีเด็กสักเท่าไหร่

เราให้เวลาทุกคนส่วนตัว ก่อนเจอกันอีกที 4โมงเย็น เพราะหนิงนัดเรือหางยาวไว้สำหรับเที่ยวคืนนี้ เอ๊ะ ไปนวด พ่อกับแม่ นอนพักดูทีวี อรนอนเล่น หนิงเดินไปมา หานั่งสืออ่าน สายตาสอดส่องผู้คน เห็นเรือหางยาวจอดรอลูกค้าอยู่ 3-4 ลำ เราเลือกไว้ลำ นั่งอ่านหนังสือริมคลองจะได้ยินเสียงเรือรับ จ้างวิ่งไปมาตลอดเป็นที่สนอกสนใจของหนิงยิ่งนัก ยิ่งเห็นเรือที่บรรทุกของมา ก็จะยิ่งสงสัยนักว่ามีอะไรในเรือ
อีกอย่าง แอบดูแขกของที่พัก ประมาณการว่าเค้ามาจากไหน และไปไหนต่อ หรือจะไไม่มีที่ไปเหมือนเรา จนในที่สุด คำถามที่คาใจ ก็ได้คำตอบ ถ้าคะเนด้วยตาแล้วรู้ หนิงก็คงไม่ใช่คนธรรมดา ถามดีกว่า แน่นอนที่สุด หนิงเริ่มจากน้องข้างๆห้องที่ check in เข้ามาทีหลังเรา ได้ความว่า น้องสาวทั้ง2 จะนอนอยู่ เป็นเพื่อนบ้านกัน 2 คืน แต่หลังจากนั้นไม่รู้ หลายคณะที่แอบถามวันถัดมา บางกลุ่มมาจากราชบุรี ไปนอนสวนผึ้งมา บางคู่ กำลังจะไปหัวหิน บางคณะ มาพร้อมกับเรา และจะกลับบ้านพร้อมกับเรา เอาเป็นว่า ส่วนใหญ่ มาแค่ 1 คืนเท่านั้น

หลังจากเราใช้เวลาส่วนตัวกันแล้ว เราก็ออกเดินทางโดยเรือหางยาว ลุงที่จองไว้หนีไปกับลูกค้าคนอื่น ทิ้งหนุ่มน้อยให้เราคน เราเลยขอให้หนุ่มพาเราไปเที่ยว วัดสัก 2-3 แห่งก่อน ค่อยไปเที่ยวตลาดน้ำเพราะยังร้อนเกินกว่าจะไปเดินได้ หนุ่มขับเรือพา เราไปวัดภุมรินทร์กฎีทอง ที่วัดนี้มีกุฎีหลังเก่าสร้างสมัยรัชกาลที่1 กุฎีหลังนี้ เป็นสักทั้งหลัง แต่เสาเรือนสึกกร่อนพังลง เหลือเสาต้นเดียว ซึ่งว่ากันว่ามีเจ้าหญิงสาวิตรีอยู่ในเสา ใครขอพรอะไรได้ ก็จะนำเสื้อผ้าผู้หญิงมาแก้บน
สำหรับ ตัวกุฎี ตามประวัติ สร้างโดยเศรษฐี แห่งแม่กลอง เนื่องเพราะลูกสาวเศรษฐี ได้รับการทำนายว่าจะได้เป็นนางพญามหากษัตริย์ เมื่อคำทำนายเป็นจริง เศรษฐีเลยมาสร้างกฎีถวายหลวงพ่อที่ทำนายให้
ที่นี้ เราจะเห็น ไกด์ท้องถิ่น คือเด็กๆ อายุราว 6-10ขวบ 2-3 คน หลายที่ในเมืองไทยที่ให้เด็กมาทำหน้าที่นี้ เป็นการฝึกฝนที่ดี เด็กๆ มักได้ค่าตอบแทน 20บาท เป็นค่าเหนื่อยในแต่ละครั้ง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว

เราออกจากกุฎีมารอเรือที่ท่าน้ำ จึงเห็นว่า แม่น้ำแม่กลองนี้ใหญ่ไม่ใช่ เล่น น้ำสะอาดและเย็นเมื่อเอามือจุ่มลงไปสัมผัส เรารอเรืออยู่พอ สมควร เนื่องจากมีท่าขึ้นลงท่าเดียว เราจึงต้องรอคิว ใครก่อนหลัง ขึ้นก่อน หรือลงก่อน หลังจากวัดภุมรินทร์ หนุ่มชาวเรือ พาเราไปไหว้หลวงพ่อโต พระที่ใหญ่ในคุ้งน้ำนั้นที่วัดท้องคุ้ง ที่นี้พ่อได้ ทำการเสี่ยงเซียมซี เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่งนัก หลังจากนั้นพ่อก็เสี่ยงท้าย ด้วยการยกช้าง ก็สำเร็จด้วยดี เดินกลับมาขึ้นเรือหน้าแช่ม

ระหว่างทางลงเรือเราเห็นชาวบ้านมาดักขายเต่าขายปลา ให้เราทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ ตัวไม่กี่บาทเอง ใจนะอยากปล่อย แต่อีกใจก็ไม่แน่ใจว่าปล่อยแล้วเราจะทำให้สัตว์เหล่านั้น ตายเร็วไป หรือเปล่า เพราะแม่น้ำที่กว้างใหญ่ และเรือที่วิ่งไปมา บวกกับสัตว์บางชนิด เช่นเต่า ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เต่าแม่น้ำก็ได้

หลังจากออกจากวัด เรามุ่งหน้าไปตลาดน้ำอัมพวา ตอนแรกบอกพ่อว่า พ่อต้องซื้ออาหารกินบนเรือ พ่อนะไม่อยาก แต่อรนะ อยากอยู่ แต่พอเอาเข้าจริง หนุ่มขับเรือบอกเราว่า เราต้องเดินไปหากินเอง บนบกเพราะมีสองเท้า ไม่ต้องมากินบนน้ำ (อันนี้เติมเอง เค้าไม่ได้พูด)

เป็นอันว่า เราทั้งหลายต้องปีนตลิ่งขึ้นไปเดินเบียดเสียดกับผู้คน ที่มาเที่ยว เช่นเดียว กับเรา เราตกลงเวลากลับกับหนุ่มเรือเป็นที่เรียบร้อยก่อนขึ้นฝั่ง
เรามองไปสองฝั่งคลอง ทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่มาทางรถ และทางน้ำ เราตกลงกันว่าจะเดินไปจนสุดทางแล้วค่อยตกลงว่าจะทานอะไร แต่ข้อแม้มีอยู่ว่า ควรจะหาร้านที่มีช่อง 3ให้พ่อดู เพราะพ่อติดหนัง เกาหลี (วัยรุ่นมากๆ)

ข้างทางเต็มไปด้วยข้าวของเสื้อผ้าที่ระลึกเกี่ยวกับอัมพวา ส่วนริมน้ำก็มีเรือมาขายของกินสารพัดอย่าง เช่นผัดไท หอยเชลเผา คือใครใคร่กิน กิน, ใครใคร่ช๊อป ช็อป เราแยกกันเดิน เอ๊ะไปกับอร พ่อกะแม่ ก็พากันไป หนิงเดินเดี่ยว ดูของไปเรื่อยๆ เราไปเจอกันสุด ทาง เอ๊ะบอกเจอร้านที่มีทีวีให้พ่อ ทุกคนตกลงกัน เพราะพ่อเริ่มร้องหาทีวี ร้านที่ว่าเป็นร้าน 2ชั้น มีระเบียงชั้นบน เรา นั่งชั้นล่าง หน้าทีวี อาหารที่เราสั่งวันนั้นมีผัดผักบุ้ง ปลาทูต้มยำ หอยจ้อ ปลาหมึกเผา กุ้งอบวุ้นเส้น กุ้งเผารสเด็ด แล้วยังสั่งหอยเชลเผามาทานเล่นๆ เราไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่กับอาหาร แต่ปรากฎว่า อาหารอร่อยทีเดียว กินกันไม่เหลือสภาพในตอนแรกเลย ต้มยำน้ำอร่อยมาก ถูกใจ เราแอบมองไป พบว่าคนทำครัวเป็นผู้ชายวัยกลางคนมากด้วยประสบการณ์นี้เอง รสชาดถึงได้ดีนัก

วันนั้นเรียกว่ากินกันอร่อยทุกมื้อ พ่อกับแม่ตบท้ายด้วยไอติมกะทิ ถูกใจพ่อมาก

ก่อนกลับ เราข้ามสะพานมาเดินอีกฝั่ง เป็นการสำรวจตลาด พบว่าทางเดินด้านนี้แคบกว่าอีกด้าน ส่วนสินค้าก็หลากหลาย สำหรับ นักช๊อปทั้งหลายก็ควรใช้เวลาในการเดินดูและซื้อของ สิ่งที่พบว่าด้านนี้ต่างกับด้านแรกที่เราเดินคือ จะมี ที่พัก หลายแห่งริมน้ำ ดูน่ารัก พร้อมทั้งยังจัดที่ส่วนตัวสำหรับแขกที่พัก นั่งเล่นๆริมน้ำด้วย ตลาดอัมพวาจะเปิดราว 4โมงเย็น ปิด 3ทุ่ม

หลังจากเราenjoyตลาดน้ำแล้ว เราก็นั่งเรือกลับ ระหว่างทางกลับที่พัก คือเส้นทางที่เขาจะไปดูหิ่งห้อย ที่นี้เป็นที่ที่มีหิ่งห้อยเยอะแห่งนึง โดยเฉพาะใกล้กรุงเทพ หิ่งห้อยที่นี้เป็นหิ่งห้อยน้ำกร่อย จะอยู่กันเป็นกลุ่ม และจะกระพริบแสงเมื่อต้องการหาคู่ ชีวิตของ หิ่งห้อยไม่ได้ยืนยาวนัก การขยายพันธุ์จึงมีตลอดปี หิ่งห้อยจะกินน้ำค้างเป็นอาหาร และก็ไม่จำเป็นที่จะอยู่แค่ต้นลำพู การที่หิ่งห้อยมีเยอะหมายถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติแถบนั้นยังมีอยู่เยอะ หิ่งห้อยอีกชนิดคือหิ่งห้อยน้ำจืด ชนิดนี้ตัวใหญ่กว่า และจะไม่อยู่เป็น กลุ่ม จะอยู่เดี่ยว นี้เองอาจเป็นต้นเหตุของตำนานกระสือที่มีแสงลอยไปลอยมาก็ได้
เรานั่งเรือดูมาเรื่อยๆ จนถึงที่พัก แล้วก็พบว่าป่าฝั่งตรงข้ามก็มีหิ่งห้อยอยู่ที่ต้นไม้ ไม่ต้องไปไหนไกลก็ได้

วันรุ่งขึ้น 12เมษาพาเพลิน
วันนี้หนิงตื่นมาเพื่อดูบรรยากาศยามเช้า และก็สืบรู้มาว่าเขามีตักบาตร ยามเช้าด้วย เช้านั้นแขกบ้านอื่นๆก็ออกมากันแต่เช้า เพื่อรอใส่บาตร
อากาศเช้าไม่เย็นมาก แต่สบายๆ แดดยังไม่โผล่พ้นไม้ ไอน้ำระเหยเมื่อความร้อนเพิ่มขึ้น แสงเริ่มปรากฎ แต่ไม่จัดนัก เสียงเครื่องยนตร์เรือดังกระหึ่ม มองไปทางต้นเสียง เห็นป้าซิ่งเรือมาด้วยความเร็ว ชะโงกมองในเรือ เห็นของมากมายใน เรือ ป้าเริ่มเบนหัวเรือมาทางฝั่งเรา เพราะคนยังยืนกันเยอะ แขกกลุ่มแรกเลือกซื้อของสำหรับใส่บาตร เรายืนมองห่างๆ กำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี ป้าขายทั้งของคาว ของหวาน ท้ายสุด เราได้ซื้อห่อหมก กับขนมสอดไส้ เอามากินเอง

หลังป้าไปไม่นาน พระก็พายเรือมา พระแวะบ้าน ตายายตรงข้ามก่อน ถึงจะพายมาทางฝั่งเรา แขกเริ่มทยอยใส่บาตร แม่ก็ไปใส่บาตรด้วย ได้บุญกันไป เราเลยตกลงว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตรกัน หลังได้บุญแล้ว เรายังคงนั่งเล่นริมน้ำ ดุผู้คนที่ผ่านไปมา ทั้งชาวบ้าน และแขก เราพบว่าการใช้ชีวิตช้าๆแบบชาวบ้านนั้นได้ซึมซับหลายๆเรื่องดี ไม่เหมือนชีวิตชาวกรุงที่ผ่านมาผ่านไป เร็วจนเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คืออะไร

แสงเริ่มผ่านพ้นยอดไม้ส่องมายังบ้านพัก เราเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ ผ่านเข้ามาสู่เรา พ่ออาบน้ำ หนิงและแม่เดินสำรวจอาหารเช้า ที่พักที่นี้จัดอาหารเช้าไว้ด้วย เป็นข้าวต้มหมูและกุ้ง แขกกลุ่มอื่นๆ เริ่ม ทยอยมาทานข้าวเช้า พวกเราเริ่มที่ปาท่องโก๋ และชากาแฟ เรารอให้ผู้ คนทยอยไปก่อนถึงจะเป็นคิวเรา ระเบียงที่เขาจัดเป็นส่วนโต๊ะอาหาร จัดได้น่ารัก เราenjoyอาหาร และสถานที่กันพอประมาณ และตกลงว่าวันนี้ เราจะออกไปเที่ยวชายทะเลกัน เพราะจากที่พัก อีกไม่ไกลก็หัวหินและ ปราณบุรี ครอบครัวเรายังไม่เคยไปพัก ปราณบุรีเลย จะมีแต่หนิงที่เคยมาก็หลายปีก่อน เราแวะเที่ยววัดห้วยมงคลก่อนจะเขาปราณฯ ที่วัดคึกคักไปด้วยผู้คนแต่ไม่หนาแน่นมากที่มาสักการะหลวงพ่อทวด หรือหลวงปู่ทวดนั้นเอง มีการจัดสรงน้ำพระ เราแวะไม่นานก็เดินทางต่อ เราถึงปราณฯ ประมาณเที่ยง เราหาร้านทานกัน จำได้ว่าเคยไปครั้งนึงกับพี่ต๋องตอนล่องใต้ ชื่อร้าน แจ๋ว อย่างนี้ เรานั่งรถเล่นไปเรื่อยๆ การจราจรไม่ติด แต่รถเยอะพอควร เพราะเวลาเราเยอะเลยบอกเอ๊ะให้ขับไปตามป้าย ถึงร้านเรานั่งริมหาด ท้าลมทะเลและแสงแดด อาหารที่สั่งก้ไม่ยุ่งยาก ปูนึ่ง ปลาทรายทอด ทอดมัน แกงส้มไข่ปลาริวกิว ฯลฯ อาหารถูกทยอยมาเสิร์ฟ แต่น่าเสียดาย อาหารรสชาดไม่อร่อยอย่างที่เคยทาน เรามานั่งวิเคราะห์ ว่า ช่วงหน้าเทศกาล ร้านบางร้านทำเตรียมไว้ก่อน แม้แต่นึ่งปู หนิงเสียดายว่า เคยกินแล้วอร่อยครั้งนึง แต่เมื่อผ่านไปแล้ว เราก็เริ่มออกท่องเที่ยวต่อ เรานั่งรถเลาะหาดปราณฯ ที่พักขึ้นริมหาดเต็มเหมือนดอกเห็ด เป็นที่น่าเสียดายที การก่อสร้าง ที่ไม่ได้ควบคุมทำให้ทัศนียภาพในการชมทะเลเป็นไปในข้อจำกัด ผิดกับหาดบ้านกรูด ที่พยายามควบคุมการก่อสร้าง เรียกว่า สามารถทำ ให้ชายหาดสวยและสัมผัสได้แม้ตาเห็น เรานั่งรถกลับ ระหว่างทาง เราแวะ outlet เล่นๆ ถนนสายมุ่งหน้ากรุงเทพนี้มี outlet เท่าที่เห็นริม ถนนอยู่ 3แห่ง แต่ละแห่งก็มีของไม่เหมือนกันเท่าไหร่ ก็เลือกเข้าตามอัธยาศัย

เรากลับเข้ามาที่พัก ณปลายโพงพาง เกือบ 4โมงเย็น เราต่างคนต่างหาเวลาส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็นอนพักผ่อน หนิงยังคงเดิน ไปมาเพื่อสำรวจสถานที่ เพื่อจะจำเอาไว้เวลามีสถานที่ที่เป็น ขอตัวเองบ้าง นั่งเล่นอ่านหนังสือไปมา ก็ได้ยินเสียงเรือบวกกับเสียง กระดิ่งสั่น เงยหน้ามามอง ก็เห็นชายหนุ่ม2คนขับเรือผ่านไป ชะเง้อดู ในเรือเห็นอะไรบางอย่าง เดาไม่ถูก พยายามส่งสายตาดูอีกทีเห็นป้าย เขียนว่าไอติม อะห้า เราไอ้กินไอติมที่เขาขายในเรือ คิดได้ดังนั้นก็ตะดกนถามว่า ‘มีไอติมเหลือไหม’หนุ่มหัวเรือตอบว่ามี ดังนั้นเรารีบทำการโบก โบก โบก เรือหันหัวกลับมาทางฝั่ง ขณะเดียวกัน น้องจอย เจ้าของสถานที่เข้ามาบอกอยากซื้อด้วย เราถามเข้าว่ามีอะไรบ้าง ได้ความว่าเหลือแค่ไอติมกับแก้ว ส่วนกรวย, ขนมปังได้หมดไปแล้ว ส่วนมะพร้าว เขาปลอกออกมาเนื้อดันแข็ง เขาไม่ขาย ยกให้ฟรีๆเลย เมนูไอติมเขาน่ารักดี อย่าง ยืนในแก้ว นั่งบนถ้วย นอนในขนมปังเป็นต้น
ขณะที่รอหนุ่มขายไอติม ได้พูดคุยกะคุณจอย ได้ความว่าเป็นคนกระบี่ ย้ายมาอยู่ที่นี้หลังจากแต่งงาน คุณจอยว่าถ้าอยากเล่นน้ำคลองก็เล่นได้ น้ำสะอาด ปราศจาก ทากและปลิง ใจหนิงก้อยากเล่น แต่เกรงใจคนในครอบครัว เดี๋ยวน้องจะบ่นเอา

หนิงเรียกแม่กับน้องๆออกมาซื้อกินกัน เป็นกิจกรรมที่สนุกดี คนขาย ก็มีน้ำใจดี แถมนู้น ให้นี้ไปเลย ถึงแม้จะไม่อร่อยถูกปากพ่อ แต่สำหรับคนอื่นๆ ก็ถือเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน

หนิงยังนั่งคุยกับแม่ไป กินมะพร้าวไป จนเย็นได้เวลาไปอัมพวากันอีก รอบ คราวนี้เราไปทางบก เพราะอยากรู้ว่าไกลใกล้กันแค่ไหน คุณขวัญ เจ้าของสถานที่บอกทางให้เราโดยไม่ต้องเข้าเมืองซึ่งระยะทางแค่ 5 กิโลเอง เราขับผ่านสวน และวัดหลายวัด มาออกตรงวัดภุมรินทร์ แล้วขับออกถนนใหญ่ ไปด้านหลังตลาดน้ำเลย สะดวกดี วันนี้เป็นวันที่คนค่อนข้างน้อย เพราะยังเป็นวันจันทร์ คนยังทำงานกัน เราตรงดิ่งไปร้านเดิมที่ทานเมื่อวาน เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการหา ร้านใหม่ๆทาน อีกอย่างเมื่อกลางวันทำเสียอารมณ์ ถ้ากินมื้อนี้ไม่อร่อยอีก คงเสียอารมณ์ทั้งคืน

คราวนี้เราขึ้นไปนั่งชั้น 2 เห็นวิวตลาดน้ำ บรรยากาศดี เราสั่งอาหารคล้ายๆเดิม จะเปลี่ยนก็จากต้มยำเป็นแกงส้ม หมึกเผาเป็น กุ้งทอดกระเทียม และมีน้ำพริก กับปลาทูทอด อาหารที่เปลี่ยนไม่ทำให้เราผิดหวังเลย พ่อครัวฝีมือดีมากๆ อาหารบางอย่างหน้าตาไม่ดีอย่างกุ้งกระเทียม แต่รสชาดเหนือคำบรร ยาย เราทานกันอย่างเอร็ดดร่อย เคล้าบรรยากาศตลาดน้ำเบื้องล่าง ก่อนออกจากร้านเพิ่งจะรู้ว่าร้านที่มาทานข้าวมีชื่อว่าสวรรค์ บนดิน

หลังจากอาหารมื้ออร่อย เราเดินย่อยอาหารกันต่อ จะพูดเรื่องอาหารที่ ขายตามตลาด ถือว่าราคาไม่แพงนัก และรสชาดใช้ได้ ถึงอร่อยมาก
เราเดินมาเจอคู่แฝดอภินิหาร เล็กใหญ่ พาแม่มาเที่ยวเหมือนกัน พวกลูกกตัญญูทั้งนั้น เราสนทนาประสาเพื่อนรัก ก่อนจากกันยังบอกเพื่อนให้ไปทานข้าวร้านสวรรค์บนดิน
คืนนั้นเรากลับมานอนกันเร็ว เพราะเหนื่อยจากนั่งรถตากแดดกัน ทั้งวัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว พุ่มไม้ระยับไปด้วยหิ่งห้อย

วันที่13เมษามหาสงกรานต์
วันนี้หนิงสะดุ้งตื่นเพราะกลัวจะซื้อของถวายพระไม่ทัน เดินออกมาหน้าบ้าน หวังจะเห้นป้ามาขายของ แต่ที่เห็นกลับเป็นพระ ที่พายเรือมารับบาตร เอาละสิ หน้ายังไม่ได้ล้าง ของใส่บาตรก็ยังไม่ได้ซื้อ จะมีก็แต่ ขนมทองเอก เลยตัดสินใจนิมนต์ พระใส่แค่ทองเอกก็ได้ ชื่อเป็นมงคลดี เสร็จแล้วเลยนิมนตืท่านต่อ เรียกเอ๊ะกะอร เพราะน้องว่าเตรียมของไว้ใส่ จากนั้นเลยถามท่านว่าทำไมท่านมารับบาตรเร็ว ท่านว่าวันนี้วันสงกรานต์ จะมีงานบุญที่วัด จริงๆก็จะไม่มา แต่ว่าบังเอิญต้องมารับบาตรบ้านด้านใน จึงมาเร็ว เราเลยโชคดี ไม่รอเก้อ
เช้านั้นพวกเรานั่งทานกาแฟชาที่ท่าน้ำ โดยที่ไม่มีแขกอื่นตื่นเลย เหมือนเช้าเมื่อวาน เราสังเกตว่าแขกชุดนี้เป็นวัยรุ่นและคงจะมาเล่นสงกรานต์มากกว่า มาพักผ่อนแบบ chill chill เช้านี้เราดำเนินชีวิตแบบไม่รีบร้อน ทานข้าวเสร็จก็นั่งพักผ่อนกันหน่อย

รอจนได้เวลาเราcheck out เราร่ำลาเจ้าของสถานที่ เราออกเดินทางไป ยังวัดบางกระพ้อม หนิงขอให้มาวัดนี้ เพราะอ่านจากหนังสือ พบว่าเป็นวัดเก่า และมารอยพระพุทธบาท 4 รอยซ้อนกันอยู่ น่าสนใจ เลยอยากมาดู น้องชายตามใจ เพราะถ้ามุ่งหน้ากลับบ้านเลย ก็คงจะเร็วไป เราหาวัดตามป้ายอยู่นาน จนพบว่าหลง เพราะป้ายที่วางผิด ให้เรา กลับรถ ทั้งที่ควรจะขับรถตรงไป ในที่สุด เราก็มาถึงที่หมาย ผู้คนไม่มากนัก เราทั้งหมดมุ่งตรงไปไหว้พระปิดทอง ก่อนที่จะเดินไปดู โบสถ์เก่า ที่ซึ่ง
มีรอยพระพุทธบาท และจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นปูนปั้น เราเสพความงามได้ตามความพอใจ เสร็จจากนั้น เราเดินทางกลับ
ระหว่างทางกลับ เป็นที่น่าสังเกตุว่าข้างถนนจะมีปลาทูวางขาย ตลอดเส้นทางที่อยู่ในเขตสมุทรสงคราม สืบความจากแม่ว่า ปลาทูที่นี้ มีชื่อเสียง เนื่องจากว่า ตัวใหญ่ และเนื้อมัน ทานอร่อย ปลาทูที่นี้ใหญ่ขนาดว่า เวลาใส่เข่งต้องหักคอก่อน เรียกว่า ‘หน้างอ คอหัก’

เราไม่ลืมที่จะทานคุณตุ่มที่มหาชัยอีกครั้งเป็นการสั่งลาอีกครั้ง อาหารมาตรฐานเหมือนเดิม หลังจากนั้น เรามุ่งหน้าตรงเข้ากรุงเทพ ถนนหนทางว่างสบาย ผิดกับฝั่งตรงข้ามที่เขาเพิ่งจะออกไปเที่ยวในช่วงเทศกาล

นางฟ้า

ปั่นสบาย...จะตาย ริมหาดทะเลใต้

ปั่นสบาย…จะตาย ริมหาดทะเลใต้

ผ่านร้อนผ่านหนาวกับ touring ก็ไม่น้อยแล้ว ผ่านเขาป่า มาก็เยอะ แต่หาด ทราย สายลม แสงแดด นี้นับครั้งได้เลย เคยครั้งนึงปั่น แถวพังงากับพวกพี่จ้อน ตอนนั้นจำได้ว่าปั่นเล่นกันบนเนินทราย ให้สนุกสนาน ไม่พอ ยังลงไปลุยน้ำทะเลอีก จำได้ว่ากลับมา เอาจักรยานไปล้างเกือบไม่ทัน กลัวเกลือทะเลจะทำมันพังซะก่อน

คราวนี้ได้รับโทรศัพท์จากพี่โหนกว่า มีช่วงวันหยุดก่อนสงกรานต์ พี่โหนกทำการลาพักร้อนล่วงหน้าไว้แล้ว สนใจปั่นtouringไหม “สนสิคะคุณพี่ ของงี้หาคนไปด้วยไม่มีอีกแล้ว” ว่าแล้ว เราก็จัดการ เช็คsched แล้วฟ้าก็เป็นใจ กลับจาก ฝรั่งเศสก็ขึ้นรถเดินทางทันที

คราวนี้เราตกลงกันว่าจะปั่นริมทะเล เพราะสืบเนื่องจาก tripที่แล้ว ปั่นบนเขา กว่าจะเจออากาศเย็นสบาย ก็เรียกว่าน้ำเกือบหมดตัว ร้อนและเพลียมาก คราวนี้กะว่าริมทะเล ร้อนก็เล่นน้ำ นอนริมหาด แก้เซ็ง แล้วค่อยปั่นกันต่อ แผนการณ์ที่วางไว้ ก็คือปั่นช่วงเช้า และช่วงเย็น ถึงมืด พี่โหนกตั้งใจไว้มากว่าจะปั่น ชมดาว (แล้วก็ได้ชมดาวแบบเงียบๆสมใจ)


วันเสาร์ที่3 เมษายน 2553วันเดินทาง

เราเดินทางออกจากกรุงเทพแปดโมงกว่า วันนั้นรถค่อนข้างเยอะ เพราะถ้าลางานวันจันทร์ ก็จะได้วันหยุด4วันลัลลาแบบพี่โหนก
เรานั่งรถคุยกันไปเรื่อย ระหว่างทางหนิงนั่งดูต้นไม้ข้างทาง ที่ออกดอกสวยงามอย่างตะแบก และต้นคูน ร้อนอย่างนี้เป็นฤดู ที่สวยงามแบบไทยๆ
แผนการณ์ที่วางไว้ว่าคราวนี้จะปั่นไปไหน ยังไง เราสรุปกันคร่าวๆว่าจะปั่นเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดหมาย ค่ำไหนนอนนั้น
โดยจะเลาะชายหาดทะใต้ฝั่งอ่าวไทยให้มากที่สุด เราคิดจะเริ่มแถว บางสะพานน้อยแล้วปั่นขี้นไปบางเบิด จากนั้นต่อไปชุมพร แล้วต่อลงไปอีกหน่อย แต่แผนการณ์ก็เปลี่ยน เพราะอากาศ วันนั้นค่อนข้างร้อน ประกอบกับหนิงยังไม่ได้นอน พี่โหนกเลยใจดี จัดให้นอนที่ประจวบแทน

พี่โหนกขับรถมาถึงประจวบช่วงเที่ยงๆ เหมาะแก่การหาอาหารอร่อยๆ ทานแก้ร้อน แล้วพี่โหนกก็จัดไป โดยการพาไปทานข้าวร้าน รับลม ที่อ่าวน้อย หลายคนคงเคยไปทานแล้ว ร้านนี้มีของอร่อยหลายอย่าง แต่วันนั้นเราทาน แกงส้มไข่ปลาริวกิว หอยตลับผัดพริกเผา เนื้อปูผัดกระเพรา ฯลฯ อร่อยทั้งนั้นจนลืมถ่ายรูปมาอวด อิ่มกันขนาดนั้น พี่โหนกยังจัดให้ไปนวด ตอนนั้นถ้าได้หลับก็คงจะดี แต่ว่า โรงนวดแบบบ้านๆ ไม่ใช่สปา ไฮโซ เลยไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไหร่ หลับไม่ลง แต่นวดดีมาก

ออกจากโรงนวด อากาศก็ยังร้อน และนั้นคือส่วนประกอบให้เรา ตัดสินใจเริ่มปั่นวันรุ่งขึ้นแทนเราเลยตกลงว่าจะปั่นชมเมือง ประจวบเพราะเราเองก็ยังไม่เคยชมเมืองแบบละเอียดละออมาก่อน
เราหาที่พักราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ติดทะเล เพราะเราคิดว่าเราจะ ปั่นจักรยาน จึงไม่เน้นที่พักเท่าไหร่ เราพักที่ประจวบเพลส จัดว่าใช้ได้ทีเดียว สะอาด สะดวก

เราจัดแจงประกอบรถ ติดไฟ เพราะเราจะปั่นกันจนมืด เส้นทางปั่นออกไปทางอ่าวมะนาว ผ่านส่วนที่เป็นพื้นที่ของทหาร หนิงเคยไปนานหลายปีแล้ว สมัยเรียนมหา’ลัย ตอนนั้น เขายังไม่อนุญาต ให้เข้าออกง่ายดายแบบนี้ ตอนนี้จัดว่าเป็น ที่พักผ่อนที่ดีแห่งนึงสำหรับคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว อย่างเรา

แถวนั้นมีเรือนแถวรับรองสีฟ้าน่ารักดี เราถ่ายรูป และปั่นไปรอบๆ ผ่านศาลเจ้าพ่อ ฝูงค่างแว่น และออกมาสู่ ส่วนพักผ่อนเล่นน้ำ นักท่องเที่ยวเล่นน้ำกัน สนุกสนาน ต่างจากเมื่อก่อนมากๆ เราปั่นเลียบฝั่งไปเรื่อยๆ จนสุดเขตทหารอีกด้านเราปั่นเลี้ยวซ้ายไปด้านสนามกอล์ฟ และผ่านไปสู่ส่วนพิพิธภัณฑ์ ของกองทัพ ตอนแรกพี่โหนกชวนปั่นไปหว้ากอ แต่ตอนนั้นมืดแล้ว ไปก็คงไม่เห็นอะไร พวกเราจึงกลับ เพื่อจะปั่นเล่นในเมือง

เราปั่นออกจากค่ายทหาร ผ่านมายังริมทะเลเมืองประจวบ มองออกไปไกลๆจะเห็น ไฟสีเขียวๆกลางทะเล เราเดากันได้ว่าเขา หาหมึกกันอยู่ ทะเลละแวกนี้จัดว่าหมึกเยอะทีเดียวโดยเฉพาะ ลงใต้ไปยังชุมพร
เราปั่นเลาะกันไปเรื่อยๆ ผ่านตึกใหม่ๆ ซึ่งเป็นตัวบงบอกว่าเมือง กำลังเติบโต หลังจากประจวบเป็นเมืองที่หลายคนลืมไปนาน หลายปีแล้ว ประจวบยังมีความclassic ของเมืองเก่า เพราะยังมีตึกรามบ้านช่องแบบเชียงคาน ถ้ามีการอนุรักษ์โดยคน ในชุมชนจะดีมากทีเดียว จะทำให้ประจวบยังคงเสน่ห์ อย่างที่ หลายเมืองที่เจริญแล้วไม่มี

เราปั่นมุ่งหน้าไปอ่าวน้อย ที่อ่าวน้อยนี้จัดว่ายังคงมีเสน่ห์ และ virgin ทีเดียว หาดที่ค่อนข้างกว้าง และยังไม่มีโรงแรม หรือสิ่งก่อสร้างให้รกหูรกตามาก เราปั่นกันไปไดสัก้พัก ถนนตอนนั้นมืดแล้ว เราจึงหันกลับเข้ามาปั่นในเมือง ตอนนั้น หนิงหิวแล้ว เลยชวนพี่โหนกหาอาหารกินกัน เราปั่นไปดูหลายๆ ร้านที่เราแอบหมายปอง และแล้ว เราก็มาไดเ้พลินสมุทรเป็น ตัวเลือกสุดท้าย ร้านนี้อยู่ริมหาดในเมืองประจวบ ช่วงหัวค่ำที่เรา ปั่นผ่าน เห็นผู้คนเต็มร้าน แม้ตอนเราไปถึง ก็ยังมีคนเข้าออกร้าน พอดู
อาหารที่เราสั่ง เริ่มต้นที่กุ้งมะขาม หลนปลาเค็ม ใบเหลียงผัดไข่ หมึกผัดไข่ ตบท้ายด้วย กุ้งนึ่งกระเทียม เมนูสุดท้ายอร่อยจริงๆ ขนาดว่าอิ่มกันแล้วยังกินจานสุดท้ายกันเกลี้ยง จนเด็กเสิร์ฟแซว เสียดายที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเมืองนี้เมนูปลาทูเค้าดัง เราปั่นกลับมาพักผ่อนกันเพื่อจะเก็บแรงไว้ปั่นวันรุ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่4เมษายน วันร้อนๆวันนึง

พวกเราตื่นมาด้วยความสดชื่น เพราะเราปล่อยให้นาฬิกาปลุก มันร้องทุก 15นาที เราตื่นมาจัดแจงเก็บของ แล้ววางแผนการปั่น เรา เปลี่ยนแผนจากที่คิดจะเริ่มบางสะพาน มาเริ่มที่บ้านกรูดแทน เราหาข้าวเช้ากินก่อนออกจากประจวบ เราเลือกทานต้มเลือดหมูู เพื่อเพิ่มพลังสำหรับวันหนักๆ จากนั้นเราเดินทางออกจากประจวบโดยรถยนตร์ ผ่านอ่าวมะนาว ทะลุไปคลองวาฬ เราแวะซื้อเค้ก OTOPประจำจังหวัด อร่อยทีเดียว เราขับมุ่งหน้าสู่บ้านกรูดทันใด ถึงบ้านกรูดตอนเที่ยง พี่โหนกแนะนำร้านอาหาร ‘หนูโภชนา’ ริมหาด อร่อยพอใช้ได้ แต่ราคาสูงกว่าที่ประจวบ พี่โหนกว่าอาหารขึ้นชื่อคือ ส้มตำเนื้อปู แต่เหมือนชะตาฟ้าแกล้ง เด็กในร้านบอกว่าเนื้อปูหมด เราเลยอด เราสั่งกุ้งผัดสะตอ ปลาทอด ยำเห็ดโคนญี่ปุ่น วันนี้เราทานไม่มาก เพราะไม่อยากให้รู้สึกจุกเวลาปั่น เสร็จจากมื้อเที่ยง เราก็ยังคงปัก หลักอยู่ที่บ้านกรูด เพราะอากาศยังไม่เป็นใจในการปั่น พี่โหนกเอารถไปจอดที่อคาเดีย รีสอร์ท แล้วนั่งchillๆ ดื่มกาแฟ แก้ร้อนไปพลางๆ เรานั่งเล่นจนได้เวลาเราก็ร่ำลา น้องในร้าน โดยเราบอกว่าจะไปชุมพร น้องๆนึกว่าจะขับรถไป เราบอกเปล่า จะปั่นจักรยานแล้ว เจอกันวันอังคาร น้องๆร้องกันใหญ่ บอกร้อนๆ อย่างนี้เนี้ยนะ

เราเริ่มปั่นออกจากบ้านกรูด โดยเรียบทะเลไปเรื่อยๆ ทะเลบ้านกรูด จัดว่าสวย 1ใน3 ของหาดแถบชายฝั่งอ่าวไทยทีเดียว หาดที่นี้กว้าง และลาด เหมาะ แก่ การเล่นน้ำมาก ทรายถึงจะไม่ละเอียดมาก แต่ขาวสะอาด และน้ำใส ที่สำคัญ ชุมชนท้องถิ่นไม่มีการปลูก สร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปบนหาด ผ่านริมหาด ยังเห็นโรงแรม สวยๆในละแวกนั้นอีก 2-3 แห่ง ที่ก็ไม่รุกล้ำหาดทราย เพียงแค่ ผ้าใบนั่งเล่น แถมมีแนวสนหน้าหาดดูสวยดีทีเดียว ลมทะเลพัดมาปะทะตัว ทำให้คิดว่าไม่น่าร้อนอย่างที่คิด

เราปั่นผ่านหมู่บ้านชายทะเล ผ่านอ่าวรำพึง มุ่งหน้าสู่อำเภอ บางสะพาน ตอนนั้นอากาศร้อนยามบ่ายแก่ๆและปั่นทวนลมแรงๆทำเราสอง หมดเรียว แรงจนที่สุดต้องหยุดหาร้านน้ำ ตอนนั้น พี่โหนกเองเสนอว่าหารถไปชุมพรกัน เพราะหนทางอีกยาวไกล แถมอาการของเราสองเริ่มแย่แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงหลังจากเราได้น้ำ เราก็ปั่นต่อไปยังอำเภอ บางสะพานน้อย อำเภอสุดท้ายของประจวบก่อนเข้าสู่จังหวัด ชุมพร ตอนนั้นเราคิดว่าคงปั่นข้ามจังหวัดไม่ได้แน่ แต่ตอนนั้น ยอมแพ้กันแล้วสำหรับวันแรก เราคุยกันว่าเหตุอันใดที่ทำให้เราดู เหมือนคนอ่อนแอปานนั้น เรามาสรุปทีหลังว่าน่าจะจากอากาศ ที่ร้อนจัด ถึงแม้จะเป็นเวลาบ่ายก็ตามที แต่ริมทะเลแดดจะแรง กว่าปกติ

เราปั่นผ่านบ้านชายทะเล เลาะริมหาด มากเท่าที่จะปั่นกันได้ถึงแม้ จะเป็นเส้นทางอ้อม เพราะเราสองหวังว่าจะการปั่นครั้งนี้เราจะ เลาะริมหาดกันแบบสุดๆ วันนั้นเราปั่นมาถึงบ้านบางเบิด ตอน 6โมงเย็นกว่าๆ ตอนนั้นฟ้าเพิ่งเริ่มมืด ยังพอมองเห็น แต่เราสอบถามคนแถวนั้น เขาว่าอย่าปั่นไปเลย เพราะทางเปลี่ยว เนื่องจากดึกๆไม่มีคนสัญจร อีกอย่าง ระยะทางอีกไกลโขกว่าจะถึง ชุมพร ชาวบ้านละแวกนั้นบอกให้เรานอนที่นั้น แต่ว่าเราคงนอนไม่ได้ เพราะจะทำให้เราปั่นไม่ถึงชุมพร หรือถึงในวันรุ่งขึ้น เราก็จะปั่นกลับมาทางบ้านกรูดช้า หรือ ไม่ได้ปั่นเลาะ หาด เราจึงตัดใจเช่ารถไปชุมพรทันที ตอนนั้น เราเช็คระยะที่ปั่น เราปั่นกันมา 60 กว่าโลแล้ว เราก็พอใจสำหรับวันนั้น เราได้รถกระบะนิสสันพาเราไปส่งที่ชุมพร คนขับรถชื่อพี่ยุทธ พี่ยุทธไม่ใช่คนเดียวที่ไปส่งเราถึงชุมพร พี่ยุทธพาภรรยาคู่ใจนั่งไปด้วย เราคุยกันไประหว่างทาง 80กว่าโลที่เราไม่ได้ปั่น ได้ความว่าพี่ยุทธ กำลังทำงานเพื่อสังคม เล็กๆของพี่ยุทธ เราถามพี่ยุทธว่าจริงๆ แล้วบางเบิดอยู่ในเขต จังหวัดอะไร
พี่ยุทธเฉลยว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง2จังหวัด นั้นหมายความว่าเราเองได้ปั่นข้ามจังหวัดแล้ว โดยไม่รู้ตัว พี่ยุทธว่า แค่ข้ามคลองเล็กๆ ตอนที่เราปั่นหารถเช่านั้นละ
เราคุยกันหลายเรื่อง ทำให้เห็นว่าพี่ยุทธรักสังคมบ้านเกิด และเขาเองก็เป็นคนธรรมะธรรโม เราสองคนคุยกันเองว่าเรา โชคดีที่เจอคนดีๆ

เรานั่งรถกันเรื่อยๆ จนถึงชุมพร พี่ยุทธส่งเราใกล้ตลาด แล้วเราก็ร่ำลา บอกว่าวันพรุ่งนี้จะกลับไปหาที่บางเบิดอีก แต่เราจะปั่นจากชุมพรไปหาจริงๆ

ที่ชุมพร หนิงเคยมาพักที่โรงแรมนานาบุรี ตอนนั้นไปเที่ยวกับ แก๊งค์พี่ต๋อง ห้องที่พักราคา 700 รวมอาหารเช้า สะอาดและปลอดภัย เราจัดแจงอาบน้ำ และออกไปหาอาหารทาน

กว่าเราจะออกไปทานมื้อค่ำ มันก็เป็นเวลาดึกแล้ว ร้านอาหารส่วน ใหญ่ก็เริ่มปิด เราวนไปมา จอดแวะ ตั้งท่าจะได้กิน แต่ก็มีเหตุให้หาที่ใหม่ สุดท้ายเราไปเจอร้านข้าวต้มกุ๊ย ปากทางเข้าโรงแรมจันทรสม ชื่อร้านนายทอง เราสั่งผัดกุ้ยช่ายขาวหมูกรอบ สะตอผัดกุ้งกับกะปิ ปลาทอด ผักเหลียงผัดไข่ ขอบอกว่าเมนูสุดท้ายเป็นจานโปรดของพี่โหนก เพราะสั่งทุกรอบ หรือว่ากินเพื่อพิสูจน์ว่าที่ไหนอร่อยที่สุดก็ไม่รู้
กินกับข้าวต้มกุ๊ย อร่อยเหาะ โดยเฉพาะสะตอ เรียกว่ากินจนห้องน้ำแตกกันไปข้าง

หลังจากของคาว เราก็ตบด้วยของหวาน พี่โหนกพาไปกินขนมปังสังขยา ร้านยาย…. จำชื่อไม่ได้ …
อร่อยทีเดียว เนื้อสังขยาจะไม่เนียนเหมือนสมัยใหม่ เป็นแบบบ้านๆ รสไม่หวานจัด กินพร้อมชานมเย็น อร่อยนัก

เราปั่นกลับที่พักพร้อมสอยเอาหมอนวดไปนวดต่อในห้องอย่างสุขี


วันจันทร์ที่5 เมษายน ข่าวว่าวันนี้เป็นวันที่ร้อนมากวันนึง
ไม่ใช่แต่ร้อนกาย แต่ร้อนใจอีกแล้วครับท่าน

วันนี้เราตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะระยะที่จะปั่นวันนี้มันเกือบ 100 โล ทีเดียว เราหาอาหารเช้ากิน เราสองปั่นออกนอกเมืองเล็กน้อย เพื่อตามล่าหาร้านอร่อยที่พี่โหนกไปสืบค้น ชื่อร้านยายปวด ร้านนี้อยู่ในซอยทางเข้าวัดบางหมาก ประมาณกลางซอย กว่าเราจะถึงก็ปั่นกันน้ำย่อยออกเหมือนกัน แต่ปรากฎว่าปิดคะ ร้านเปิดประมาณ10โมง เราเลยเซ็งๆนิดๆ แต่ก็รู้แล้วว่าร้านอยู่ไหน เรียกว่ามาคราวหน้าไม่พลาดแน่ เราสองปั่นคอตกกลับมากินขนม จีนในละแวกใกล้เคียง ก็อร่อยประมาณนึง มีแกงหยวกป่ากินด้วย แปลกดีไม่เคยกินมาก่อน

เราหาเครื่องดื่มเย็นที่จะเพิ่มคาเฟอีนสำหรับวัน พี่โหนกเจอ ร้านถูกใจ ที่ทำกาแฟได้อร่อย สมใจนึกบางลำพู

เราเก็บข้าวของและออกจากโรงแรม 10 โมงกว่า หนิงเสนอว่า ปั่นไปหาดทุ่งวัวแล่น แล้วพักแถวนั้นก่อน ให้หายร้อนแล้วค่อยปั่นยาวไปบางเบิด พี่โหนกเสนอให้เอา น้ำรดตัว เพื่อกันร้อน ซึ่งเป็นที่ตกลงกัน เราปั่นขนานทางรถไฟไม่นานเราก็พ้นเมือง ปั่นไปได้สักพัก เราก็เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ ชายฝั่งทะเล เราปั่นรับลมทะเลเอื่อยถ้าเทียบกับเมื่อวาน ที่ปั่นจากบ้านกรูดลมวันนี้เบากว่ามาก อาจจะเพราะเราปั่นตาม ลมด้วย
เราใช้เวลาไม่นานก็ถึงหาดทุ่งวัวแล่น ที่นี้จัดว่าเป็นหาดที่สวยมากทีเดียว คงติด1ใน3 หาดสวยสุดบนชายฝั่งอ่าวไทยก็เป็นได้ แต่เสียอย่างเดียวว่า มีการอนุญาตให้สร้างสิ่งก่อสร้างบนหาด ซึ่งข้อนี้เองที่เสียเปรียบบ้านกรูดอย่างแรง

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหาดทุ่งวัวแล่น เมื่อก่อนนานมากแล้ว นานกาเลมีนายพรานนายนึงออกเดินทางล่าสัตว์ อยู่หาดริมทะเล ในขณะที่กำลังถอดใจ นายพรานก็พลันได้ยินเสียงเยื้องเท้า ของสัตว์ ใหญ่ นายพรานคว้าธนูคู่ชีพ กำกระชับแน่น หยิบศรแหลมยาว มาวางบนคันธนู สายธนูถูกดึงจนตึงแขน สายตานายพรานจับจ้องไปทางต้นเสียง ลมหายใจแทบหยุดนิ่ง ทันใดนั้นเอง เจ้าของร่างใหญ่เดินเยื้องออกมาพร้อมเขาโง้งสวยงาม ฉับพลัน ศรแหลมก็ถูกกำหนดให้วิ่งฝ่าอากาศ พุ่งไปยังเจ้าของร่างใหญ่นั้น วัวตัวใหญ่ล้มลงสนั่นพื้น แผ่นดินสะเทือน เพียงแค่ล้ม ลมหายใจยังดำเนิน ถึงแม้จะเบาลง แต่เจ้าของร่างพยายามยืนหยัดเพื่อเอาตัวรอด พรานไม่รอช้า จัดการดึงคันศร ปล่อยให้ธนูแหลมคมพุ่งซ้ำไปที่วัวใหญ่ แล้วในไม่ช้า วัวใหญ่ก็สงบลง นายพรานเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็นึกดีใจว่าวันนี้ละ เราสบายแล้ว พรานหนุ่มจัดแจง หยิบมีดพร้าเล่มใหญ่เหมาะมือ เดินตรงเข้าไปหาวัวใหญ่ พรานหนุ่มลงมีดไปบนตัว เขาทำอย่างชำนาญ และอารมณ์เย็น
ชั่วขณะที่ลมพัดผ่านท้องทะเลมายังริมหาดนี้เอง วัวใหญ่ฉับพลันขยับตัว ลุกขึ้น พรานหนู่มตะลึงงัน มีดตกลงพื้น แล้ววัวใหญ่ที่ยืนตระหง่าน จับจ้องมองตาพรานหนุ่ม พรานหนุ่มตกใจทำอะไรไม่ถูก ตาสบตา วัวใหญ่ เหมือนรู้ว่าชัยชนะเป็นของตน วัวใหญ่วิ่งหนีจากไปทั้งที่ร่างกายถูกทำลายแล้ว วัวจากไปด้วยชัยชนะเหนือนายพราน ที่คิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือ
เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นที่มาของชื่อหาดทุ่งวัวแล่น

เราสองคนปั่นหาโรงนวด พี่โหนกอยากนวดริมหาด แต่เจ้าของกิจการว่า เขาไม่อนุญาต อาจเพราะบริเวณนั้นเป็นของชุมพรคาบาน่า เราจึงปั่นเขาไปชมกิจการ เขาทำแบบธรรมชาติ แต่ไม่โดนเราเท่าไหร่ เราปั่นเลาะหาดออกจากคาบาน่ามาเรื่อยก็ เจอร้านนวดเปิดใหม่ ร้านนี้จัดว่าดีทีเดียว ราคาไม่แพงมาก เรียกว่าไม่หักคอจิ้มเกลือ เรานวดฝ่าเท้ากัน2ชั่วโมง หนิงโวยพี่โหนกว่าเราlateกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วโวยมากไปก็เท่านั้น อย่างมากก็เรียกรถขึ้น แต่จากข้อมูลที่ได้มา เค้าว่าทางจากชุมพรลงประจวบ จะเป็นทาง ลงซะส่วนใหญ่ เราก็หวังเช่นนั้น ออกจากร้านนวด เราแวะทานlate lunch อาทิ ข้าวผัดปู กระเพราะกุ้ง ไข่เจียว จากนั้น เราก็รดน้ำตัวเองและออกเดินทางต่อเกือบ บ่าย3โมง

เราปั่นกันเรื่อยๆจนถึงปะทิว พี่โหนกจัดแจงหาเส้นทางจาก GPS โดยเลือกเส้นทางจากในนั้น หากว่าเราอยากปั่นทะเล พี่โหนกก็จัดให้ เส้นทะเลมักจะเป็นเส้นที่อ้อม หากเรามีเวลามาก พอก็น่าปั่นไป แต่วันนี้พี่โหนกเลือกเส้นใน ทางลัดที่ป้าแมรี่(GPS) บอกมา เราปั่นไปเรื่อยๆ เส้นทางส่วนใหญ่เป็น rolling ไหลลงซะมาก ผิวถนน เรียบ ไม่มีหลุมบ่อให้รำคาญใจ สองข้างทางเป็นสวนยางพารา และสวนปาล์ม บางช่วงที่ขึ้นเนิน เราสามารถมองเห็นทะเลด้วย สองข้างทางที่เป็นสวนมักจะเลี้ยงหมาเอาไว้เฝ้าสวน และคนขี่จักรยานผ่าน เพราะถูกหมาไล่มาตลอดทาง จนต้องหยุดทะเลาะกับพวกมันตลอดเวลา

เราปั่นกันจนเหลือแค่ 30 กิโลก็ถึงบางเบิดแล้ว ตอนนั้น เวลาประมาณ 5โมงเย็น เราแวะกินหมูปิ้ง พร้อมซื้อติดมาด้วย เผื่อว่าเราถึงดึกมาก เรายังพอมีอาหาร ระหว่างทาง เราปั่นจนท้องฟ้าเริ่มมืด สายตาเรายังพอมองได้ แต่เราสองเตรียมพร้อมมาเพื่อการนี้ เราติดไฟหน้ารถ และท้ายรถอย่างดี เราปั่นจนเหลือแค่ 20 โลเอง แล้วเราก็เจอคนใจดีแถวนั้น ชวนไปนอนที่บ้านเขา เขาเป็นชาว สวนปาล์ม มีบ้านริมทะเล ซึ่งเราก็มองเห็นจากถนน แต่เราตั้งใจกันไว้แล้ว ก่อนจากกัน เค้าเตือนเราไม่ให้ใช้เส้นทางเลาะทะเล เพราะ ’ควน’ เยอะ ‘เนิน’นั้นเอง เราปั่นมาเรื่อยๆจนมืด มองท้องฟ้าก็เริ่มเห็นดาว บนท้องฟ้า สองข้างทางที่ปกคลุมไปด้วยสวนเริ่มมืด มองข้างทางจะเห็นแสงไฟจากบ้านคน ห่างกันพอสมควร บางช่วงก็ไม่เห็นแสงไฟเลย อากาศเริ่มเย็น แมลงเริ่ม เยอะขึ้น พี่โหนก เตรียมแว่นใสมาใส่สำหรับการนี้โดยเฉพาะ เราปั่นไปคุยไปตลอด จนถึง จุดหักเห เรื่องของหมาๆ ทำให้นายมัน เดือดร้อนจริงๆ จากเรื่องหมาๆที่ไม่เป็นเรื่อง ความเงียบก็เริ่มครอบคลุมรอบตัวเรา ตอนนั้นเราเงยหน้าดูดาว จากเดิมที่เห็นไม่กี่ดวง ตอนนี้เต็มไปด้วยดาวน้อยใหญ่ เราปั่นกันเงียบๆไปด้วยกัน ถึงแม้เราจะขัดคอกันก็ตาม แต่การมา ด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน หนิงคอยทำลายความเงียบเป็นช่วงๆ แบบทำให้พี่โหนกรำคาญ ที่สุดเราสองก็ปั่นมาจนถึงบ้านบางเบิดจนได้

เราตรงไปที่ร้านครัวขันทอง ไม่ใช่ร้านพี่ยุทธ แต่เป็นร้านที่แนะนำ พี่ยุทธให้เรา เราสั่งอาหารและตัดสินใจพักที่นั้นเลย คืนนั้นเราต่างคนต่างอยู่

วันอังคารที่6เมษายน วันสุดท้ายของtrip


วันนี้เราเริ่มtripด้วยคำน้อย ให้พอสะเทือนใจ เราตกลงว่าหาอาหารง่ายๆทานก่อนออกจากบางเบิด หนิงเดิน ไปหาพี่ยุทธและภรรยา บอกว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ว่าไม่ได้มา หาเพราะเหนื่อยมากๆ เราทานโจ๊กก่อนออกเดินทาง ก่อนออกเดินทางเราเตรียมน้ำไว้สำหรับรดตัวด้วย เราปั่นออกมาเส้นทางเดิม คือเลาะทะเล มาเรื่อยๆ น้อยคำเริ่มหายไป มากคำเริ่มเพิ่มขึ้น แต่ถึงนั้น เราก็ยังคงห่างอยู่ แต่ ถึงอย่างไร เราก็ยังคงปั่นไปพร้อมๆกัน อากาศเริ่มร้อน เราเริ่มรดน้ำรอบแรก ช่วยได้จริงๆ วิธีการนี้เราเริ่มใช้ ครั้งแรก ตอนไป trip แม่สลองด้วยกัน
เส้นทางมีเนินให้พอเหนื่อย เราปั่นแค่ไม่กี่10โล ก็ถึงบางสะพาน น้อยแล้ว เราหาห้องน้ำ ห้องท่าเข้า แล้วเราก็รดน้ำดับ ร้อนกันอีกรอบ

คราวนี้เราตียาวมาจนถึงอำเภอบางสะพาน ระยะทางตอนนั้นก็กว่า 40โลแล้ว แดดก็เริ่มร้อนมากขึ้น เราแวะดับร้อนที่7-11 สบายขึ้นมาหน่อย เรารดน้ำอีกรอบ ก่อนออกเดินทาง คราวนี้เราไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ แดด ที่แรงทำให้เราต้องแวะรดน้ำ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ เราคงเป็นลมแดดกันไปแล้ว จากบางสะพาน พี่โหนก เลือก เส้นทางที่สั้นกว่า คงเพราะอากาศ และบรรยากาศที่ทำให้ควรแก่การถึงที่หมายให็เร็วที่สุด เราสามารถปั่นถึงบ้านกรูด ตอน 11 โมงครึ่ง

เรากลับมาที่ร้านหนูอีกครั้ง เพราะจะได้ไม่ต้องรีบร้อนนัก ตรงนี้เราเริ่มสบายๆ ทั้งอารมณ์ ทั้งกาย การได้นั่งพัก และทานอาหารอร่อย หลังจากตรากตรำมาช่างเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว หนิงเดินลงทะเล เพื่อสำรวจว่านอกจากตาที่เห็นแล้ว สัมผัสนั้นจะช่วยบอกได้ ว่าทะเลนี้ น่ากลับมาอีกหลายๆครั้ง

เราทานอาหาร แต่ก็อดทานส้มตำเนื้อปูแสนอร่อยของพี่โหนก
หลังของคาว เรากลับไปร้านกาแฟ ที่เราร่ำลาก่อนออกไปผจญภัย น้องๆตกใจว่าทำไมกลับมาแล้ว น้องบอกว่าพี่ดูช้ำนิดหน่อยเอง
เราขออาบน้ำอาบท่า ถ่ายรูปเล่นๆ ก่อนกลับเรามองออกไปยังทะเลกว้าง ลมทะเลพัดกระทบหน้า ความร้อนผ่าว เรามาเพื่อซึมซับเอาสิ่งที่ธรรมชาติระบายมาใส่ตัว เรากลับกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ หนิงบอกพี่โหนกว่าอยากกลับมาปั่นอีกด้วยรถพับ
อีกนานแค่ไหนไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ แต่เชื่อแน่ว่าวันนั้นคงต้องมี

เส้นทาง
วันแรก
บ้านกรูด-อ่าวบ่อทองหลาง-อ.บางสะพาน-อ่าวบางสะพาน
อ.บางสะพานน้อย-บ้านบางเบิด
ระยะทางเกือบ60กิโลเมตร

วันที่สอง
ชุมพร- หาดทุ่งวัวแล่น- อ่าวบ่อเมา- ปะทิว-บ้านบางเบิด
ระยะทาง 90กิโลกว่า เกือบ 100กิโลเมตร

วันที่สาม
บ้านบางเบิด- บางสะพานน้อย-บางสะพาน-บ้านกรูด
ระยะทาง เกือบ 50กิโลเมตร


เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า และ มะโหนก

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำไมต้องไตรกีฬา


ทำไมต้องไตรกีฬา


หลายคนสงสัยว่าทำไมคนเราต้องตรากตรำร่างกายด้วยการออก
กำลังกายแบบมหาโหดอย่างไตรกีฬา จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้โหดสำหรับคนที่เตรียมพร้อม แต่อย่างเรา แค่เล่นเพื่อที่จะเข้าเส้นชัยในสภาพที่ยังดีอยู่

ไตรกีฬา เป็นกีฬาที่ประกอบด้วย กีฬา 3อย่าง ว่ายน้ำ จักรยาน วิ่ง และต้องคน คนเดียวเล่นให้จบ ในเวลาที่กำหนด
ระยะการแข่งขึ้นอยู่กับรูปแบบ ถ้าต้องการแบบเร็ว กระชับ ระยะจะสั้นลง เราเรียกว่า sprint ระยะที่ยาวหน่อยคือระยะ โอลิมปิก หรือมากว่านั้นไม่มากนัก เกินจากนี้ไป เราเรียกว่า Iron Man ซึ่งระยะนี้ มีคนเล่นไม่มากนักในบ้านเรา แต่เมืองนอกเป็น ที่นิยมทีเดียว เรายังไม่กล้าพอที่จะเล่น เพราะต้องใช้เวลาใน การซ้อมมากกว่าเดิม

ตอนที่ตัดสินใจมาเล่น ตอนนั้น รักคุด ตุ๊ดเมิน แล้วไม่มีอะไรทำ เลยไปว่ายน้ำเล่นบ่อยๆ จำได้ว่าวันนึงกำลังว่ายน้ำเล่นๆอยู่ ก็มีโทรศัพท์จากพี่มะม่วงมา คุยไปมา พี่มะม่วงบอกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว น้องก็เล่น ไตรกีฬาไปเลย ส่วนตัวนะอยากอยู่เล้ว แต่ว่าไม่คิดว่าจะทำได้ ตอนนั้น แค่คิดว่าทำให้จบแบบ ไม่ disqualify ก็พอ เลยตัดสินใจ ส่งข้อความบอกพี่จ้อน ใจเราก็คิดว่าพี่จ้อนคงห้ามปราม แต่ที่ไหนได้ พี่จ้อนตอบกลับดีใจที่ทีมจะมีผู้หญิงมาร่วมทีมอีกคน
เท้าความเรื่องผู้หญิงที่ร่วมเล่นกัน สมัยก่อนมีพี่แอร์ญี่ปุ่นเล่นคน นึง ตอนหลังเลิกไปแต่ยังมีพี่ติ๋ม เป็นอีกคนที่ยังคงเล่นถึงทุกวันนี้ เล่าถึงพี่ติ๋ม พี่ติ๋มเป็นแอร์เก่า ที่ลงไปทำงานoffice ที่น่าทึ่งคือ พี่ติ๋มอายุ 50กว่าแล้ว แต่ยังสามารถเล่นกีฬาโหดอย่างนี้ได้ เรียกว่า สาวอายุอานามใกล้เคียงกัน อายไปเลย ตอนนี้ลูกสาวพี่ติ๋ม" น้องคิม" รวมเล่นในทีมการบินไทยด้วย
ตอนนั้น เราซ้อมแค่ว่ายน้ำ 1000เมตร จักรยานก็ไม่ได้ซ้อม วิ่งตอนนั้น แค่ 5โลเอง
เลยเพิ่มความเข้มข้นในการซ้อม โดยเพิ่มระยะในการว่ายน้ำ จาก 1000ก็เป็น 1100 1200 เรื่อยๆจน ได้ 1500 ส่วนจักรยาน ซ้อมแค่ ในยิม เพราะไม่มีกลุ่มขี่ในตอนนั้น ก็วอร์ม แค่ 30 นาที ส่วนวิ่ง เริ่มจากเพิ่มความเร็ว และเพิ่มระยะขึ้นเรื่อย จนได้ 4รอบส่วนรถไฟ

ตอนนั้น พี่ๆในกลุ่มก็ให้กำลังใจ ประมาณว่า ซ้อมด้วยกันไหม ตอนนั้น พี่จ้อนจัดการซ้อมแบบระยะสั้นเลย โดยว่ายน้ำสระ ปั่นจักรยานออกมอเตอร์เวย์ แล้วกลับมาวิ่งในหมู่บ้านต่อ ตอนนั้นซ้อมอยู่ 2-3ครั้งพอให้คุ้นเคย แล้วเราก็ไปซ้อม ที่บางปู ฝรั่งจัด ก็ทำให้เริ่ม ชินๆ มาบ้าง

ตอนนั้นเริ่มลดน้ำหนักด้วย เพราะคิดว่าตัวเบาจะได้เปรียบกว่า ก่อนไปแข่งครั้งแรก ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ได้ 4 ชม 30นาที พี่หลายคนบอกว่าทำไม่ได้หรอก แต่จากที่ซ้อมมา เราคำนวณเวลา แล้ว น่าจะเป็นเวลาที่ทำได้


คำพูดนึงที่พี่จ้อนบอกในวันนั้นยังอยู่ในความทรงจำเลย “ขี่หลังเสือแล้วลงยากนะน้อง” สำหรับเรา ตอนนี้ยังลงไม่ได้ เพราะไม่รู้จะลงยังไง แต่พี่จ้อน หาทางลงหลังเสือสำเร็จแล้ว ก็ไม่รู้ว่าลงเอง หรือว่าถูกใครผลักลงมา อิอิ

ก่อนเดินทางไป เราต้องเตรียมตัวและอุปกรณ์ให้พร้อม จักรยานต้องไป service เปลี่ยนยางให้หน้าเล็กลง เพราะครั้งแรกที่แข่งเราเลือกใช้เสือภูเขา เดิมที หน้ายางจะใหญ่ กินแรงจึง ต้องเปลี่ยนใหม่ รองเท้าวิ่งกับจักรยานเราใช็คู่เดียวกันเพราะ ยังใช้ รองเท้าที่ติดกับจักรยานไม่เป็น ชุดว่ายน้ำ เป็นชุด เดิมๆที่ใช้ว่ายทั่วไปยี่ห้อ triump ไม่ใช่ชุดที่เขาใส่เฉพาะ

ในวันเดินทาง เราเดินทางไปกับพี่ๆ ก่อนพ่อกับแม่ ปีนั้น เอาครอบครัวไปด้วย อยากให้ที่บ้านมีส่วนร่วมกัน เราเดินทางไปก่อน เพราะมีวันหยุดพอ เมื่อไปถึง เราทำการจัดการจักรยานให้เรียบร้อย แล้วปั่นดูทางไปกับพี่ จำได้ว่าตั้งใจจะดูทางไปถึงแค่ทางลงเขา ที่พี่ๆว่าอันตราย แต่ที่ไหนได้ เราไปจนจบเส้นทาง ตอนซ้อมดูทางมีอุบัติเหตุ พี่อ้น พี่ในทีมล้มตรงโค้งพอดี หมุแดงทั้งตัวเลย แต่วันรุ่งขึ้น พี่เขาลงแข่งจนจบทั้งที่เจ็บแผล

ตอนนั้น ตื่นเต้นมากเพราะการมาครั้งนี้ไม่ใช่มาเที่ยว แต่เรามาแข่ง แข่งกับตัวเอง ตอนนั้นบอกตัวเองแค่ว่า ทำให้ดีที่สุด ตามที่ซ้อมไว้
ก่อนวันแข่ง เราต้องไปลงทะเบียนก่อน ที่นี้เราจะเห็นรายชื่อคู่แข่งเรา เขาจะแบ่งเป็นช่วงอายุ รุ่นละ 5 ปี

ก่อนแข่งขันทุกปี ผู้จัดจะมีงานเลี้ยง Pasta Partyให้นักกีฬาทั้งหมด เรียกว่าเป็น เทคนิค ที่ก่อนแข่งเราจะต้อง load carbo ให้มากที่สุด เพื่อที่ร่างกายจะนำไปใช้ในวันแข่ง นักแข่งหลายคนอัดเข้าเต็มที่ ตอนหลังได้คุยกับพี่หลายๆคน พี่ๆบอกว่าเราควร load ก่อนหน้านั้น มาเป็นอาทิตย์แล้ว ก่อนแข่งไม่ควรจะกินมาก เพราะจะทำให้ท้องไส้ ปั่นป่วนในวันแข่งได้

เราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนแข่ง ทั้งรองเท้า ชุด เบอร์ ที่สำคัญ อาหารที่กินระหว่างแข่ง อาหารที่ว่าไม่ใช่ข้าวกระเพรา หรืออะไรนะ แต่เป็น เจล สำหรับนักกีฬา แต่บางคนก็มีchocolate เป็นอาหารเสริม พูดเรื่องอาหารเสริม แล้วก็มีหลาย สูตร บางคนว่าดื่มกาแฟก่อนแข่งนะดี คาเฟอีนสูง แต่บางคนแย้งว่า พอหมดฤทธิ์ เราจะแย่เลย
ตอนหลัง มีคนแนะให้ทานกล้วยหอมทั้งอาทิตย์ เพื่อเพิ่มโปรเตสเซี่ยม จะได้ไม่เป็นตะคริว เขาว่าอะไร เราก็ทำตามไปเรื่อย ใครว่าอะไรดี เราก็ลอง แข่งมาจนปานนี้ยังลองไม่เสร็จเลยว่าอะไรกินดีกว่าอะไร คงต้องลองกันอีกหลายปี มีอยู่ปีนึง เราไปได้อาหารเสริมแบบ หลอดจากเยอรมัน ตอนนั้นก็กินแหลก ปรากฏว่า ตอนวิ่งต้องเดินแทน เพราะจุกมาก กินเยอะไป

นอกจากเรื่องอาหาร ยังมีเรื่องกันแดดด้วย เพราะช่วงที่แข่งจะกินเวลาถึงเที่ยงทีเดียว เคยเห็นพี่ติ๋มแต่งตัว เรียกว่ามาหมด หมวกปีกกว้าง ครีมกันแดด ทาทั้งหน้า ทั้งตัว เรียกว่า ขอสวยไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

เช้าวันแข่ง จะเป็นเช้าที่วุ่นนิดๆ เพราะในความรู้สึก เหมือนกับว่าเรามีภาระสำคัญรออยู่ อารมณ์นั้นใครบอกว่ามาแข่งขำๆ ก็คงไม่อยากเชื่อ แต่ถ้ามาเพื่อ จะทำให้ดีที่สุด ก็คงไม่ผิด เพราะทุกคนก็คาดหวังว่าจะทำให้ดีกว่า ปีก่อน จริงๆแล้วกีฬาอย่างนี้ จัดขึ้นเพื่อให้แข่งกับตัวเอง ดีกว่า หรือแย่ลง คงต้องแก้กันในคราวต่อไป มันเป็นเรื่องข้องใจได้ทุกปี

นักแข่งทุกคนจะต้องไปยังจุด transition จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยน ประเภทกีฬา คือ เมื่อว่ายน้ำเสร็จ จะมาที่จุดนี้มาเอาจักรยาน และอุปกรณ์ต่างๆ และเมื่อปั่นจักรยานจบ ก็จะมาเก็บจักรยานและเปลี่ยนรองเท้าวิ่ง เป็นจุดเก็บของละว่าง่าย
ง่าย

ตรงจุดนี้จะมาเจ้าหน้าที่คอยเขียนเบอร์ให้ จะเอาเมจิกเขียนที่ขา ด้านข้างกับด้านหลัง และที่แขน เพราะเวลาถ่ายรูป ว่ายน้ำ หรือเกิดเหตุจะ ได้รู้ว่าเป็นใคร นอกนั้นยังมีเบอร์ติดที่หมวก และคาดเอวเวลาปั่นจักรยาน และวิ่งอีกด้วย

นอกจากนั้นจุดนี้เขาจะติดเบอร์ที่ราว เพื่อที่เราจะเอาจักรยาน รองเท้า ผ้าเช็ดตัว อาหารเสริม วางไว้ ตรงนี้เราจะสนุกกับการดูจักรยานชาวบ้านที่ ราคาแพงๆ แพงที่ว่าก็เป็นแสนๆทีเดียว บางทีดูอย่างเดียวไม่สะใจ ขอถ่ายรูปคู่จักรยานยังทำกันเลย ส่วนใหญ่จะเป็นของฝรั่ง ของคนไทยราคาแพงๆก็มี
ช่วงนี้ใครเจอคนรู้จักก็จะทักทายกัน เรียกว่าปีนึงเจอกันครั้ง คนเล่นไตรกีฬาบ้านเราไม่มากนัก หน้าตาก็จะจำกันได้ ที่เล่นทุกปี หน้าเดิมๆก็มีเยอะ

เสร็จจากTransition เราก็จะต้องไปประจำการที่ชายหาด ว่ายน้ำที่นี้ต้องว่ายน้ำทะเลก่อน ประมาณ 1400 อีก400เมตร
จะมาว่ายในบึง ซึ่งคือเหมืองเก่า ทะเลที่นี้ไม่น่ากลัว เพราะช่วงที่จัดแข่ง จะเป็นช่วงที่คลื่นไม่ใหญ่นัก และน้ำไม่แรงมาก พวกเราจะทำการลงแช่น้ำเป็นการอุ่นเครื่อง และที่สำคัญ “ฉี่” ก่อนแข่ง เพราะดื่มน้ำมาเยอะ แต่จะรอห้องน้ำก็ไม่ไหว เลยใช้วิธีธรรมชาติ แต่ทุกคนทำแบบนี้รึเปล่าไม่รู้ ก็เห็นบางคนต่อคิวเข้าห้องน้ำนะ

เรื่องน้ำทะเล อุณหภูมิ จะไม่เย็นนัก แต่ช่วงปีหลังๆ เวลาปล่อยตัวเลื่อนขึ้นมาเป็น7โมงเช้า เลยทำให้น้ำยังไม่อุ่นนัก ปีหลังๆ จะเห็นบางคนไม่อยากลงน้ำก่อน เพราะตอนขึ้นมารอ ปล่อยตัวจะหนาวมาก
ตอนนี้ชาวการบินไทย จะทำการชักภาพกันใหญ่ และอวยพรให้ ขวัญกำลังใจกันและกัน ปีหลังๆ นอกจากแข่งเดี่ยวแล้ว การบินไทยก็ส่งทีม พวกชาวทีมทั้งหลายจะมาให้กำลังใจ พวกว่ายน้ำก่อน จากนั้นก็จะกลับไปประจำการที่Transition ปีล่าสุดทีมการบินไทยส่งทีม ได้ที่5 ซึ่งถือว่าใช้ได้ดีทีเดียว

เมื่อเวลาใกล้เข้ามาทุกขณะ นักกีฬาจะถูกเรียกให้ขึ้นมาจากน้ำ จะมีพิธีการเล็กน้อย จากนั้น ก็จะเริ่มนับเวลาย้อนหลัง เสียงแตรจะดังขึ้น นั้นละ นาฬิกาจับเวลาที่ข้อมือก็เริ่มทำงาน ทุกคนก็มุ่งหน้าสู่ทะเล

ปีแรกที่แข่ง จำได้เลยว่า พี่บี๋เตือนว่า “ระวังตีนนะแก” ไอ้เราก็งง ตีนอะไร ปลาตีน? ตีนกบ? ไม่ใช่ พี่บี๋หมายถึงตีนคนนี้ละ แล้วเรา ก็ถึงบางอ้อ ต่อเมื่อ บรรดาตีนทั้งหลาย ยันเข้าหน้าบ้าง ยอดอกบ้าง เล่นเอาอกน้อยๆแทบแย่
ตอนนั้นตกใจเหมือนกัน มันไม่เคยนะ แต่ปีถัดๆมา พอเราเจอถีบมา เราก็ถีบส่งต่อไปข้างหลัง ใครอยู่ท้ายๆก็ซวย ไม่รู้จะถีบส่งใครต่อ
ทุกปีจะมีนักกีฬาว่ายน้ำไม่จบ ว่ายไปได้หน่อยแล้วขึ้น ส่วนใหญ่จะกลัว กลัวความลึกหรืออาจกลัวจากจิตใต้สำนึกตัวเอง และภาพที่เห็นตอนปล่อยตัวลงน้ำ ทุกครั้งมันเหมือนคนบ้าสิ้นดี คนบ้าที่ติดเชื้อแล้ววิ่งลงน้ำ อย่างไงอย่างงั้น แล้วเราก็บ้ากับเค้าด้วย เค้าเรียกว่าเป็นไปตามเสียงปี่เสียงกลอง
เวลาลงน้ำ ข้อแนะนำคือไม่ควรว่ายไปตรงกลาง เพราะจะแออัดไปด้วยปลาตีน ควรเลือกด้านใดด้านนึง แต่ส่วนตัวขอแนะนำ ด้านนอก เพราะด้านใน ยังไงยังไง เพื่อนก็ต้องเบียดเข้ามาอยู่ดี ว่ายช้าก็โดนเพื่อนว่ายทับไปอีก
เรื่องว่ายทับก็เป็นอีกเทคนิคนึงของนักกีฬา เกิดมาเคยแต่ว่ายน้ำ แต่นี้เจอคนว่ายทับมาบนตัวเรา เอาดิ เอากับเค้า เราเลยต้องหยุดให้ไปก่อน กลัวว่าถ้าปล่อยให้ทับไปเรื่อยๆ แล้วจะติดใจ แล้วเรื่องมันจะยุ่ง

ว่ายน้ำทะเลค่อนข้างง่ายกว่าที่คิด ช่วงฝั่งคลื่นจะแรง เราต้องใช้แรงหน่อย เพื่อจะหนีคลื่น แต่พอออกไปได้ แล้วจะว่ายง่าย เพราะคลื่นจะเบา และความเค็มจะช่วยให้ ลอยตัวง่าย แต่ข้อเสียงคือ เวลาเราซ้อมที่สระ เราจะมีเส้นให้ดู น้ำก็จะใสแจ๋ว แต่ทะเลจะไม่มีเส้น น้ำใสแต่ไม่แจ๋ว เพราะงั้นเราต้อง mark จุดให้ดี ว่ากลับตัวตรงไหน ตรงไหนคือจุดที่ขึ้นฝั่ง เทคนิคส่วนตัวคือว่ายกบ ทั้งที่จริงแล้ว การว่ายกบไม่เอื้อสำหรับกีฬาชนิดนี้ เพราะกบ จะใช้แรงขามากกว่าท่าอื่น แล้วจะทำให้การปั่นจักรยานและวิ่ง ถดถอยแรงลง แต่อย่างว่า ซ้อมฟรีสไตล์ให้ตาย พอแข่งจริงว่ายกบทุกครั้ง จนตอนหลังเลิกคิดที่จะว่ายฟรีสไตล์ อีกเลย
แต่ว่ายกบมีข้อดีคือ สามารถมองเห็นจุดกลับ และเส้นทางง่ายกว่า เพราะท่ากบ เราจะเงยหายใจตรงๆ ซึ่งเราก็จะมองข้างหน้าไปด้วย ในขณะที่ฟรีสไตล์ จะต้องตะแคงหน้าหายใจ ก็จะไม่เห็นข้างหน้า แต่วิธีแก้คือ บางจังหวะการว่ายฟรี บางคนจะผงกหน้ามองทาง ซึ่งก็ได้ผล แต่ต้องฝึกพอสมควร
บางคนใช้วิธีมองคนข้างๆ ที่ว่ายเท่าๆกันแทน อันนี้ถ้าโชคดี คนที่ว่ายข้างๆว่ายกบ ก็ดี แต่ถ้าคนที่ว่ายข้างๆ ว่ายฟรีเหมือนกัน แถมไม่เงยหน้ามองตรง ก็คงพากันไปขึ้นฝั่งที่อื่นละ มีนะ เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะที่ว่ายกันช้าๆ บางทีคนว่ายข้างหน้าว่ายขวางไปมา สลับฟันปลา เห็นแล้วเหนื่อยแทน แต่ต้องชมเชยนะ เพราะพวกนี้ว่ายน้ำเกิน ระยะที่กำหนด เพราะว่ายหลงทาง อิอิ

เรื่องว่ายน้ำยังไม่จบ เวลาขึ้นจากทะเล เราต้องวิ่งข้ามเนินทรายมา ลงบึง ซึ่งตรงนี้จะมี พวก พ่อแม่ พี่น้อง มายืนเชียร์ ตอนนี้เหนื่อยให้ตายก็ต้องเก็ก แข็งแรงไว้ก่อน ก็ต้องวิ่งกันมา แล้วค่อยมาเดินต่อในบึง
ในบึงเนี้ย เกิดขึ้นเพราะขุดเหมือง จึงไม่ลึกมากนัก แต่มีสาหร่าย เยอะ เคยมีนักกีฬาตาย เพราะตกใจที่เจอสาหร่าย และอาจจากเหนื่อยเลยเกิดตะคริว เจ้าหน้าที่เองก็ช่วยไม่ทัน ปีนั้นเค้ามาแข่งพร้อมภรรยา ภรรยาเค้าเองมารู้ว่าสามี ตายก็เมื่อแข่งจบ น่าเศร้าจริงๆ

ลืมเราเรื่องก่อนขึ้นจากทะเล เวลาที่เราแข่งจะเช้ามาก แล้วเวลาว่ายน้ำเข้าฝั่ง เป็นเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพอดี ทำให้เราจะmark ทางขึ้นกันไม่ค่อยถูก จากประสบการณ์ แว่นว่ายน้ำใสๆไม่ช่วย ต้องแบบมืดๆ คล้ายแว่นกันแดดจะดี เพราะจะกรองแสง เห็นได้ง่ายกว่าเวลาย้อนแสง

จุดขึ้นจากบึงก็เหมือนกัน จะมีแดดแยงตา มองไม่ถนัด กะไม่ดีก็ต้องว่ายเกินระยะกันไป เคยมีเหตุการณ์ที่บึง ไม่ใช่ สาหร่ายแต่เป็นคน พี่ที่รู้จักกันก็ว่ายตามกันมา ไอ้เราก็ว่ายกบแบบ เต็มที่ วาดขากว้าง แขนกวาดน้ำ แล้วพี่แกก็จิ้มเข้าที่เป้า ทั้งเจ็บ ทั้งอาย แต่คนจิ้มไม่รู้เรื่อง ดีที่ว่าชุดที่ใส่เป็นกางเกงขาสั้นอีกตัว มีบุบางๆที่เป้า ใช้สำหรับไตรกีฬาโดยเฉพาะ ไม่งั้นพี่แกคงหลุดเข้า ไปอยู่ในตัวเราแน่ หยุดสักเดี๋ยวก็ว่ายต่อไปได้ แต่ไม่กล้า กวาดกว้างแบบเมื่อกี้อีกเลย

ขึ้นจากน้ำแล้ว ผู้จัดจะทำฝักบัวพ้นน้ำให้เราผ่าน ตรงนี้ เราก็ยังคงเก็ก แข็งแรงโดยวิ่งไปยังจุดจักรยาน สมัยที่แข่งแรกๆยังไม่มีchip ติดขา คนจัด ต้องมานั่งขานชื่อ จดหมายเลขกันยิกๆ ตอนหลังเทคโนโลยีทันสมัย ผู้จัดจะใช้chipติดขา แล้วมันจะบันทึกเอง สบายทั้งคนแข่งและคนจัด
เมื่อถึงจักรยาน เราจะใส่รองเท้า หมวก และจูงจักรยานออกไปยัง จุดที่เขาอนุญาตให้ปั่น หมวกสำคัญ ไม่มีไม่ให้แข่ง ส่วนเราเมื่อถึงจักรยาน จะต้องใส่เสื้อก่อน เช็ดหน้า กินอาหารเสริมต่างๆที่จัดไว้ ใส่รองเท้า ใส่หมวก ถุงมือ แว่น แล้วเข็นจักรยาน ด๊อกแด๊ก ออกไป แถวนั้นจะมีญาติมา เชียร์กันเยอะทีเดียว เราก็จะโบกมือให้กองเชียร์ ใครมีกล้องก็ยิ้มหวานให้นึงที เพราะเดี๋ยวขากลับเหนื่อย ยิ้มไม่ออก จากนั้นก็จะปั่นไปอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่นานนักอารมณ์ดีก็จากไป เพราะปั่นไปได้สัก 5-6โล ก็เป็นทางขึ้นเขา ทางไม่ยาวแต่ก็ชันอยู่ ไอ้จะลงเดินเข็น ก็ใช่ที เสียเชิงหญิงอย่างเรา ว่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา ปั่นไป จำได้ว่าปีแรก ใช้เสือภูเขา ใครปั่นจักรยานจะรู้ดีว่าแต่ละ ประเภทจะแตกต่างกัน เสือภูเขาจะขึ้นเขาดี แต่ทางราบจะสู้เสือหมอบไม่ได้ ปีแรกเราปั่นสบายๆเพราะเฟือง หลังช่วยมากๆ จำได้ว่าขณะที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาปั่น ก็ได้ยินชาย 2คนคุยกัน สุ่มเสียงก็คุ้นหูกระไร ที่ไหนได้หันไปเป็นพี่จ้อนกะพี่ บี๋ เราร้องทัก แต่เสียงทักกลับของพี่ทั้งสอง ตกใจยังกะเห็นผี พี่จ้อนมาสารภาพว่า ไม่คิดว่าเราจะขึ้นน้ำเร็วกว่า 2หนุ่มเลยเร่งฝีเท้าหนีเราสุดชีวิต ปีนั้นพี่บี๋หนีหายไปเลย แต่เราไปทันพี่จ้อนตอนวิ่งเพราะ ตา ถามหา (ตะคริว) พี่จ้อนไล่ ให้เราไปพ้นๆ
ปีต่อมาเรา up grade จักรยานเป็นเสือหมอบ เวลาดีขึ้น แต่ไม่มาก นัก เลยคิดว่านอกจากจักรยานดีแล้ว การซ้อมก็มีส่วน ปีถัดๆมาเวลาจักรยานดีขึ้นอีก เพราะเริ่มหากลุ่มซ้อมขี่มากขึ้น เรื่องจักรยานยังไม่หมด เพราะนอกจากเสือหมอบแล้ว มีรถอีกประเภทที่ใช้แข่งคือรถไตรกีฬาโดยเฉพาะ รถประเภทนี้ จะมีองศา ที่จะทำการปั่นใช้กล้ามเนื้อท่อนเดียวกับการวิ่ง ซึ่งผลที่ได้คือ เวลาลงวิ่งจะไม่เป็นตะคริว แต่ข้อเสียคือ รถประเภทนี้ราคาสูง และใช้งานได้น้อยกว่าเสือหมอบ เพราะแฮนด์จะไม่เหมือนรถทั่วไป ส่วนใหญ่จะใช้ขี่คนเดียว บางคนใช้รถ Time Trial แทนรถไตร เพราะเป็นรถลู่ลม รถแบบนี้เป็นที่ถูกใจพี่ต๋องยิ่งนัก ทุกวันนี้พี่ต๋องว่าเวลาดีขึ้นเพราะ เปลี่ยนมาใช้รถแบบนี้ ส่วนตัว เราใช้เสือหมอบ เพราะกลุ่มที่ปั่นด้วยเป็นเสือหมอบทั้งนั้น จะเอารถไตร ไปขี่ย่อมลำบากที่จะรวมกลุ่มกับเขา

หลังจากปั่นมาสัก5โลเห็นจะได้ เราจะเริ่มขึ้นเขา อย่างที่บอกไว้ว่าเขาที่นี้ไม่ยาวมาก แต่ก็ชันในบางช่วง บางคน ถึงกับเดินจูงจักรยานทีเดียว แต่สำหรับเรา การลงเดินจูงไม่ท้าทาย เลยไม่เคยทำสักที หลังจากลูกแรก ก็เจอลูกสองเลย เรียกว่าหัวปีท้ายปี หัวใจยังไม่ทันได้พักก็ต้องเต้นแทงโก้ต่อ กันอีกรอบ
หลายคนใช้วิธีทิ้งตัวอย่างเร็วเพื่อเกิดแรงส่งไปยังอีกเขา ก็ช่วยได้ แต่สุดท้ายก็แรงใครแรงมัน

ผ่านเขานี้ก็จะลงยาว ผ่านหาดยาว ไปจนถึงอีกเขา ตรงนี้ไม่ยากนัก แต่ผ่านมาหลายลูกก็ทำให้ เหนื่อยคาดใจทีเดียว ลูกนี้ถือว่าสุดท้ายแล้ว แต่ทางค่อนข้างยาวแต่ไม่ชันมาก ผ่านตรงนี้ ไปได้ก็เรียกว่าสบายขึ้น เราจะปั่นไปกลับตัวแถวแยกก่อนถึงสนามบิน ผ่านตรงนี้ทีไร ก็อดที่จะคิดถึงคราวน์ไนยางไม่ได้ และก็อดที่จะมองหาป้าฟรอนท์ ไม่ได้เหมือนกัน (ไม่ได้อยากกลับมาพัก แต่แค่สงสัยว่าเคยอยู่กัน ได้ยังไง)

กลับรถตรงแยกแล้วคราวนี้จะปั่นเข้าสวนยาง สวนยางเป็นช่วงที่กินแรงที่สุด เพราะจะคิดว่าทางราบ แต่จริงๆแล้วเป็นทางลาด เวลาปั่นจะหนืดๆ ออกแรงเยอะ เลยยิ่ง ทำให้เหนื่อยมาก เคยปั่นประกบฝรั่งสาว แล้วคุยกันว่าเราน่าจะนอนอยู่บ้านดีกว่า เราต่างเห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นกันไปเรื่อยๆ

มีอยู่ปีนึง พี่นุ้ยพยายามปั่นไล่เรา แต่ปั่นไม่เจอกันสักที เพราะสวนยางมันเป็นเส้นทางอ้อมไปมา ซับซ้อน พี่นุ้ยบอก ได้ ยินเสียงหนิงคุยตลอดเลย ปีนั้นปั่นกับพี่ที่รู้จักกัน พี่เขาประสบอุบัติเหตุ เลยปั่นไม่ได้เร็ว เลยปั่นเป็นเพื่อนกัน คุยกันไปและก็เข้าเส้นพร้อมกันด้วย

ปีแรกๆ ปั่นออกจากสวนยางยังต้องปั่นวนเข้าไปเจอเขาอีก แต่ปีหลังๆ ผู้จัดคงเห็นใจ เลยให้ปั่นออกจากสวนยางแล้วไป บนถนนใหญ่ ทางราบๆเรียบๆยาวๆดี แต่ลมแรงสะบัด จากนั้นก็เริ่มเข้าทางหมู่บ้านแล้วทะลุมายังที่จัดแข่งขัน ก่อนปีที่เราแข่ง พี่ๆเล่าให้ฟังว่าผู้จัด ใจดีมาก กลัวนักกีฬาปั่นจักรยานไม่มันส์ เลยจัดเส้นทางป่าตอง ใครเคย ไปคงจะรู้ว่าชันขนาดไหน โชคดีของเราที่ไม่เจอเส้นนั้น ถ้าเจอ คงลงจากหลังเสือไปแล้ว

จบจากจักรยานก็มาวิ่ง อันนี้นักวิ่งทั้งหลายจะบอกว่าชอบ แต่ถ้านักจักรยาน เดินกันเป็นตับ ทั้งฝรั่งหล่อๆ ล่ำๆเนี้ยละ เดินคุยมาหลายคนแล้ว วิ่งไม่ออกกันทั้งนั้น แต่พี่ต๋อง จะวิ่งเหมือนม้าคึก ปีแรกของเราวิ่งตลอด มาแป้กโลสุดท้าย แต่ก็เข้าเส้นตามเวลาที่ตั้งใจคือ 4ชั่วโมง 30นาที

แต่ปีหลังๆ วิ่งได้อย่างเก่งก็ 9กิโล ที่เหลือเดินๆวิ่งๆ ปีที่พี่นุ้ยไล่ จัดว่าสนุกทีเดียว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ก็ตั้งหน้าตั้งตาหนีพี่นุ้ย เหมือนกัน ตอนวิ่งก็แทบแย่ แต่ก็พยายามวิ่งให้มากที่สุด กลัวพี่นุ้ยมาทัน จริงๆแล้วปีนั้น พี่ต๋องบอกว่าพี่นุ้ยวิ่งดีมาก ระวังให้ดี พี่นุ้ยจะแซง แต่เราบอกว่าเราไม่ได้ซ้อม ก็ไม่ได้ซ้อมจริงๆ ปีนั้นเที่ยวตลอด แต่พอเอาเข้าจริงก็อดหนีไม่ได้ ยิ่งขึ้นน้ำก่อนก็ได้เปรียบ จำได้ว่าพี่นุ้ยเข้าเส้นหลังเราไปแค่ 4-5 นาทีเอง แต่ปีนั้นเป็นปีที่ทำเวลาดีที่สุด 4 ชั่วโมง 10นาที นึกๆแล้วขอบคุณพี่นุ้ยจริงๆ

แต่ก่อนเส้นทางวิ่งจะเป็นแบบรอบเดียว 12กิโล ผ่านหมู่บ้าน บาง ปีวิ่งบนหาด ทรมานมากๆ เพราะหาดเอียง แต่ก็ปีเดียว คงโดนต่อว่า ตอนหลัง เขาจัดเป็นวิ่งรอบละ 6กิโล 2รอบ ง่ายดี และเจอเพื่อนฝูงเยอะแยะ วิ่งเข้ามาผู้จัด จะเตรียมอาหารการกินไว้ให้ แต่ส่วนใหญ่ จะอิ่มน้ำ กินอาหารกันไม่ลง กินได้อีกทีก็เย็นย่ำค่ำมืด เรียกว่าปอบลงเลยล่ะ

ช่วงหลังๆ พี่ๆน้องหลายคนเข้ามาร่วมเล่นไตรกีฬากัน แต่บางคนก็ขอแค่เป็นทีมผลัด อย่างที่บอกตอนแรก ว่าปีล่าสุดทีมผลัดเรา อยู่อันดับ 5 ไม่ธรรมดาทีเดียว จะเล่าเรื่อง ทีมผลัดว่า เกิดครั้งแรก เมื่อพี่ติ๋มแจ้งว่าผู้จัดจะจัดแข่งแบบทีมด้วย ประกอบกับปีนั้นพี่จ้อนกับพี่แอนไม่พร้อมลงเดี่ยว เลยขอลงทีม แต่หาคนว่ายน้ำไม่ได้ ตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่กัปตันมิตรร่วมทีม กัปตันว่ายน้ำให้ ปีนั้นพวกเราเห็นฝีมือการว่ายของกัปตัน ว่าไม่ ธรรมดา ปีถัดๆมาเลยขอให้กัปตันเป็นไม้1 ว่ายน้ำให้ทุกปี ตอนหลังพี่จ้อน พี่แอนขอถอนตัว เลยหาคนร่วมทีมกับกัปตัน ก็ได้ พี่ก้อยกะน้องออย แต่สุดท้ายวงแตก เพราะน้องออยขอลงเดี่ยว ในปีถัดไป ตอนนี้เอง ที่พี่พรุนกับพี่สัญชัยเข้ามาแจม และสามารถพาทีมมาอยู่ในอันดับต้นๆได้
ส่วนทีมผลัดอีกทีม ก็ไม่น้อยหน้า เป็นสีสันให้กับทีม การบินไทย มาก
ทีมการบินไทย มีทั้งลูกเรือ นักบิน คาร์โก้ และ Ground Staff ที่ภูเก็ต บางปีก็มีสามีพี่แอร์ ลูกพี่ติ๋ม หรือญาติๆของพวกเรามาร่วม ทีม เป็นที่สนุกสนาน

ทุกปี พวกเราจะพกญาติพี่น้องไปร่วมงาน จริงๆแล้วคือ ไปถ่าย รูปให้ แต่ช่วงปีหลังกิ๊ฟจะรับหน้าที่นี้ตลอด ถึงขนาดว่าได้ ป้ายนักข่าวมาติดตัว สามารถซิ่งมอไซค์ตามถ่ายได้ ทุกที่ เป็นที่ถูก อกถูกใจทุกคน
จากนี้ไป เชื่อว่าใครก็ตามที่อยากพิสูจน์ตัวเอง คงอยากลองกันเยอะ แต่ขอบอก “ขี่หลังเสือแล้วลงยาก” ยากจริงๆ ขอบอก แล้วคงได้เจอกันที่ภูเก็ต

นางฟ้า