วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ชะโงกทัวร์... เที่ยวมั่วๆที่ปาย

ชะโงกทัวร์… เที่ยวมั่วๆที่ปาย

ชื่อเรื่องของทัวร์ประหลาดนี้มีที่มาจาก ข่าวเมื่อหลายปีก่อน ช่วงฤดูท่องเที่ยว ที่เมืองปาย ใครๆก็ไปที่นั้นกันจนน้ำมันหมดเมือง หนนั้นพ่อตื่นเต้นกับข่าวมากเพราะพ่อสงสัยว่า ทำไมใครๆก็ไปเที่ยวปายกัน ตอนนั้นพ่อถึงกับบอกว่าจะไปปายให้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้าพ่อไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อน

สองปีผ่านมา หนิงมีโอกาสที่จะทำฝันพ่อให้เป็นจริง เมื่อเปิดสเก็ตตัวเองแล้วเห็นวันหยุดติดกันหลายวัน หนิงจัดแจงบอกพ่อให้เตรียมตัวได้ เราจะไปปายกันโดยเราจะไปนอนเล่นๆแค่คืนเดียวเพราะหนิงต้องเข้ามาดูสวนที่เชียงใหม่ด้วย ที่พักถูกจองไม่กี่วันก่อนเดินทาง และก็โชคดี เพราะเราเลือกที่จะไปหลังปีใหม่ คนจะได้น้อยๆ หนิงหาที่พักจากอินเตอร์เนต หลังจากลองดูหลายที่ เราก็เห็น บุระลำปาย เข้าตากรรมการมากที่สุด ทั้งที่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่อาศัยว่าใหม่เข้าว่า

เราออกเดินทางสู่เชียงใหม่ในเช้าวันหนึ่ง โดยหนิงขับรถขึ้นไปเอง เส้นทางที่ขับก็เส้นทางปกติธรรมดาที่ใครๆเขาขับขึ้นเชียงใหม่กัน ถนนเส้นนี้มุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ แล้วเราก็ถึงในเวลาบ่ายคล้อยเย็นเต็มที่ คืนนั้นเรานอนรับอากาศเย็นที่แม่แตงก่อนที่จะไปปายกัน


วันรุ่งขึ้น ได้เวลาไปปายกันแล้ว เราออกเดินทางสายกันหน่อย โดยหนิงวางแผนว่าจะถึงปายตอนเที่ยง และหนิงกะว่าใช้เวลาขับแค่ 2ชั่วโมงเท่านั้น เพียงแต่วันนี้หนิงคุยกับพ่อไปแล้วว่าเราจะ ขับกันไปถึงแม่ฮ่องสอนกันเลย เพราะก่อนหน้านี้พ่อ เกิดอยากไปแม่ฮ่องสอนด้วย แต่หนิงไม่มีเวลาที่จะขับรถเป็นวงกลมให้ได้ เพราะไม่ได้วางแผนไว้ก่อน หนิงเลยตกลงกับพ่อว่า เราจะขับทะลุไปแม่ฮ่องสอนกันวันนี้ แล้วกลับมานอนปาย ซึ่งพ่อตกลง เสียงแม่แอบค่อนขอดพ่อว่า พ่อชอบชะโงกทัวร์ คือขอให้ได้ขึ้นชื่อว่าไปมาแล้ว แค่ชะโงกดูเท่านั้นเอง พ่อได้แต่นั่งนิ่งๆ ปล่อยให้แม่จินตนาการตามความคิดแม่เอง

เราขับเข้าสู่เส้นทางหฤหรรษ์ที่สุดในทริปนี้ หนิงเคยมาปายครั้งแรกเมื่อ 10ปีก่อนกับพวกพี่ มีพี่จ้อนนำทีม โดยเมื่อคราวนั้น เราเข้าไปยังห้วยน้ำดังก่อนโดยเส้นทาง Off Road ก่อนที่จะลงปาย แล้วขับไปบ้านวัดจันทร์กันต่อ ตอนนั้นเราไม่ได้นอนค้างกันที่ปาย แต่ที่เห็นและจำได้ คือ เห็นมีแต่ฝรั่ง รถก็น้อย ที่พักข้างทางอย่างปัจจุบันก็ไม่มี เส้นทางไปบ้านวัดจันทร์สมัยก่อน ก็แสนจะขรุขระพอดู ขนาดที่พูดกันได้ว่าใครอยากทำแท้ง ก็ให้นั่งรถไปบ้านวัดจันทร์ ได้แท้งสมใจแน่ๆ


หนที่สอง หนิงกลับไปอีกครั้งเมื่อ 4ปีก่อน ไปโดยจักรยาน โดยปั่นจากแม่มาลัยเข้าปาย ระยะทาง 90กว่ากี่โล ป่ันตั้งแต่ 8โมง เช้า ถึง 4โมงเย็น เรียกว่าปั่นกันหายอยาก หนนั้นปั่นกับพี่อรรถกัน 2คน คนอื่นๆปั่นๆเลิกๆ ตามอัธยาศัย หนิงกับพี่อรรถปั่นจากแม่มาลัยจนถึงปายเลย หนิงเลยค่อนข้างจะภูมิใจว่า ได้ปั่นผ่านเส้นที่โหดที่สุดเส้นหนึ่งในเมืองไทย หนนี้จึงเป็นครั้งแรกที่หนิงขับรถจากแม่มาลัย เข้าสู่ปายในครั้งเดียว โดยไม่ได้แวะค้างแรมที่ไหน

เราขับออกจากแม่มาลัยไม่นาน หนิงก็เล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่า เปลี่ยนไปเยอะ เพราะมีร้านค้า ชา กาแฟ ผุดขึ้นข้างทางมากมาย กว่าที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ร้านรวงมีทั้งเล็กใหญ่ ขึ้นมาแย่งลูกค้ากันสุดๆ ส่วนถนนหนทางยังเหมือนเดิมอย่าง 4ปีก่อนคือ เรียบเนียน 2เลนสวนสบายๆ แต่โค้งสะบัด รถที่สวนไปมาดูหลากหลายรูปแบบ แต่ก่อนเห็นเป็นรถ2แถว กับรถบัสโทรมๆ แต่เดี๋ยวนี้ สภาพรถดูดีมากทีเดียว


หนิงขับรถอย่างระมัดระวังในช่วงแรก เพราะไม่ชินทาง เข้าโค้งอย่างเบามือในคราวแรกๆ แต่พอหันไปเห็นพ่อหลับตา ก็เกิดนึกคึก ว่าท่าทางพ่อจะโดนโค้งกล่อม เลย เหวี่ยงโค้งเล่นอย่างเมามันส์ โดยลืมไปว่า แม่ที่นั่งข้างหลังและส่งเสียงหวีดหวิวกับ สองข้างทาง เป็นเจ้าแม่เมารถอย่างแรง ในขณะที่บางโค้ง คนขับเองยังเกิดอาการมึนๆเพราะเข้าโค้งแรงไปหน่อย ไม่นานนัก ก่อนที่จะเข้าสู้ห้วยน้ำดัง เสียงแม่ก็เงียบไป หนิงลองถาม แม่บอกว่า อย่ามาพูดกัน มึนหัว เอาแล้วสิ แม่เมาซะแล้ว หนิงเลยหาที่พักริมทางที่พอจะให้แม่พักได้บ้าง ก็ได้ที่พักริมทางชื่อเก๋ว่า มุมสร้างสรรค์ มีทั้งห้องน้ำ ร้านอาหาร ขายของที่ระลึก แต่อะไรในโลกก็ไม่อาจช่วยแม่ได้แล้ว หนิงกับพ่อเลยลงไปสำรวจห้องน้ำแทน ห้องน้ำที่นี้จัดว่าเป็นห้องน้ำริมทางที่สะอาดทีเดียว เพราะหนิงลองทั้งขาไป ขากลับ

เราออกรถกันต่อในขณะที่แม่อาการไม่ดีขึ้น แม่ยังคงนั่งหลับตาต่อมาเรื่อย ถึงแม้เราจะพักกันแล้วก็ตาม เราถึงห้วยน้ำดังไม่นานหลังจากนั้น หนิงหันไปบอกแม่ว่า หลังจากนี้จะเหวี่ยงอีกนะ หักศอกทั้งนั้น ไม่มีสัญญาณตอบรับจากแม่แล้ว เพราะแม่ได้แต่ควบคุมสติอย่างมั่นคง ไม่ให้อาการเมา กำเริบไปกว่านี้ หนิงพยายามที่จะหย่อนลง หย่อนลง แต่ความดิ่งชัน และอาการหักศอกของถนนไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่นานหลังจาก เหวี่ยงลงจากเขา หนิงก็ได้ยินเสียงแม่อ้วกจนได้ เสียงแม่บอกว่าดีขึ้นหน่อย แต่ถึงยังไง วินาทีนั้น หนิงก็มั่นใจแล้วว่า แม่ไม่มีทางไปต่อชะโงกทัวร์กับเราพ่อลูกเป็นแน่ หนิง เหวี่ยงลง ไปเรื่อยๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา จนในที่สุดก็ลงจากเขาสำเร็จ หนิงขับรถไปเรื่อยๆมุ่งหน้าตัวเมือง โดยผ่านสะพานประวัติศาสตร์ บุระลำปายที่เราพยายามสอดส่ายสายตามองอยู่ซ้ายมือของเรา ด้านหลังร้านกาแฟ Coffe tea สะพาน นั้นเอง เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป เห็นตึกใหม่ๆ เรียงอยู่ 4-5หลัง มองตรงไปเป็นห้องเล็กๆ ดูออกเลยว่าเป็น Reception หนิงตรงไป chk in ทันที มีหนุ่มน้อยนำทางเราไปยังเรือนพักริมบึง ที่เราจองไว้ ห้องที่เราพักอยู่ด้านในค่อนข้าง จะไกลจากโซนหน้าพอสมควร หนิงกับพ่อถามอาการของแม่ แต่แม่บอกว่าไม่ต้องห่วง แม่ไม่ไปด้วย ไปกันเองเลย หนิงกับพ่อเลยตัดสินใจออกเดินทางกันต่อ เพื่อตามฝันของพ่อให้เป็นจริง เราเริ่มต้นที่หาอาหารง่ายๆอย่างก๋วยเตี๋ยวกินในเมืองปาย แต่ด้วยความที่มันง่ายเกินไป รสชาดของมันก็เลยง่ายมากที่เราจะบอกว่าไม่อร่อยเลย แต่เราพ่อลูก ก็กินเพื่อดำรงอยู่ต่อไป หลังจากนั้นการเดินทางก็เริ่มขึ้น เรามุ่งหน้าสู่แม่ฮ่องสอนโดยหนิงกะว่าจะไปให้ถึงภายใน 2ชั่วโมง

ช่วงแรกที่ออกจากปาย เส้นทางก็เหวี่ยงขึ้นเขาไม่ใช่น้อย หนิงเปรยกับพ่อว่า ถ้าแม่มา ก็ไม่พ้น ช่วงนี้ แม่ก็คงเมาต่อเป็นแน่ เราพ่อลูกเหวี่ยงกันอย่างเมามัน จนมาถึง จุดชมวิวกิ่วลม จากจุดนี้ไม่ไกลจากปายเท่าไหร่ แค่ 20กว่ากิโล แต่ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมง บนนี้เป็นจุดที่เราอยู่บนสันเขา มองเห็นวิวทั้ง 2ฝั่ง พ่อลงไปเพื่อสำรวจห้องน้ำ ในขณะที่หนิงเดินไปถ่ายรูป ที่นี้เอง เราจะเห็น เด็กๆ ชาวเขาวิ่งกรูกันมาถามว่า ‘ถ่ายรูปด้วยกันไหม ให้เท่าไหร่ก็ได’้ หนิงเดินยิ้มๆ ขำๆกับวิธีหากินของเด็ก แถมมีเด็กบางคนเดินมาบอกว่า ‘พี่พี่ถ่ายพวกหนูนะ อย่าไปเอาคนอื่น’ เราก็งงๆ จนกระทั่ง หนิงเดินมาจนถึงจุดที่อยากถ่าย ถึงเริ่มเข้าใจว่าไอ้ที่เจ้าตัวนั้นมันพูด แปลว่าอะไร เพราะเด็กชาวเขาวิ่งกรูกันมาอีกนับสิบ ไหนๆก็มากันยกโขยงขนาดนี้ จะไล่ไปก็ใช่ท่ี หนิงเลยบอกเด็กๆ เข้าแถวถ่ายรูป โดย ให้เด็กๆ กระโดดโดยพร้อมเพียงกัน แต่เด็กก็คือเด็ก โดดยังไงก็ไม่มีทางพร้อมกันสักที หนิงเลยสงสาร ช่วงเวลานั้นได้ยินเด็กน้อยคนหนึ่งบ่นว่า ถ่ายไปตั้งหลายรูปแล้ว ไม่เห็นได้เงินเลย หนิงเลยหันซ้าย หัน ขวา เห็นพ่อเดินมาพอดี เลยบอกเด็กๆว่าไปถ่ายกับคุณตาก่อนแล้วจะให้ตัง เด็กๆทั้งหลายก็วิ่งหน้าตั้งไปหาคุณตา ล้อมหน้า ล้อมหลังพ่อสุดชีวิต พ่อก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ยอมถ่ายรูปกับเด็กๆ เสร็จงาน ได้ยินเด็กตัวดีบอกว่า ‘พี่พี่ เดี๋ยวหนูไปแลกเหรียญให้นะ’ แหม เด็กมันช่างรู้จริงๆว่าพี่นะไม่มีเหรียญให้ หนิงจัดแจงส่งแบงค์ร้อยไปให้แลก หันไปหันมา เห็นพ่อแจกตังค์เด็กไป 2-3คน

พอหนิงได้เหรียญที่เจ้าตัวดีวิ่งไปแลกให้ เด็กน้อยทั้งหลายก็เข้าแถวรอรับค่าจ้าง หนิงก็ให้ไป 5บ้าง 10บ้าง จนมาถึงเจ้าหนุ่มน้อยคนนึงชื่อภูวนัย เจ้านี้ช่างคุยมาก แนะนำคนนั้น คนนี้ หนิงเห็นหน้าจ่อยๆ เลยถามทำไม เห็นว่าพ่อ แจกตังค์ให้แล้ว เจ้าหนุ่มน้อยบอกว่าได้แค่ บาทเดียว หนิงหัวเราะก๊าก ก็ พ่อไม่มีเศษเงิน มีอยู่ไม่กี่บาทดันเอาไปแจกเด็กน้อย เจ้านั้นก็รับมา คงนึกว่ายิ้มสู้กล้องแทบตายได้ไปบาทเดียว หนิงเลยปลอบใจไปอีก 10บาท หน้าเลยบานหน่อยวิ่งกลับไปหาแม่สบายใจ

เราสองพ่อลูกขับรถต่อไปยังปางมะผ้า หนิงได้ยินมาว่า หลังๆฝรั่งเริ่มเขยิบมาเที่ยวที่นี้กันมากขึ้น เลยได้เห็นที่พักที่เริ่มผุดขึ้นตามทาง เราขับรถผ่าน ในขณะที่พ่อเริ่มทำท่าเปลี่ยนใจ จะไม่ไปแม่ฮ่องสอนวันนี้ แต่จะไปพรุ่งนี้แทน เหตุเพราะอยากพาแม่ไปด้วย จนหนิงต้องกางแผนที่ให้พ่อตัดสินใจอีกที เพราะถ้าพ่ออยากให้หนิงอ้อมจริงๆ แล้ว เห็นทีว่าเราจะกลับเข้าเชียงใหม่ค่ำแน่ๆในวันรุ่งขึ้น อีกอย่างหนิงเองก็เริ่มเหนื่อย ถ้าต้องขับรถเหวี่ยงวันละ 4-5ชั่วโมง

ริมสองข้างทางเข้าแม่ฮ่องสอน เป็นเส้นทางที่สวยทีเดียว ถึงแม้ว่าพ่อจะออกปากว่าเส้นทางน่าน -เชียงรายจะสวยกว่า แต่ต้นไม้ที่ปกคลุมสองฝั่งถนน ทำให้ร่มรื่นดี ขณะที่ขับรถกันไป หนิงก็อดไม่ได้ที่จะถามพ่อตรงๆว่าอยากมาแม่ฮ่องสอนทำไหม พ่อบอกว่า อย่างแรก เพราะพ่อยังไม่เคยมา อยากดูให้เห็นว่าเมืองมันเป็นยังไง อย่างที่สอง ครั้งหนึ่งเพื่อนพ่อเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่นี้ ตอนนั้นพ่อว่าจะมาเยี่ยม จนเพื่อนย้ายจังหวัดก็ยังไม่เคยมา หนิงหัวเราะขำๆกับเหตุผลของพ่อ เพราะหนิงว่าเข้าเค้าที่แม่เรียกว่า ชะโงกทัวร์ซะมากกว่า

ก่อนเข้าอำเภอเมือง เราผ่านทางขึ้นปางอุ๋ง หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเวลานี้ หนิงเคยไปมาแล้ว ทั้งปางอุ๋ง และบ้านรักไทย ถึงขั้นเคยไปช่วยเขาเสริ์ฟอาหารมาแล้ว เพราะเขาไม่มีคนช่วย คราวนี้หนิงไม่พาพ่อขึ้นไป เพราะกว่าจะขึ้น กว่าจะลง แค่ให้พ่อชะโงก เห็นทีหนิงจะตายคาพวงมาลัยซะก่อน แลัวบังเอิญว่าพ่อไม่สนซะด้วย

สถานที่อีกแห่งที่เราผ่านคือ ถ้ำปลา หนิงจำไม่ได้ว่าเขาเรียกชื่อทางการว่าอะไร แต่เมื่อ 10ปีก่อน คนที่พามา เขาเรียกว่าถ้ำปลา ระหว่างทางมาแม่ฮ่องสอน เรา2คนพ่อลูกขับ รถคุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสำคัญที่หนิงสารภาพกับพ่อว่า หนิงเคยแอบหนีมาเที่ยวคนเดียวที่นี้เมือง 10ปีที่แล้ว พ่อดูจะเฉยๆกับคำสารภาพ หนิงเลยเล่าให้พ่อฟังต่อว่า ถ้ำปลาหนิงเคยมาแล้ว เมื่อครั้งนั้นคนที่เขาพามาเขาเล่าว่าเป็นถ้ำที่มีปลาอยู่เยอะ ใครคิดอยากจะกินปลาก็มีอันเป็นไปทุกราย เหมือนกับปลาเหล่านี้เป็นปลามีศีลอะไรอย่างนั้น

เราขับเข้าเมืองตอนบ่ายสามโมงกว่าๆ เมืองแม่ฮ่องสอน เปลี่ยนไปเยอะจาก 10ปีก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับดูแปลกตาเหมือนปาย หนิงขับรถพาพ่อไปวัดจองคำ วัดนี้เป้นวัดแห่งแรกของจังหวัด สร้างโดย พญาสิหนาถราชา และต่อมาก็เป็นพระอารามหลวง หนิงจัดแจงจอดรถ ขอเดินออกไปยืดเส้นยืดสายซะหน่อย แต่พ่อบอกว่าไม่ลง ตอนนี้สถานการ์ณตรึงเครียด เมื่อหนิงบอกว่า พ่อต้องลง ไม่ลงไม่ได้ หนิงขับรถมาตั้งไกล ใจคอจะชะโงกทัวร์จริงๆเหรอ ดูเหมือนคำพูดกระทบกระเทียบที่แม่ทิ้งท้ายไว้ จะดลใจให้พ่อยอมลงจากรถ เราเดินดูรอบๆวัด และพ่อก็ทำการสำรวจห้องน้ำอย่างเคย วัดแห่งนี้นอกจากวัดจองคำแล้ว ยังมีวัดจองกลางอยู่ในกำแพงเดียวกันอีกด้วย วัดจองคำเป็นวัดที่สร้างโดยช่างไทยใหญ่ ลักษณะจะคล้ายปราสาท นัยว่า ผู้ที่เป็นกษัตริย์หรือผู้มีศักดิ์สูงเท่านั้นที่จะอยู่บนนั้นได้ ส่วนชื่อวัดจองคำนั้น ชื่อก็บอกแล้วว่าทองคำ เหตุที่มีชื่อนี้เพราะมีเสาที่ติดทองคำเปลว แต่จริงๆแล้วสมัยโบราณ เสาที่ว่าเป็นเสาเงิน มาเปลี่ยนเป็นทองในภายหลัง

บริเวณวัดนั้นยังมีบึงใหญ่ๆ ทำเป็นบึงสาธารณะให้นั่งเล่นเย็นใจอีกด้วย

หนิงขับรถวนรอบเมือง พ่อก็บอกว่า กลับกันเถอะจะได้ไปรับแม่กินข้าว ปานนี้แม่คงหิว น่าดู พ่อว่างั้น

ขากลับ หนิงเริ่มชินกับโค้งที่วันนี้ทั้งวันเหวี่ยงมาอย่างมันมือ โชคดีที่พ่อไม่เมารถ ไม่อย่างนั้น หนิงคงแย่แน่ๆ เรามุ่งหน้าเข้าปาย เพื่อไปรับแม่มากินข้าว แต่ที่กินเราก็ยังไม่รู้ หนิงจำได้ว่าครั้งแรกที่มาปายกับพวกพี่จ้อน เราไปทานข้างร้านน้องเบียร์ แต่หนิงจำได้ว่า มันไม่โดน หนิงเลยไม่อยากพาพ่อไปลอง

ลองถามreception เขาก็บอกว่าให้ทานน้องเบียร์ ยิ่งขัดใจเราเข้าไปอีก ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรือไร จนเจอพี่ๆที่กำลัง Check in เข้าที่พักบอกให้ไปลอง ครัวระเบียงปาย แต่พี่เขา สลักหลังมาว่า อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ เพราะหาจากอินเตอรืเนตมา

อาหารที่สั่งไปมื้อนี้ มีขาหมูยูนาน ลาบคั่ว ต้มยำปลาคัง ไม่นานเกินรออาหารก็มา มื้อนั้น ไม่ถึงกับผิดหวัง แต่ก้ไม่สมหวังนัก รสชาดเหมือนยังไม่ถึงที่ แต่เราก็กินกันจนหมด

หนิงพาพ่อกับแม่วนรถเข้าไป ถนนคนเดิน เพราะไหนๆก็มาถึงปายแล้ว ใครๆก็ต้องมาเดินดูของกันที่นี้ หนิงบอกพ่อว่าไปดูหน่อย จะได้บอกคนอื่นได้ว่าปายมีอะไร ถนนคนเดินจะมีตลอดในช่วงฤดูหนาว แต่ถ้านอกฤดู ก็มีเฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ข้าวของที่ขายก็ไม่ต่างจาเชียงใหม่ไปเท่าไหร่ ถ้าใครคิดว่าจะมาปายแค่เพื่อถนนคนเดิน ก็ควรคิดใหม่ได้แล้ว เพราะปายมีมากกว่านั้น

คืนนี้อากาศเย็นมาก มากจนเรา สามคน พ่อ แม่ ลูก นอนหลับสนิท ชนิดไม่อยากแม้กระทั่งจะเข้าห้องน้ำเลย


เช้าวันต่อมา เรากำหนดกลับเข้าเชียงใหม่ยามบ่าย หนิงเห็นใจว่าพ่อนั่งรถมาหลายวัน น่าจะเหนื่อยเพราะโรคประหลาดของพ่อ ทำให้พ่อ ต้องนอนเยอะๆ หนิงเลยบอกว่าจะให้ นอนก่อนแล้วค่อยกลับกันตอนเที่ยง เช้านั้นหนิงวิ่งไปสำรวจที่ทาง เห็นว่ามีบ่อน้ำพุร้อน เมืองปายเขามีชื่อเรื่องนี้มานาน เพราะสมัยก่อนที่ฝรั่งมากัน ตอนกลางคืน ฝรั่งจะบิดมอเตอร์ไซด์ไปบ่อน้ำพุร้อน จุดเทียนแช่น้ำร้อนกลางแสงเทียน บางทีก็กลางแสงจันทร์ แต่เดี๋ยวนี้คงต้องกลางแสงนีออน ตามความเจริญที่เข้ามา เห็นดังนั้น หนิงก็คิดควรว่าพ่อกับแม่น่าจะมาแช่น้ำเล่นก่อนกลับ

หลังอาหารเช้า เราขับรถออกจากที่พัก ซึ่งติดกับสะพานประวัติศาตร์ สะพานแห่งนี้เป็นสะพานเหล็กสีเขียว ดูเหมือนยุคสงครามโลก หนิงเข้าไปอ่านประวัติ

สะพานแห่งนี้ถูกสร้างครั้งแรกในสมัยที่ญี่ปุ่นจะบุกพม่านั้นละ ก็สงครามโลกจริงๆ เป็นสงครามโลกครั้งที่2 แต่เดิมสะพานทำจากไม้ จนต่อมา ไปขอสะพานนวรัฐจากเชียงใหม่มาสร้างแทน เรื่องคงจะจบแบบที่เขาเขียนไว้ ถ้าหนิงไม่กลับมาแม่แตงแล้วเล่าให้ผู้เฒ่าที่นั้นฟังว่าไปเที่ยวไหนมา ก็คงไม่ได้ฟังเรื่องต่อจากนั้นอีกว่า สะพานนวรัฐอันที่ยกไปปายนั้น ได้ถูกนำกลับมาไว้เชียงใหม่ แต่ไม่ใช่ที่เดิม ส่วนสะพานสีเขียวสวยนั้น เป็นสะพานที่เดิมเคยอยู่ในอำเภอแม่แตงนั้นเอง ผู้เฒ่านั่งยัน นอนยันว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ หนิงก็อดคิดไม่ได้ว่า ทุกหน้าประวัติศาสตร์มักจะมีเรื่องราวทับซ้อนที่เลือนลางซ่อนอยู่ ใครตาดีอ่านเจอก็ถือเป็นกำไร แต่ใครอ่านตามตัวหนังสือ ก็ไม่ว่ากัน

ตรงสะพานเขียวนั้นเราเห็นรถไม้ 2คันจอดอยู่ ได้ยินว่าเป็นรถไม้ที่ขับมาจากเกาะช้าง ใช้เวลาถึง 3วัน 3คืน กว่าจะมาที่ปาย และอยู่แค่ 1เดือนเท่านั้น ก้จะกลับไปเกาะช้าง พี่เจ้าของเล่าว่า เขาเอามาโชว์ที่นี้เมื่อ3ปีก่อน จากนั้นก็นำมาโชว์ทุกปี เห็นหลายคนถ่ายรูป หนิงเลยให้แม่ถ่ายบ้าง แต่แม่ไม่กล้าเข้าไปนั่ง กลัวทำของเขาพัง

จากนั้นก็เป็นโปรแกรมบ่อน้ำพุร้อนที่หวังจะให้พ่อตื่นเต้น แต่พ่อกลับเฉยๆ หนิงซะเองที่ตื่นเต้นมากกว่า สามคนพ่อ แม่ ลูก เอาเท้าแช่เล่นๆพ่อให้ได้ขึ้นชื่อว่ามา แล้วเราก็กลับ ถึงเวลาพักผ่อนของพ่อแล้ว

หนิงกับแม่เลยออกไปเดินดูบรรยากาศรอบที่พัก สิ่งที่สังเกตได้คือ เราพักอยู่ริมแม่น้ำปาย ตอนเช้าที่ตื่นมาเห็นหมอกเต็มไปหมด พอสายๆ เราถึงเห็นว่า ริมน้ำ มีที่สำหรับกางเต็นท์ด้วย หนิงกับแม่เลยออกเดินสำรวจ น้ำในแม่น้ำเย็นจับใจ แม่เอามือไปจุ่มเล่น เราสองคนนั่งทอดอารมณ์ริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามยังมีรีสอร์ท และเต็นท์กางอยู่เต็มไปหมด ด้านข้างที่พักเรา เป็นที่ของชาวบ้านที่ทำกิน เขาปลูกผัก ต่างๆ มองไปอีกฟาก เห้นฝูงวัวกำลังเล้มหญ้า เสียงกระดึงดังเป็นจังหวะเวลาที่พวกมันเดินแระเล็มหญ้าไปเรื่อยๆ ดูเหมือนนอกจากชีวิตคนเมืองที่พากันมาทำรีสอร์ท เรายังได้เห็นชีวิตชาวบ้านจริงๆ ที่ยังคงอยู่

หนิงกับแม่ชวนกันเดินไปทางต้นน้ำ เพื่อไปดูว่าด้านนั้นเขามีอะไรบ้าง เราเห็นเขาปลูกต้นปอเทืองเป็นทุ่ง ต้นใหญ่กว่าที่หนิงเห็นที่โคราชเสียอีก หนิงเพิ่งรู้ในภายหลังว่า ปอเทืองคือปุ๋ยสด ที่เขาจะทำการปลูกและไถกลบก่อนที่จะปลูกข้าว เป็นการปรับสภาพดิน และเตรียมดินให้พร้อมนั้นเอง แสดงว่าอีกไม่นาน บริเวณริมน้ำที่เขาปลูกปอเทือง เขาก็คงจะปลูกข้าวเร็วๆนี้

เราเดินรอดใต้สะพานเขียว ไปทางต้นน้ำ เราเห็นควายฝูงใหญ่กำลังเพลิดเพลินกับการกินหญ้า สายตาที่มันส่งมาทางเราเป็นการระแวดระวัง แต่เราสองคนก้เดินเลี่ยงหลบไป เราเห็นเขาสร้างฝายชะลอน้ำแบบธรรมชาติ โดยวัสดุธรรมชาติ เพื่อไม่ให้น้ำไหลไปเร็วเกินไป หน้าแล้งจะได้ไม่แล้งนัก

จริงๆแล้วการเดินเล่นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้หนิงเห็นว่า เมืองปายมีอะไรมากว่าที่เราเห็น เพียงแต่เราจะเข้าไปสัมผัสมันมากแค่ไหน คนส่วนใหญ่ที่ไป ก็ไปตามที่เขาเล่าเขาเห็น ไม่ลองที่จะค้นหาตัวตนของมันด้วยตัวเอง

แม่ชอบมากสำหรับการเดินสำรวจวันนี้ หนิงเองก็เช่นกัน แดดเริ่มร้อน ความเย็นเบาบางลง หนิงบอกแม่ว่าถึงเวลาต้องกลับกันแล้ว เที่ยงนี้เราเลยฝากท้องไว้ที่ร้าน สะพานปายของรีสอร์ทที่เราพัก แล้วเราก็พบว่า อาหารที่นี้รสชาดดีทีเดียว เพราะแม่ครัวเป็นคนใต้ เราเลยได้ทานคั่วกลิ้งที่เมืองปายเป็นการปิดท้าย….รำแต้ๆ

เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า