วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ถนนสาย13...หลวงพระบาง สู่เวียงจันทน์ ตอนที่3 กิ่วกะจำ จำไม่รู้ลืม

         ถนนสาย 13…หลวงพระบาง  สู่เวียงจันทน์  ตอนที่ 3 กิ่วกะจำ จำไม่รู้ลืม


จากหลวงพระบางมุ่งหน้าเวียงจันทน์นี้ ถนนที่เราใช้เป็นถนนสายเดียวที่วิ่งตรงเข้าเวียงจันทน์นั้นคือสาย13 มีคนเขาว่ากันว่า ถนนสายนี้เป็นสายหลักที่ดีที่สุดในลาว จริงแท้ประการใด เราคงต้องปั่นไปให้จบ จะได้รู้ว่าจริงหรือไม่  แต่ที่แน่ๆ กว่าจะปั่นไปถึงเวียงจันทน์ เราต้องปั่นข้ามเขาไปอีกไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก ความสูงของเขาแต่ละลูกก็ไม่ต่ำกว่า1000เมตรจากระดับน้ำทะเล  พี่เยาว์แจกแผ่นที่ของเส้นทางให้เราทุกคน พอเห็นแล้วให้ใจสั่น วันแรกที่ออกมาจากน่าน เห็นในแผ่นที่มีเขา3ลูก เห็นแล้วนึกว่ากระจอก  ที่ไหนได้ เล่นซะอ่วมอรทัยทีเดียว  คราวนี้ไม่อยากจะดูแผ่นที่กันเท่าไหร่ เอาเป็นว่าปั่นให้ถึงก็พอ 

เช้านั้นเราถูกโค้ชโหดสั่งให้ออกแต่เช้า 6โมงกว่าๆ เราก็ทยอยกันออกไปร้านประชานิยม ไหนๆก็มาแล้วหลวงพระบางกันแล้ว จะไม่ไปกินอาหารที่ร้านนี้หน่อยก็คงจะมาไม่ถึงหลวงพระบางเป็นแน่ พอไปถึงร้าน พวกเราก็สั่งอาหารกันแหลกราญ เพราะทุกคนรู้ว่าก่อนเที่ยงต้องทั้งเหนื่อยทั้งหิวกันแน่ๆ ดังนั้นแล้ว กินไปให้มันมากที่สุดเท่าที่กระเพาะมันจะรับได้ แต่ก็ไม่ให้ล้นกระเพาะจนทะลักปากเป็นแน่

หนิงจัดแจงซื้อบาเก็ต ขนมปังสัญชาติฝรั่งเศส แต่ไส้เป็นลาวปนไทยไปกินระหว่างทาง
ส่วนพี่ทองก็สั่งไข่ต้มไว้สำหรับพวกเรายามฉุกเฉิน 

หมายที่เราต้องไปให้ถึงวันนี้คือกิ่วกะจำ  ที่พักบนเขาที่นักเดินทางทั้งหลายไม่ว่าจักรยาน มอเตอร์ไซค์ หรือรถสิบล้อต้องมาพักกันเสมอ สิ่งหนึ่งที่หนิงได้รับคำเตือนมาคือ ที่พักที่นี้เขาเรียกโรงเตี๊ยมมากกว่าโรงแรม และที่สำคัญ ผีดุ  แน่นอนผีนะเรากลัวแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้นอนคนเดียวก็อุ่นใจไปได้ นอกจากinformationที่บอกมา กิ่วกะจำก็เป็นแค่เมืองผ่านเท่านั้น ไม่ได้ยินใครบอกให้ต้องมาแวะมาเที่ยวเลยสักคน

หลังจากท้องอิ่ม เราก็ต้องอำลาหลวงพระบางกันแล้ว แล้วยังต้องอำลากิ๊ฟอีกด้วย กิ๊ฟต้องกลับก่อน  เพราะจากนี้ไปพวกเราต้องปั่นกันอย่างเดียว  ถึงจะมีรถเก็บพวกขาอ่อน  แต่อย่าได้หวังเลยว่าจะได้ขึ้นกันง่ายๆ  เพราะเพื่อนที่ปั่นอยู่ด้วยกันคงไม่ยอมให้ขึ้นรถกันง่ายๆถ้าไม่สาหัสจริงๆ

เราปั่นออกเป็นขบวน จักรยาน16คัน รวมของพี่เอ๋ที่ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยที่หลวงพระบางเมื่อวาน  พี่เอ๋เลยไม่มีข้ออ้างใดๆที่จะขึ้นรถหรือหนีกลับก่อน ทางออกนอกเมืองมุ่งหน้าถนนสาย13 ยังคงจอแจด้วยผู้คน เด็กๆยังไปโรงเรียนกัน สาวน้อยนุ่งซิ่นไปเรียนหนังสือน่ารักดี ชาวบ้านขี่รถเครื่องบ้างออกไปทำงาน  งานสวน งานไร่ ส่วนพวกเราขี่จักรยานเพื่อท่องเที่ยวต่อไป

ถนนสาย13 เมื่อหลายปีก่อนเป็นข่าวโด่งดังมาก จากข่าวที่มีนักท่องเที่ยวถูกยิงตายในขณะปั่นจักรยานเล่น จากที่สอบถามพี่วัช ช่วงนั้นลาวยังคงมีปัญหาภายในประเทศประมาณแบ่งข้างซ้าย ขวา พวกที่หนีเข้าป่าก็ใช้วิธีลอบกัดดักยิงคนที่ผ่านไปมาและสงสัยว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล ทำให้ฝรั่ง2คนถูกยิงเสียชีวิต  เท่าที่พี่วัชเล่า ฝรั่ง2คนนั้นไม่ใช่นักเดินทางด้วยจักรยานเป็นหลัก  แต่เข้าใจว่าเช่าจักรยานมาจากวังเวียงแล้วปั่นเที่ยวมาเรื่อยๆ  ฟังแล้วก็น่ากลัวทีเดียว  แต่ตอนนี้เหตุการณ์ปกติแล้ว เราสามารถปั่นบนถนนสายนี้ได้อย่างสบายใจไร้กังวล
 
หลังจากเข้าถนนสาย13 เส้นทางยังคงเต็มไปด้วยบ้านเรือน  กลุ่มจักรยานเริ่มแตกออกเป็นกลุ่มเล็ก  หลายคนจับคู่ไปด้วยกัน บางคนไปแบบคนเดียว หนิงยังแปะอยู่หลังพี่โม่ หลายคนแซงเราไปแบบสบายๆ เสียงวอแจ้งมาว่าพี่เอ๋โซ่ขาดอีกแล้ว  หนิงแอบขำแล้วบอกพี่โม่ว่า พี่เอ๋แรงเยอะจริงๆ  แต่ไม่นานหนิงก็เห็นพี่เอ๋นั่งรถพี่ทองผ่านเราไป แถมมีพี่ก้อยพ่วงติดไปด้วย 

ทางเริ่มขึ้นเนินมาเรื่อยๆ  ขอย้ำว่าเป็นแค่เนิน แต่เป็นเนินยาว ที่ไม่รู้ว่าจะลงเนินเมื่อไหร่ รถเริ่มน้อยลง  แต่หมู่บ้านก็ยังตั้งกันประปราย  หนิงเห็นพี่ไก่อยู่ข้างหน้า หวังจะปั่นไปให้ทัน  แต่แล้ว ก็เป็นทางลงเนินซะนี้ ประกอบกับเบาะที่นั่งของพี่โม่มีปัญหา ต้องหยุดแก้ไข เราเลยไม่ได้แซงพี่ไก่เลย แถมพี่หมีก็ป่ันแซงไปซะอีก

หลังจากปั่นขึ้นๆลงๆเนินมานาน ในที่สุดหนิงก็มาทันพี่ไก่  หนิงชี้ชวนให้พี่ไก่ดูข้างทางที่เราผ่าน  หมู่บ้านชาวลาวที่ใช้ชีวิตง่ายๆ  เด็กน้อยที่กำลังนั่งขี้อยู่ข้างถนน  ขอย้ำว่าข้างถนนจริงๆ เราเห็นลูกหมูที่เวลาข้ามถนนมันยังรู้จักรอให้รถผ่านก่อนแล้วถึงข้าม ทำให้หนิงคิดว่า หมูไม่ได้โง่อย่างที่คนอื่นเขาว่ากัน พวกเด็กลาวพอเห็นพวกนักปั่น ปั่นผ่าน วิ่งร้องดีใจ  โบกมือให้ ทำอย่างกับเราเป็นนักแข่งตูร์ เดอ ฟรอง ภาพเหล่านี้เราอาจพอจะเห็นบ้างหากนั่งรถผ่าน  แต่รายละเอียดต่างๆเราคงไม่เห็นแน่ ถ้าไม่ได้ปั่นจักรยาน  หลายคนมักถามเสมอว่าทำไมชอบปั่นจักรยานเที่ยว  สิ่งหนึ่งที่ทำให้หนิงเห็นความแตกต่างจากการเที่ยวแบบอื่นคือ การนั่งรถเที่ยวเราไปได้เร็ว เราอาจเห็นสองข้างทางที่ผ่าน  แต่เราไม่เห็นรายละเอียด  หากเราเดินเที่ยว เราย่อมซึมซับวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี เพียงแต่เราคงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เพราะฉะนั้น การปั่นจักรยานไปได้เร็วกว่าเดิน และเก็บรายละเอียดและเข้าถึงวัฒนธรรมได้มากกว่านั่งรถ  อีกอย่างที่หนิงไม่ลืมที่จะตอบคำถามคือ  กลิ่นและเสียง  นอกจากตาที่มองเห็น กลิ่นและเสียงคืออีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเที่ยวแบบปั่นจักรยานสมบูรณ์แบบมากขึ้น

ครั้งหนึ่งหนิงเคยไปปั่นจักรยานขึ้นเขาใหญ่ ในโซนที่ขึ้นเขาเขียว เสียงที่ทำให้รู้สึกว่าการปั่นจักรยานสมบูรณ์แบบคือ เสียงร้อง ‘ ผัว ผัว ผัว’ ของชะนีนั้นเอง  มันทำให้วันนั้นเป็นวันที่แน่ใจว่าเรากำลังปั่นจักรยานขึ้นมาบนป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

เสียงของวันที่ปั่นไปกิ่วกะจำเป็นเสียงเพลงเบาๆจากเครื่องเสียงติดรถที่พี่โม่หามา บวกกับเสียงโซ่ที่บดบี้ไปกับเฟืองตามจังหวะอย่างช้าๆ เป็นเสียงที่บอกว่า เรากำลังปั่นขึ้นเขา เสียงหอบเวลาพูด  หรือเสียงวอที่บอกมาจากข้างหน้าว่าเจออะไรบ้าง มันรวมเข้าด้วยกัน จนทำให้การท่องเที่ยวบนอานจักรยานไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ แต่เร้าใจได้ตลอดเวลา 

แค่ชั่วพริบเดียวที่เรามัวแต่มอง2ข้างทาง เราก็เริ่มป่ันขึ้นเขากันแล้ว ซ้ายมือเรามองเห็นเมือง ลำน้ำคานที่คดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง เสียงรถเร่งเครื่องเพื่อจะขึ้นเขา เราสองคนต้องคอยหลบขวาให้รถผ่านไปก่อน  คนลาวขับรถดีกว่าคนจีน และแน่นอนดีกว่าคนไทย  เราเลยรู้สึกสบายใจที่จะปั่นกันมาก  พี่ไก่ทิ้งห่างไปข้างหลัง หนิงกับพี่โม่ตั้งหน้าตั้งตาปั่นขึ้นให้เร็วที่สุด  แต่ความเร็วก็ไม่เกิน 10กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปได้  บางช่วงลดลงมาที่ความเร็ว 6-8กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยซ้ำ เรายังคงปั่นกันไปเรื่อยๆ มองข้างทางก็เห็นเมืองอยู่เบื้องล่าง มองไปข้างหน้า ก็เห็นมีแต่เขา เส้นทางเส้นนี้ เราจะเจอเขา2ลูกใหญ่ด้วยกัน นอกจากเราจะปั่นขึ้นไปถึงยอดแล้ว  เรายังต้องปั่นสันเขาไปเรื่อยๆ

หลังจากเราปั่นมาหลายชั่วโมง หนิงก็ได้ยินเสียงวอบอกให้เรารู้ว่า เรากำลังถึงที่พัก อันเป็นจุดชมวิวบนเขาลูกแรก ก่อนจะถึงที่พักเราเกือบจะหมดแรงไปตามๆกัน เพราะอากาศในฤดูฝนนี้มักจะอ้าว และทำให้เราร้อนกว่าปกติ เหงื่อที่ออกเป็นน้ำ ดีที่ว่าที่จุดชมวิวมีพี่ทองและน้ำเย็นรอเราอยู่ที่นั้น
เราเจอกลุ่มแรกๆที่หนีเรามาก่อน พี่หมีเก่งมาก เพราะปกติพี่หมีจะห้อยอยู่ข้างหลัง วันนี้พี่หมีหนีหนิงกับพี่โม่มาเฉย คนที่มาก่อนนานพอพักจนหายเหนื่อย ก็ออกเดินทางกันต่อ หนิง พี่โม่ พี่หมี พี่ เอ๋ พี่ก้อย พี่ยอด และน้าโทนรอกลุ่มหลังได้สักพัก น้าโทนก็ขอตัวปั่นไปก่อน เพราะน้ากลัวจะช้าล้าหลัง ส่วนพี่ยอด ยังสนุกกับการถ่ายรูปและหนิงบอกว่าอย่าหนีไปเลย ไปด้วยกันเถอะ บาเก็ตที่หนิงซื้อมาได้รับเชิญให้ออกมาทำหน้าที่กำจัดความหิว พวกเราแบ่งๆกันไป ก็ช่วยให้มีกำลังมากขึ้น  และไม่นานเกินรอพี่หมู พี่ไก่กับพี่วัชก็ตามขึ้นมา  พี่ไก่เก่งมาก เพราะหนิงยังคิดว่าพี่ไก่คงจะวอให้รถไปรับเป็นแน่

พวกเราทยอยกันออกตัวอีกครั้งทิ้งผู้มาใหม่2คนให้พักหายเหนื่อยก่อน  คราวนี้พ่อหมูกับแม่หมีปั่นไปด้วยกัน กลุ่มเริ่มแตกอีกครั้ง หนิงกับพี่โม่ สมัครใจปั่นไปไม่ห่างจากพ่อหมูและแม่หมีเท่าไหร่ เพราะเมื่อครั้งไปปั่นเฉลิมพระเกียรื์ต เราก็ปั่นอยู่ด้วยกัน 4คนเป็นประจำ เหนื่อยก็หยุดถ่ายรูป มาคราวนี้ เราก็ทำแบบเดิม  ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่

บนสันเขาที่ลาว มักมีหมู่บ้านอยู่หลายหมู่บ้านทีเดียว แต่ละหมู่บ้านหนิงจะเห็นจานดาวเทียมใหญ่ยักษ์อยู่หลายบ้าน หลังบ้านเขาจะเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ อยู่กันแบบพอเพียง  ผู้ชายก็ทำไร่ พูดถึงไร่บนเขา เขาในลาวถูกรุกรานเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน หลายปีก่อน หนิงเคยมาปั่นบนถนนสายนี้ แต่ไม่ได้ปั่นครบระยะ ครั้งนั้นต้นไม้ดูเยอะกว่านี้ หมู่บ้านดูไม่หนาตาเท่านี้ อย่างว่าความเจริญมันกำลังเข้ามาสู่ทุกแห่งหนในลาว วันหนึ่งมันคงจะไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่

ระยะทางที่ปั่นบนสันเขาไม่น้อยเลย เราปั่นอย่างช้าๆ เพราะมันขึ้นเขานิดๆตลอดเวลา มีไหลลงบ้างเป็นช่วงๆ พอให้ได้พักขา เสียงพี่ก้อยบอกทางข้างหน้าเป็นระยะ แสดงให้เห็นว่าพี่ก้อยกำลังจะลงเขา พวกเรา4คนเริ่มมีความหวัง แต่โค้งแล้วโค้งเล่าก็ยังไม่เห็นทางลงซักที ก่อนจะหมดแรงกันซะก่อน เราก็เจอทางลงเขาเข้าจนได้ พี่หมีทิ้งตัวลงเขาไปด้วยความรวดเร็ว เป็นเพราะน้ำหนักตัวที่มากกว่า และความชอบส่วนตัวในการลงเขา พี่หมีทำได้ดีกว่าขึ้นเขาเยอะ อย่างที่หนิงเล่าในตอนแรกๆว่าพี่หมีเบื่อการนั่งรถตาม เลยยอมมาขี่จักรยานด้วยกันและพี่หมีก็สนุกกับมันมาก  พี่หมูสามีพี่หมีเคยเล่าว่า พี่หมูซื้อจักรยานให้พี่หมีขี่เมื่อหลายปีก่อน  แต่พี่หมีก็ไม่สนใจ พี่หมีสนใจแต่เล่นโยคะ จนพี่หมูถอดใจไปแล้ว  แต่เมื่อพี่หมีกลับจากเที่ยวจีนหนนั้น พี่หมีก็ลองเอาจักรยานมาซ้อมขี่ที่สวนรถไฟ เมื่อขี่ได้พอประมาณก็เริ่มออกทริประยะสั้น จนสามารถออกทริปยาวและออกทัวร์ได้ในที่สุด  และพี่หมีกลายเป็น Bike Loverไปอีกคน พี่หมีรู้จักกลุ่มจักรยานหลายกลุ่มเพราะเข้าไปแจมเขาบ่อย  บ่อยกว่าน้องๆหลายคนที่ปั่นจักรยานมานานด้วย ถ้าใครคิดจะทำให้ภรรยาหันมาขี่จักรยาน ลองทำแบบพี่หมูสิ พาไปนั่งรถให้เบื่อสุดๆ แล้วหาจักรยานให้ลองปั่นดู เผื่อจะได้ผล แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็คงต้องทำใจ ปั่นไปกับเพื่อนฝูงแทน   แต่หวังว่าภรรยาคงจะเข้าใจมากขึ้นด้วยนะ ฮะ ฮะ ฮะ

หนิงไหลลงปิดท้ายขบวน ระยะทางลงเขามีเป็นสิบ สิบกิโล นับไปนับมาก็เกือบ 20กิโลเห็นจะได้  เพราะเราไต่อยู่บนเขาก็ระยะทางประมาณนี้ เพราะงั้น ขึ้นเท่าไร ลงเท่านั้น หนิงกำเบรค กำปล่อย กำปล่อยเป็นระยะ เส้นทางเริ่มไม่ดีมีหลุมบ่อมากขึ้น  เท่าที่สังเกต จะเป็นทางโค้ง เพราะทางเหล่านั้นเป็นทางน้ำ เข้าใจว่าถ้าฝนลงหนักๆ  น้ำป่าก็คงไหลลงทางนั้น เลยเซาะพื้นถนนเล่นแก้เซ็ง  คนใช้ถนนเลยเซ็งตามๆกัน รัฐบาลก็เริ่มออกมาซ่อมถนนเป็นช่วงๆ  พวกเราต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
 
เล่าถึงพี่หมี ก็อดไม่ได้ถ้าไม่เล่าเรื่องพี่หมู  พี่หมูรู้จักกับหนิงมานานหลายปี เพราะพี่หมูหันมาเล่นไตรกีฬานั้นเอง เล่นจนน้ำหนักลด แข็งแรง พี่หมูเองก็พิศมัยจักรยานเหมือนกัน หลังจากทำความรู้จักกันได้สักพัก โดยเฉพาะลงเขา  พี่หมูจะไหลลงเร็วกว่าเพื่อนๆที่มาด้วยกัน  แต่ครั้งหนึ่งที่พี่หมูล้มจนซี่โครงร้าว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้พี่หมูขยาดการลงเขาเลยทีเดียว เห็นได้จากวันนี้  พี่หมีกับพี่โม่ไหลไปไกลพอควร  แต่พี่หมูอยู่ไม่ห่างหนิงเท่าไหรนัก

คนขี่จักรยาน ใครไม่ล้มเป็นเรื่องแปลกมาก มีอยู่ปีหนึ่งหนิงจักรยานล้มประมาณ 3ครั้ง ล้มหนักสุดถึงขนาดต้องหยุดงานไป1อาทิตย์ เพราะนิ้วซ้น จนหนที่3 พ่อออกอาการโมโห ดีที่ว่าหนที่3ไม่เจ็บเท่าไหรเลยรอดตัวไปได้  เพียงแต่เมื่อล้มแล้ว ใครจะหายขยาดเร็วกว่ากัน แต่พวกเราก็จะระวังตัวกันมากขึ้น ไม่ให้การล้มครั้งต่อไปเหมือนครั้งที่แล้ว พูดให้ดูดี คือล้มให้มันเป็นท่าหน่อย

ถนนสายนี้มีรถใหญ่ค่อนข้างเยอะ  เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นถนนหลักจากหลวงพระบางสู่เวียงจันทน์และผ่านเมืองใหญ่หลายเมือง ดังนั้นสินค้าหลายอย่างเลยถูกส่งผ่านทางถนนซะมากกว่า แต่รถพ่วงที่นี้ก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจกับจักรยาน แต่จะเป็นรถตู้สำหรับนักท่องเที่ยวซะมากกว่า ที่บางครั้งหนิงถึงกับต้องกระโดดลงจากจักรยาน เพื่อหลบข้างทางก่อนที่จะถูกเสยเอา  แต่พวกเราก็เอาตัวรอดกันมาได้

หลังจากเราไหลลงเขามาจนปวดแขน เราก็เจอลำน้ำใหญ่ มีหมู่บ้านตั้งอยู่ที่นั้น ครั้งก่อนที่หนิงปั่นมาทางนี้ลำน้ำแทบจะไม่มีน้ำเลย โขดหินผุดเต็มไปหมด  แต่วันนี้น้ำเยอะมาก ดูกระแสน้ำแล้วก็น่ากลัวซะจริง ตกลงไปคงลอยตามน้ำหาทางขึ้นฝั่งไม่ได้แน่  พวกกลุ่มแรกไปรอเราที่ร้านอาหารแล้ว ซึ่งเราต้องป่ันขึ้นจากลำห้วยไปประมาณ 500เมตร ตอนนั้นแอบคิดว่าทำไมร้านอาหารมันไม่อยู่ที่หมู่บ้านข้างล่างนะ แต่พอถึงที่ร้านก็พอจะเข้าใจ เพราะเป็นจุดที่เห็นวิวแม่น้ำและมีห้องน้ำให้เข้าอีกด้วยสบายไป

พูดถึงห้องน้ำ มาปั่นเที่ยวลาวหนนี้ดีกว่าไปเมืองจีนอยู่อย่างไม่ต้องบุกป่าไปเข้าห้องน้ำธรรมชาติ เพราะตามทางมีห้องน้ำสาธารณะให้เข้า  ถึงจะต้องเสียตัง2000กีบก็ถือว่าสบายแล้ว ที่สำคัญมีน้ำทำความสะอาดส้วมด้วย ไม่เหมือนเมืองจีน ฉี่ซ้ำฉี่ซากเป็นอาทิตย์ เขาถึงจะมาล้างให้ เห็นแล้วงดข้าวไป7วันเลย

อาหารกลางวันมื้อนั้นไม่ได้พิเศษอะไรมาก พวกเรากินอาหารบ้านๆอย่างไข่เจียว ผัดผัก ไก่ทอด แต่ที่เด็ดคือน้ำพริกแมงดา  มันอร่อยกลมกล่อม กลิ่นหอมของแมงดามันกรุ่นมาก ทำให้หลายต่อหลายคนเจริญอาหารดีนักแล

หลังอาหารไม่นาน ขบวนก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง  พี่ยอดพบว่ายางล้อหลังรั่วเลยมีการเปลี่ยนยางกันก่อนออก เรื่องดีเรื่องหนึ่งของการเป็นลูกผู้หญิงเลยคือ เวลาต้องปะ เปลี่ยนยาง มักจะได้รับความอุปถัมป์จากชายหนุ่มเสมอไม่มากก็น้อย อาจเพราะขืนปล่อยให้หล่อนๆทำกันเองมีหวังอีกนานกว่าจะเสร็จ พี่ยอดก็เช่นกัน หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่สุมหัวกันมาช่วยสุดชีวิต

พอเปลี่ยนเสร็จ กลุ่มสาวๆก็ออกตัว  ขาแรงเขาไปก่อนอยู่แล้วแบบไม่รอใคร  จริงๆหนิงประมาณการจากช่วงเช้าว่าไม่น่าจะถึงเกิน4โมงเย็น  ตอนที่ออกตัวรอบบ่าย เวลาก็เพิ่งจะผ่านบ่ายโมงไปไม่นาน พี่ต๋องให้เวลาพักหลังทานข้าวแค่ไม่กี่สิบนาที หลายคนโอดครวญเล็กน้อยว่าโค้ชโหด  แต่พี่แกก็โหดจริงๆ  พี่หมู พี่หมีปั่นนำไปก่อน หนิงพี่โม่ พี่ก้อย พี่เอ๋ พี่ยอด พี่ไก่ และพี่วัช ปั่นเรียงลำดับกันมา และไม่นานหลังออกตัว พี่ยอดก็ยางแตกอีกรอบ คราวนี้ พี่วัชใช้เวลาสักพักค้นหาสาเหตุ อะไรมันจะแตกบ่อยขนาดนั้น ก็เลยพบว่าเพราะปลายสายเบรคที่แตกออกเป็นเส้นๆ มันเข้าไปครูดกับยาง จนทำให้ยางหมดลม หลังจากเจอสาเหตุ หมอใหญ่อย่างพี่วัชก็จัดแจงปิดแคสอย่างเรียบร้อย 

ช่วงบ่ายวันนั้นกลุ่มหลังปั่นหนีกันไม่พ้นสักที  ผลัดกันหนี แล้วไม่นานก็ต้องหยุดจนเพื่อนข้างหลังตามทันอีก เป็นอย่างนี้จนแดดเริ่มอ่อนแสง พวกเราปั่นกันความเร็วไม่ถึง 10กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย มองข้างทางก็เห็นแต่เขา มันบอกให้รู้ว่าวันนี้ที่สุดแล้ว เราก็ไม่มีทางลงจากเขาไปได้ จากเวลาที่หนิงคาดไว้  บ่าย3โมง
พวกเรายังกระดึบไปไม่ถึงไหน ระยะทางยังเหลืออีก 10กว่ากิโล  กำลังใจจากรถพี่ทองและพี่เยอว์ช่วยเราได้มาก ข้างทางที่เป็นร้านค้าขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พวกเราก็แวะถ่ายรูป  แต่จริงๆเป็นแค่ขออ้าง เราแอบพักกันต่างหาก ขนมที่หนิงพกมาจากเมืองไทยถูกหยิบออกมาแบ่งกันกิน พี่ๆขุดเอาเสบียงส่วนตัวออกมากันใหญ่ เค้กรสชาตดีจากหลวงพระบางเราก็เอามาแบ่งกัน  เกือบ4โมงเย็นแล้วที่พวกเราถึงกับลงไปกองกันข้างถนน แบบออกอาการกันมาก แต่ใจทุกคนก็พร้อมสู้ ไม่มีใครยอมขึ้นรถแม้แต่คนเดียว ข้างทางยังเป็นภาพเดิมๆ ที่ยิ่งเห็นในเวลานั้นยิ่งหดหู่ เขา เขา เขา แต่ยังดีหน่อยที่แสงแดดเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ  แล้วในที่สุด 3สาวพี่ก้อย พี่เอ๋ พี่ยอด ก็มาจุดชมวิวซะก่อน ภาพเบื้องหน้า มีแต่เขาสลับซับซ้อน มองไปไกลๆ เห็นหมู่บ้านเล็กอยู่ข้างหน้า  หนิงแอบคิดในใจว่า ถ้าหมู่บ้านที่เห็นคือกิ่วกะจำ หนิงคงขอขึ้นรถดีกว่า เพียงแต่หนิงรู้จากหลักกิโลว่า กิ่วกะจำมันอยู่อีกไม่ไกลเลย

พี่วัชกับพี่ไก่ตามมาทีหลัง ชี้ชวนให้พวกเราดูภูคูน ที่หมายที่เราจะต้องไปในวันพรุ่งนี้ โอ้พระเจ้า นี้ยังมีเขาต่ออีกวันหรือในวันพรุ่งนี้  แต่ช่างมันเถอะ อนาคตยังอีกไกล เอาวันนี้ให้ถึงก่อนดีกว่า  ว่าแล้วหนิงกับพี่โม่ก็ออกเดินทางต่อ  เสียงพี่ทองกับพี่เยาว์บอกว่าอีกนิดเดียว ลงไปนิดเดียวก็ถึง หนิงกับพี่โม่ตั้งหน้า ตั้งตาปั่น ไหนวะนิดเดียว  ยิ่งปั่น ก็ยิ่งขึ้น  ไม่เห็นมันจะลงเขา ลงเนินตรงไหน  ปั่นขึ้นชัดๆปั่นจนผ่านระยะที่พี่ๆเขาว่า หนิงก็รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ไอ้กิโลแม้วที่คนแม้วเขาบอกนั้นมันเป็นยังไง  ความเคยชินของแม้ว นิดเดียวก็ถึง  แต่สำหรับเรา มันเป็นระยะทางที่แสนไกล แต่ในที่สุด เราก็มาถึงจนได้ กว่าจะมาถึง เล่นเอาหนิงกับพี่โม่หมดสภาพไปตามๆกัน พวกพี่ๆที่มาถึงก่อนมุ่งหน้าอาบน้ำ ซักผ้า แล้วมานั่งรอพวกเราอยู่  โกแอนวิ่งออกมาต้อนรับพวกมาถึงใหม่อย่างเอาอกเอาใจ  หนิงกับพี่โม่จัดแจงรีบเก็บรถและเลือกห้องนอน

โอ้แม่เจ้า ห้องนอนที่นี้จะเรียกว่าอะไรดี ห้องเล็กๆที่แค่เตียงก็จะเต็มห้องอยู่แล้ว ผ้าปูที่นอนทียู้ยี้จากการผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน พัดลมกับปลั๊กไฟที่ห่างกันเป็นโยชน์ หนิงได้แต่คิดถึงคำผู้ผ่านมาก่อนทั้งหลายที่บอกว่า “มันไม่ใช่โรงแรม  แต่มันเป็นโรงเตี๊ยม” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเราไม่มีใครเลือกได้ ดีที่ว่าหนิงแอบบอกสาวๆให้เตรียมเครื่องนอนมาเฉพาะ ไม่งั้นคงมีคนโวยหลายคน โดยเฉพาะออย ขานี้คงยอมนั่งหลับเลยทีเดียว 

หนิงอาบน้ำซักผ้าเพื่อจะใช้ต่อในวันถัดไป เวลาเราออกทริป เราไม่สามารถเอาเสื้อผ้ามาได้แบบเต็มที่ หลายคนซักผ้า แห้งบ้าง เปียกบ้าง บางทีก็หนีบผ้าปั่นไปตอนเช้า พอสายๆเจอแดดหน่อยผ้าแห้งค่อยเก็บเข้ากระเป๋า ราวตากผ้าวันนั้นจองกันเต็มเลย หลังจากซักผ้าเสร็จ ถึงคราวต้องอาบน้ำ ห้องน้ำรวมที่นี่น้ำเย็นเจี๊ยบรอเราอยู่  แต่มันให้ความสดชื่นกับเรามากยามเรามาแบบเหนื่อยล้า มันเรียกความสดกลับคืนมาได้บ้างไม่มากก็น้อย

หัวค่ำ อาหารเย็นก็เริ่มขึ้น หลายคนบ่นๆช่วงหลังของการปั่นจักรยานวันนี้ เพราะทั้งแดดทั้งระยะทางชวนให้เลิกปั่นอยู่ร่ำไป  พี่วัชบอกพวกเราว่า พรุ่งนี้สบาย ปั่นไปไม่นานก็ลงเขา ยาว  เดี๋ยวก็รู้ว่ามันจะจริงอย่างที่ว่ารึเปล่า

กิ่วกะจำคืนนั้นไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิด หัวค่ำแล้วร้านค้าอาจจะปิดร้านกลับบ้านนอน  แต่นักเดินทางอย่างรถสิบล้อวิ่งพุ่งเข้ามาจอดกันเต็ม  แต่เสียใจด้วย วันนี้ที่โรงเตี๊ยมนี้เต็มแล้ว เชิญโรงข้างๆได้เลย

คืนนั้นหนิงกับพี่โม่ตัดสินใจไม่ปิดไฟนอน  ใครจะไปนอนลง ลองปิดไฟดูตอนหัวค่ำ  มองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง กลัวว่าดึกๆนอนๆไป จะเห็นคนไม่พึงปรารถนาอยู่ในห้องด้วย  สู้เปิดไฟนอนดีกว่า เห็นกันจะแจ้งดี เราเข้าไปซุกหัวมุดอยู่ในถุงนอนแบบตัวใครตัวมันตั้งแต่2ทุ่ม ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น  แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี   คืนนั้นหากปิดไฟนอนคงเป็นคืนที่หนิงลืมไม่ลง แล้วหนิงก็คิดถูกเพราะรุ่งขึ้นหลายคนที่ปิดไฟนอนกลับนอนหลับไม่เต็มตา ใครจะนอนลง จินตนาการมันพุ่งเข้ามาในความคิดไม่มีหยุดหย่อน ต่อให้ห้ามความคิด แต่บรรยากาศเงียบสงัด ในห้องแคบๆที่อับชื้น ดีหน่อยตรงที่ไม่ได้กลิ่นตุๆ แต่ที่แน่ๆ ขนาดหนิงเปิดไฟนอน ตอนดึกยังถูกเขย่าขา อะไรเขย่าไม่รู้  รู้แต่ว่าตื่นมาเพราะถูกเขย่า แถมตอนลืมตามามอง ขาก็ยังสั่นจากแรงเขย่าอยู่เลย พอหันไปมองคนข้างๆ  เห็นคนนั้นนอนนิ่งสนิท อ้าวแล้วใครเขย่าขาตูวะ  ว่าแล้วก็คลุมโปงนอนต่อดีกว่า เปิดไฟขนาดนั้น เห็นกันจะๆขนาดนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ ก็ไม่อยากจะหาแล้ว นอนดีกว่า  ตัวใครตัวมัน….

นางฟ้า