วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวเล่น เล่น ที่อยุธยา

เที่ยวเล่น เล่น ที่อยุธยา

อากาศหนาวเริ่มลงมาจากจีนเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ พี่อ๊อดเลยช
วนไปเที่ยวเล่นที่อยุธยา เดือนนี้เป็นเดือนที่หนิงค่อนข้างวุ่นวายกับชีวิตต่างๆ นาๆ เพราะต้องปฏิบัติหน้าที่ลูกที่ดีดยการพา พ่อกับแม่ไปเที่ยวพม่า และยังต้องให้รางวัลชีวิตตัวเองด้วยการไปเที่ยวสิกขิมอีก เลยมีเวลาไม่ค่อยมาก แต่ด้วยหนิงกับพี่อ๊อดเกิดอยู่ไม่เป็นสุข ต้องหาทางออกไปสำรวจโลกกว้างสักนิด ทริปนี้เลยเกิดขึ้

มันเป็นแค่วันเดียวในเดือนนี้เท่านั้นที่วันว่างเราตรงกัน พี่อ๊อดเลยเสนออยุธยา เหตุเพราะมีโรงเตี้ยมน่ารักที่เราอยากไปดูกัน นั้นคือ บ้านคุณพระ โรงเตี๊ยมที่ว่าเป็นที่พักริมน้ำเจ้าพระยา อยู่บนถนนอู่ทอง ตั้งอยู่ในเมือง สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวมาก เราเดินทางโดยรถพี่อ๊อดเหมือนเดิม นั่งคุยกันขำๆไม่นานก็ถึงอยุธย เราขับเข้าเมืองมาเรื่อยๆ หลงทางบ้างอะไรบ้างตามประสาหญิงสาวสองคนที่คุยกันไปเรื่อยไม่รู้จบ

หลังจากเราถามทางจากนักเรียนแถวนั้น ไม่นานเราก็มาถึง โรงเตี๊ยมที่ว่า บ้านคุณพระ เป็นเรือนไทยที่ไม่ได้ไทยจ๋าแบบสมัยขุนแผน แต่เป็นเรือนไทย 2ชั้น ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา โดยมี2เรือน อยู่ติดกัน เดินเข้าไปด้านใน ชั้นล่างทำเป็น reception และร้านอาหาร หนิงกับพี่อ๊อดไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้าไปหาที่นั่งตรงชานด้านนอกอย่างดี จัดแจงสั่งอาหารชื่อแปลกๆมาลองกัน ไม่ว่าพระจันทร์กระดาษ หรือ ไก่พม่า ยังมี ตำทอด และฉู่ฉี่กุ้งมาเสริมทัพอีก

นอกจากอาหารที่สั่ง ยังคงมีชื่อแปลกๆให้เราสงสัย ให้นึกอยากลองอีกหลายอย่าง แต่เราก็คงไม่มีปํญญา ก็ผู้หญิงสาวตัวเล็กๆแค่ 2คนเอง เรานั่งกินไป ชมทิวทัศน์ริมน้ำไปอย่างสบายอารมณ์ โดยภาพที่เห็นส่วนใหญ่คือเรือขนทรายที่ผ่านไปมา หลายขบวนมาก เรานั่งกันเรื่อยเปื่อยจริงๆ โดยไม่มีจุดมุ่งหมายต่อ

ขณะที่เรากำลัง enjoy กับอาหารชื่อประหลาดทั้งหลาย เราก็มีแขกรับเชิญ ชื่อถุงดำกับถุงเท้า มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย โดยที่พวกเขา ขอแค่นั่งมองว่าเรากินอะไรไปบ้าง หนิงกับพี่อ๊อดเป็นพวกเป็นมิตรกับสัตว์แปลกหน้า แขกรับเชิญเลยได้นั่งมองเรากินไป สบายอารมณ์

บรรยากาศริมน้ำที่นี้น่ามานั่งตอนเย็นๆ เราเห็นฝรั่งที่พักที่นี้เดินไปมาอย่างสบายๆเหมือนอยู่บ้านตัวเอง หนูน้อยชาวอังกฤษแต่งตัวเหมือนเด็กไทยใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น วิ่งเล่นอยู่ข้างๆโต๊ะ

หลังของคาว เราตบท้ายด้วยไอสกรีมล้างปาก ก่อนขอให้น้องที่ร้าน พาเราไปดูห้องพัก ห้องพักที่นี้แบ่งเป็น 3แบบ แบบแรก เป็นห้องแอร์ มีห้องน้ำในตัว คืนละ 1,100บาท แบบที่2 เป็นห้องเดี่ยวแต่ห้องน้ำร่วม คืนละ 600 แบบสุดท้ายเป็นห้องรวม แบ่งแยก ชายหญิง เตียงละ 200
หนิงชอบห้องแบบ 600มาก ติดแต่ว่า ถ้าหน้าร้อนคงร้อนระเบิดเถิดเทิงเป็นแน่ หนิงกะพี่อ๊อดมองหน้ากันแล้ว สมคบคิดกันว่า เราจะหาโอกาสมานอนเล่นๆสักคืน เราถามถึงช่วงลอยกระทง เขาว่าคนมากันเต็ม ส่วนเดือนนี้เดือนธันวาคมที่พักก็เต็มแล้ว เลยบอกพี่อ๊อดว่า เดี๋ยวดูเดือนหน้า ถ้าว่าง
มากัน

เล่าเรื่องประ
วัติของบ้านสักหน่อย บ้านคุณพระ เดิมเป็นบ้านของคุณพระเทพปรีชา ซึ่งรับราชการอยู่ที่อยุธยา เป็นผู้พิพากษาสูงสุดที่นี้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่คุณพระใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี้ อาคารเดิมมีแค่ 2เรือน ต่อมาก็ได้บ้านอีกหลังใกล้กันแต่อายุของอาคารแค่50กว่าปี ในขณะที่ตัวเรือนบ้านคุณพระมีอายุเกือบร้อยปี เพราะสร้างในสมัยรัชกาลที่6 ฟังดูน่ากลัว กลัวเจ้าของบ้านเพราะบ้านเก่า แต่เอาเข้าจริงอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้

เราออกจากบ้านคุณพระ มาอีกร้าน เป็นร้านกาแฟ แต่จริงๆแล้วเป็นที่พักด้วย อยู่เลยแผงขายโรตี สายไหมมาไม่ไกล ชื่อว่า โยเดีย อะไรสั
กอย่างเนี้ยละ ด้วยความที่หนิงไปหลายรอบแล้วจำทางได้ เลยไม่ใคร่สนใจจะจำชื่อ เป็นเรื่องที่แย่มากๆ ร้านนี้ด้านในก็เป็นที่พัก แต่ที่พักจะแพงกว่าบ้านคุณพระ เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่างรวมทั้งสระว่ายน้ำ

เรานั่งดื่มเครื่องดื่มเย็น สบายอารมณ์ ที่ร้านนี้มีหนังสือดีๆวางขาย เราก็เลือกซื้อ ตามใจปราถนา
พี่อ๊อดเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก พี่อ๊อดจะรู้จักนักเขียนหลายคน ทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ในขณะที่หนิงบอกว่าหนิงชอบอ่านตามหัวข้อ ไม่ค่อยดูว่าใครเป็นคนเขียน บางทีก็พลาดเพราะหัวเรื่องจั่วมาดี แต่เนื้อหาไม่เท่าไหร่ แล้ววันนี้ก็เจอไปเล่มหนึ่งเมื่อซื้อมาแล้ว เปิดอ่านพบว่าข้างใน ไม่เท่าไหร่จริงๆ

เราออกจากร้านอาแฟเกือบ 4โมงเย็น แล้วหนิงก็ชวนพี่อ๊อดไปโบสถ์ฝรั่ง หนิงเคยไปมา 2หนแล้ว แต่พี่อ๊อดไม่เคยไป โบสถ์นี้ชื่อโบสถ์ยอเซฟตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา สร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาจากปารีสเพื่อเผยแพร่ศาสนาในตะวันออกไกล ตัวโบสถ์เป็นศิลปะแบบฝรั่งเศส เป็นโบสถ์คริสต์ โบสถ์แรกในเมืองไทยทีเดียว แต่เมืองเสียกรุงครั้งที่2 โบสถ์ก็ได้ถูเผาวอดไป

ส่วนตัวโบสถ์ในปัจจุบัน สร้างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดับด้
วยกระจกสี มีแท่นหินอ่อนลวดลายงดงามไว้สำหรับทำศาสนพิธี และในวันเสาร์ที่3ของเดือนมีนาคมทุกปี จะมีงานฉลองวัดที่โบสถ์แห่งนี้

แต่ก่อนที่เราจะมาถึงโบสถ์ฝรั่ง เราสองคนก็แวะชื่นชมวัดไทยอย่าง วัดไชยวัฒนารามริมแม่น้ำเจ้าพระยา วัดนี้สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยจำลองแบบมาจากนครวัด มีการสันนิษฐานโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า น่าจะเป็นการสร้างเพื่อประกาศชัยชนะเหนือละแวกนั้นเอง

เราเดินชื่นชมรอบๆ จริงๆแล้วหนิงยังจำได้ว่า วัดนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าฟ้ากุ้ง เจ้าของบทเห่เรือชมเครื่องคาวหวานที่หนิงยังท่องจำได้อยู่"มัสมั่นแกงแก้วต
า หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา"

วัดนี้เป็นวัดที่ฝังพระศพของเจ้าฟ้ากุ้ง กับพระศพเจ้าฟ้านิ่มที่ได้ถูกข้อหาว่าเป็นชู้กัน โดยเจ้าฟ้านิ่มนั้นมีฐานะเป็นพระมเหสีองค์หนึ่งของพ่อ คือสมเด็จพระบรมโกศ โดยเจ้าฟ้ากุ้งถูกฟ้องโดย เจ้าสามกรม(พี่ น้องต่างมารดา)ที่ไม่ถูกกันอยู่แล้วกับเจ้าฟ้ากุ้ง
เจ้าฟ้ากุ้งถูกถอดยศให้เป็นไพร่ แล้วถูกนำไปเฆี่ยน จากนั้นก็โ
ดยเหล็กเผาไฟ นาบประทับที่พระนลาถ(หน้าผาก)จนสิ้นพระชนน์คาหลักเฆี่ยน จึงนำพระศพมาฝั่งที่นี้ ส่วนเจ้าฟ้านิ่มก็ถูกเฆี่ยนแล้วจำคุก ในสามวันก็สิ้นพระชนน์ จึงนำมาฝังไว้ที่นี้เหมือนกัน

เราออกจากอยุธยาเกือบจะ6โมงเย็น หนิงกับพี่อ๊อดนั่งคุยกันเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ จนถนนมืดสนิทมีแต่แสงไฟจากรถส่องผ่านไปมา
เราก็ยังคงคุยกันไปเรือนั้น เรือ่งนี้ตามประสาหญิงสาว จนกระทั่ง หนิงรู้สึกว่า ทำไมถนนมันเหลือแค่ 2เลนสวนกัน พอผ่านหลักกิโล หนิงเลยหันไปดูก็พบว่า มันขึ้นว่า 31กิโล ถึงสุพรรณบุรี "พี่อ๊อด หนิงว่าเรามาผิดทาง เรากำลังไปสุพรรณกันละ" พี่อ๊อด ดูไม่ตื่นเต้น เพราะพี่อ๊อดบอกว่า พี่อ๊อดเป็นคนหลงทิศทางอยู่แล้ว หนิงเลยบอกกลับทางเดิมดีกว่า เพราะถ้าเราตรงไปอีก เราจะอ้อมไปกันใหญ่ แล้วเราก้กลับรถ ในขณะเดียวกัน เราก็เริ่มคุยกันต่อ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่หนนี้ หนิงคอยมองป้ายข้างทางตลอด ในขณะเดียวกันก็สงสัยตัวเองว่าหลงมาได้ไง แต่นึกขึ้นได้ว่า มัวแต่ถ่ายรุปพระอาทิตยืไข่เค็มอยู่นั้นเอง เลยเป็นเหตุให้หลง

เราขับมาเจอสี่แยกต้นเหตุจนได้ เมื่อเราพบว่าจริงแล้วเราควรเลี้ยวซ้ายไปทางปทุมธานีแต่เรากลับขับตรงอย่างเดียวไปเสนา เพราะความไม่ดูป้าย และเข้าใจผิดของเนวิเกเตอรือย่างหนิงนั้นเอง คราวนี้เราเข้าเส้นทางที่ถูกต้อง ไข่เค็มพี่อ๊อดตกน้ำไปแล้วตอนเราหลงทาง ในขณะเดียวกัน ไข่มุกเม็ดกลมขึ้นมาส่องท้องถนนแทน เราก็กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านนั้นเอง หนิงบอกพี่อ๊อดว่า ถ้าหลงกลับเข้าอยุธยาอีกที เห็นทีเราต้องไปนอนที่บ้านคุณพระซะแล้ว แต่เทวดายังเห็นใจว่ารุ่งขึ้นหนิงต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลยยอมให้กลับบ้านแต่โดยดี

เรื่อง นางฟ้า
รูป นางฟ้า