วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวชมน้ำท่วมพระนคร

สืบเนื่องจากการเกิดน้ำท่วมโดยไม่มีใครคาดคิดที่โคราช ทำให้เป็นประเด็นร้อนที่น่าติดตาม ผู้หญิงอยากรู้อย่างหนิง เลยชวนพี่อ๊อดที่ก็อยากรู้ ไปดูเหตุการณ์น้ำท่วมด้วยกัน

การท่องเที่ยวโดยไม่ได้กำหนด เกิดขึ้น ในสายของวันทำงาน แต่สองสาวก็เดินทางออกจากบ้านโดยรถสาธารณะ ระดับคนมีตังค์เขาใช้บริการ แท๊กซี่ถูกเรียกจากหน้าปากซอยบ้
านหนิง มุ่งตรงไปยังปากคลองตลาด หนิงกะพี่อ๊อด นั่งคุยกันจ๊อกแจ๊กหลังคนขับ โดยลุงคนขับพาขึ้นทางด่วน ไปลงยมราช รถสายวันนี้ไม่ได้ติดมากมาย แค่ติดแบบเมืองๆเท่านั้น เรานั่งคุยกันไป จนลุงคนขับเลี้ยวรถผ่านมนต์นมสด หนิงเลยนึกออกว่าเราไม่ควรไปปากคลอง แต่ควรหาอะไรทานในที่เหมาะสม หนิงนึกไปถึงร้านอาหารที่เคยทานใกล้กับศาลเจ้าพ่อเสือ หนิงบอกให้ลุงกลับรถไปอีกทาง หนิงกับพี่อ๊อดลงจากรถ พี่อ๊อดนะงงแน่ๆ เพราะไม่เคยมา แต่หนิงออกอาการสับสนนิดหน่อย แล้วก็เลยไปถามทางแม่ค้าดีกว่า ว่าวัดราชบพิตรไปทางไหน แม่ค้าผู้ใจดีบอกว่าเลยธนาคารก้ถึง ฮ่ะฮ่ะ แค่ 20 เมตรเอง

เราเดินเลยมาอีก บนถนนตะนาว จนในที่สุดเรามาเจอถนนแพร่งภูธร ถนนนี้พี่อ๊อดบอกว่าอยากมานานแล้ว เพราะเห็นออกทีวีว่ามีของกินดีๆ หนิงเดินนำพี่อ๊อดมาเจอที่ที่หนิงอยากพามา คือร้าน โชติจิตร ร้านนี้หนิงมาลิ้มลองเมื่อปีก่อน เป็นร้านอาหารไทยเล็กๆ ที่ทำอาหารเฉพาะโต๊ะ และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ที่ร้านมีพี่สาวคนหนึ่งเป็นแม่ครัว และมีคุณป้าไปคนรับ order หนิงกับพี่อ๊อดสั่งอาหาร มา3อย่าง มีกุ้งกระเทียมพริกไทย เราสั่งกุ้งเล็ก ปลาทอดกับยำมะม่วง และต้มข่าเนื้อเค็ม อาหารกว่าจะมา หนิงกับพี่อ๊อดก็รู้จักกันมากขึ้น จริงๆแล้วหนิงกับพี่อ๊อดเหมือนคนที่เดินมาเจอกัน แล้วถูกอกถูกใจ ชอบอะไรที่เหมือนๆกัน เลยเดินมาด้วยกัน

พี่อ๊อดเล่าว่าในแพร่งภูธร ยังมีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยอีกเจ้า เรานั่งคุยกันจนในที่สุดอาหารเราก็มา อาหารอร่อยถูกปาก จะติดขัดก้แต่ต้มข่าที่ยังไม่ได้ดังใจ

เรานั่งทานจนอิ่มหน่ำ ป้าเจ้าของร้านบอกเราว่าถ้าเป็นกุ้งใหญ่ทอดกระเทียมจะอร่อยกว่านี้ ส่วนปลาที่ทอดกินกับยำมะม่วงคือปลาเก๋านั้นเอง เรา
สนทนากับป้านิดหน่อย ดูป้าใจดี แต่ก็ดูมีอำนาจอยู่ในที

หลังอาหารเราออกเดินเข้าไปดูในชุมชนนั้น ครั้งหนึ่งที่หนิงไปที่นั้นเป็นช่วงมืดค่ำ เลยเห็นอะไรไม่ถนัดตา วันนี้ที่เดินเข้าไป หนิงรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่พบเห็น บ้านเรือนแถวนั้น ยังคงสภาพดั่งเดิมอยู่ อย่างไม่น่าเชื่อ หากได้รับการซ่อมแซมเสียหน่อย ชุมชนนี้ ขายได้เลยทีเดียว ชาวบ้านแถวนั้นมีหลากหลายอาซีพ ทั้งขายอาหาร ขายเสื้อผ้า หรือแม้แต่ช่างรถ เราแอบเห็นสิ่งก่อสร้างที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ แต่ยังดูไม่ออกว่ามันสามารถอยู่ได้อย่างกลมกลืนกับสิ่งปลูกสร้างเดิมไหม หากมันแตกต่าง ก็อยากจะบอกผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ทีหน้าทีหลังช่วยถ่างตาและเปิดโลกทัศน์ท่านให้มันมากกว่านี้นะจ๊ะ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป

เราเดินมาเจอร้านขายไอติม ร้านนี้พ่อต้องชอบแน่ๆ เพราะขายไอติมกะทิแบบดั่งเดิม ไม่ผสมแป้ง กินแล้วชื่นใจ หนิงกับพี่ อ๊อดก็จัดกันไป

เราทักทายกับครอบครัวผู้ดีครอบครัวหนึ่งที่ไปเดินเล่นแถวนั้น เขาเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่เมืองไทย เพราะเราทำท่าเหมือนนักท่องเที่ยวมากกว่า การที่เราได้ทักทายพูดคุยกับคนแถวๆนั้น เราสองคนรู้สึกดีที่คนไทยยังยิ้มและทักทายกัน แม้ในเมืองใหญ่ เพราะหนิงจะเจอการทักทายยิ้มแย้มมากกว่าในต่างจังหวัด

เราสองคนเริ่มที่จะสนุกกับการท่องเที่ยวในวันนี้ หนิงถามพี่อ๊อดว่า เดินไปท่าน้ำไหม พี่อ๊อดยินดีไม่มีอิดออด เราเดินตัดออกมาทางคลองด้านหลังกระทรวง เดินเลยมาจนถึงพระมหาราชวัง เราเดินเลาะ ไปทางสวนสราญรมย์ และเราก้เห็นรถที่ก.ท.ม. นำมาให้เช้า ดูแล้วสภาพดีจัง น่าปั่น แต่รถในเมืองเยอะเกินไปสำหรับพี่อ๊อด เราเลยเลือกที่จะเดินต่อ

เราข้ามถนนไปทางท่าเตียน ผ่านวัดโพธิ์ มองเห็นรถใหญ่จอดกันเต็ม ข้างในคงมีแต่ชาวต่างชาติ เราเดินผ่านไปเพราะวันนี้ไม่ได้มีประสงค์จะเข้าวัดนี้

หนิงชะเง้อมองหาน้ำ จนไปเจอเอาท่านึง เห็นน้ำเอ่อนอง สองสาวเดินเข้าไปดู เห็นน้ำล้นมาตรงท่าเรือ มีกระสอบทรายวางกั้นไว้แล้ว และยังเห็นรถบรรทุก กำลังลำเลียงกระสอบทราบลงมาอีก มุมนี้เป็นมุมนึงที่หนิงคิดว่าสวย classic ในที เพราะมันเป็นย่านขายของส่ง สารพัด เดินเข้ามาเป็นท่าเรือ แต่พอมองตรงไปด้านหน้า เราจะเห็น พระปรางค์วัดอรุณ สวยงามทีเดียว ครั้งหนึ่งในวัยสาว เคยมานั่งชมพระอาทิตย์ตกกับชายหนุ่มที่กำลังดูใจขณะนั้น ถึงเวลาจะผ่านไป แล้วเราก็ไม่ได้มากับเขาคนนั้น แต่มุมนี้ถือเป็นมุมในดวงใจจริงๆ

หลังจากระลึกความหลังอยู่คนเดียวเสร็จ หนิงกับพี่อ๊อดก็เดินโซเซกันต่อ เราเห็นหลายๆซอยแถวนั้นกั้นกระสอบ และมีเครื่องดูดน้ำ กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เรายังคงเดินไปเรื่อยจนถึงร้านกาแฟ ออรั่ม เป็นร้านกาแฟริมน้ำ ตรงข้ามวัดประยูร เราสองคนเลยมานั่งหาอะไรเย็นๆดื่มแก้ร้อน อันที่จริงวันนี้ก้ไม่ได้ร้อนอะไรนัหนา อากาศเริ่มจะเย็นลงซะด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้จะดื่มอะไรเย็นๆ ก้ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาได้ เพียงแต่รู้สึกสบายๆ เรานั่งคุยกันตามประสาคนคอเดียวกัน

จะว่าไปหนิงเองก็เพิ่งรู้จักพี่อ๊อดได้ไม่นาน พี่อ๊อดเป็นแอร์รุ่นพี่ สนิทสนมกับพี่ปันหยาภรรยาสุดรักของพี่ต๋อง พี่ชายที่แสนดี
เอาเป็นว่าเราจะหยุดท้าวความถึงตนอื่นที่พี่ต๋อง กลับมาที่พี่อ๊อด หนิงเคยบินกับพี่อ๊อดแค่ครั้งเดียว จำไม่ได้ว่าไปไหน เพียงแต่พอคุยกันไปมา ก็นับญาติกันได้ลงตัว เดิมพี่อ๊อดมีเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ตอนนี้เพื่อนพี่อ๊อดออกเรือนไปแล้ว พี่อ๊อดเลยคาดคู่คิดไป ประจวบเหมาะกับหนิงเริ่มคุยกับพี่อีอดทาง face book อย่างงอมแงม เราเลยเผยคุณสมบัติส่วนตัวของกันและกัน จนพบว่า พี่อ๊อดและหนิง น่าจะลองไปผจญภัยด้วยกัน

หลังจากทำความรู้จักในร้านกาแฟ หนิงบอกพี่อ๊อดว่า
เราข้ามฝั่งไปอีกฝั่งกันเถอะ ถ้าไม่ได้ยังไง ค่อยเดินเล่นที่สยามมิวเซียมแทน เราตกลงกันตามนั้น เส้นทางเราต้องผ่านโรงเรียนราชินี ข้ามคลองเล็กๆข้างๆโรงเรียนแล้วเลี้ยวขวาไปท่าน้ำ เราเดินจนถึงท่าน้ำ ก็เห็นกลุ่มคน 4-5คนนั่งขวางทางเข้าท่าเรือ หนิงถามว่า 'พี่คะ ท่าเรือปิดเหรอคะ' พี่เขาบอกว่าไม่ปิดหรอก เพียงแต่ให้เดินอีกทาง พอเราเดินไปอีกด้าน เราก้เห็นน้ำที่เอ่อท่วมขังตรงทางขึ้นโป๊ะ แต่ไม่สูงนัก เราตัดสินใจข้ามไป ถ้าไม่ดีนัก เราก็นั่งเรือกลับไม่ได้เสียหาย

เรือพามาส่งหน้าโบสถ์ซานตาครูส เราลงเรือท่านี้แล้วเดินต่อไปหน้าวัดกัลยาณมิตร อันที่จริงแล้ว เรานั่งเรือต่อไปได้ เพราะเรือขับส่ง3ท่า แต่เราก้เดินเล่นดูบ้านแถวนั้น หนิงบอกพี่อ๊อดว่าบ้านแถวนี้สวย ถ้าเป็นหนิง หนิงจะทำ guest house พี่อ๊อดขำหนิงใหญ่ เพราะคือสิ่งเดียวที่หนิงพูดอยู่เรื่อยๆ

ที่วัดประยูร เราได้ไปไหว้ พระประธานพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง หลวงพ่อองค์นี้เป็นที่นับถือของคนไทยเชื้อสายจีนในละแวกนี้ ทุกปีก็จะมีง
านไหว้ต่างๆตามประเพณีจีน

จากนั้นเราก็เดินย้อนกลับไปทางโบสถ์ฝรั่ง เราเห็นเด็กๆเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน มันทำให้เรานึกถึงวันที่เราเด็กๆแล้วเล่นซนอย่างนี้(เราแก่แล้วหรือนี้ ถึงได้ระลึกความหลัง)
หนิงพาพี่อ๊อดเข้าซอยชุมชนกุฎีจีน ข้างๆโบสถ์ มองจากในซอย เราจะเห็นโบสถ์ในอีกมุม เราเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นบ้านเล็กบ้านน้อย หลังขนาดกำลังน่ารัก เดินไปสุดซอยเลี้ยวขว
า เดินต่อไปอีกนิด จะเจอบ้านที่มีกลิ่นตลบอบอวลไปด้วยความหอมของขนมอบ ใช่แล้วบ้านหลังนั้นทำขนมฝรั่งกุฎีจีนนั้นเอง หนิงมากี่ครั้งก็ต้องซื้อกลับบ้านไปเสมอ เพราะคนที่ชอบคือคุณพ่อบังเกิดเกล้า บางทีก็ซื้อเผื่อแจกคน คราวนี้ก็ซื้อกลับไปให้พี่ๆนักปั่นได้กินกัน เราเยี่ยมชมกิจการจากประตูด้านนอก ร้านนี้เขาจะมีสุนัขตัวนึงเป็น ลาบาดอร์ น่ารักมาก เพราะมาคราวแรก เธอก็วิ่งมารับถึงปากทางเข้าบ้าน แล้วยังเดินนำไปจนถึงบ้าน น่ารักจริงๆ แต่วันนี้ไม่เห็นเธอ เพราะเขาไปอยู่บ้านด้านใน

หนิงยังคงพาพี่อ๊อดเดินไปเรื่อยๆ โดยไปวัดประยูรวงศาวาสต่อ ขณะที่เดินกันไป ก็ถึงคราวพี่อ๊อดระลึกความหลังบ้างว่าสมัยก่อน พี่อ๊อดเป็นคนฝั่งธน จะไปเรียนทีก็ต้องนั่งเรือข้ามฝั่ง บ้านพี่อ๊อดก็จะคล้ายๆชุมชนกุฎีจีน พี่อ๊อดยังเล่าว่า เมื่อก่อนถ้าบ้านไหนทำอาหารอะไร เขาก็จะแบ่งแจกจ่ายไปทั้งซอย พี่อ๊อดเล่าประวัติคร่าวๆ จนในที่สุดเราก็กลับมาที่ท่าน้ำโบสถ์ซานตาครูส เด็กๆยังคงเล่นน้ำกันอยู่ ถึงแม้ว่าข
ณะนั้นจะเป็นเวลา 5โมงเย็นแล้ว แต่จังหวะชีวิตอย่างนี้คงหาได้ไม่ง่าย พ่อ แม่ทั้งหลายก็มายืนดูลูกๆ หนิงได้ยินเสียงแม่ๆปรามลูกว่า อย่ากระโดน้ำแรงเวลาคนเดินผ่าน นึกแล้วก็ขำ คนเป็นแม่มักเป็นอย่างนี้เสมอ

หนิงกับพี่อ๊อดเดินกลับไปท่าน้ำเดิมที่เราลง เรานั่งรออยู่พักใหญ่เรือก็มา เรื่องเรือข้ามฟากมันทำให้หนิงนึกย้อน (ย้อนอีกแล้ว) ว่าสมัยก่อน ค่าข้ามเรือมันแค่ บาท 2บาทเอง ตอนนี้ 3บาท 50สตางค์ ก็ตลกดี มีเศษสตางค์ด้วย

เมื่อเรากลับมาฝั่งพระนคร
พี่อ๊อดสอบถามแม่ค้าแถวนั้นว่าน้ำท่วมขนาดไหน แม่ค้าบอกว่าน่าจะมาก่อนหน้านี้สัก 2-3วัน เพราะน้ำขึ้นสูงมาก วันนี้น้ำลงไปเยอะแล้ว น่าเห็นใจคนอยู่ริมแม่น้ำจริงๆ ตอนเด็กๆ หนิงก็อยากอยู่บ้านริมน้ำ แต่ตอนนี้ หนิงก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน

เรายังคงเดิน นับจากลงรถแท๊กซี่
ก็ใช่วิธีเดินตลอด ผ่านปากคลองตลาด จนถึงท่าน้ำใต้สะพานพุทธ หนิงบิกพี่อ๊อดว่าเดี๋ยวเรานั่งเรือไปขึ้นแถวสาธร แล้วต่อรถไฟฟ้ามหานคร ไปหมอชิตกัน เราตกลงตามนี้ แต่ว่ารอเรือด่วนมุ่งหน้าพระยาไกรนานแสนนานก็ไม่มาซะที เลยตัดสินใจเปลี่ยนทิศ นั่งเรือไปบางโพแทน เพื่อขึ้น รถใต้ดินกลับบ้าน เรานั่งกินลมชมวิวกันไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ถึงบางโพ ต่อตุ๊กตุ๊กอีกนิดหน่อย เราก็มาถึงใต้ดิน

วันนี้เราสองคนค่อนข้างจะสะบักสะบอมจากการเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ แต่ถึงยังไง การเดินชมน้ำท่วมคราวนี้เราก็ได้เจออะไรหลายอย่าง อย่างน้อยเราก็รู้จักกันมากขึ้น หนิงร่ำลาพี่อ๊อด ก่อนจากกัน เราตกลงว่าจะไปออกทริปกันอีก คราวหน้าจะไปไหนยังไม่ตกลง แต่ก็เป็นเรื่องผจญภัยกันแน่ๆ


เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่2 Warm up warm up

ปั่นเที่ยวจีน ตอนที่2 Warm up warm up

คืนนั้นหนิงเข้านอน Home Stay พร้อมกับออย ครอบครัวพี่ไกด์ น้องมุก และ Lily เรานอนกันในห้องเอนกประสงค์ ฟูกถูกวางเรียงติดๆกัน ผ้าห่มอย่างหนา ตราช้าง คงเพราะหน้าหนาวคงหนาวเอาเรื่อง ช่วงหัวค่ำร้อนเอาเรื่อง แต่ช่วงใกล้รุ่ง อากาศนาเย็น เข้ามาแทนที่ ผ้าห่มถูกเท้าเขี่ยขึ้นมาห่มบนอก หนิงค่อนข้างจะไม่สบายมาก่อนหน้า เมื่อเจออากาศที่แปรรวนรวนเรเร็วขนาดนี้ อาการ ไอก็กำเริบ ทำให้การนอนไม่ดีนัก ดีแต่ว่าพก ear plug มาอุดหู กลัวเสียงกรน ของพี่ทั้งหลาย ก็พอที่จะทำให้งีบได้เป็นช่วง ช่วง

หนิงได้รับความสั่นสะเทือนจากพื้นกระดานในช่วงเช้า ที่ชาวบ้าน ลุกขึ้นมาหุงหาอาหารให้พวกเรา ถึงแม้จะรู้สึกตัว แต่อากาศามเช้าก็สบายเกินกว่าที่จะทำให้เราลุกขึ้นมาได้

เราเริ่มตื่นกันจริตอน 6โมง หนิงรีบเข้าห้องน้ำก่อ ห้องน้ำที่นี้อยู่บนเรือนด้านหลัง ที่นี้เขาทันสมัย มีน้ำร้อนอาบด้วย แต่ต้องผสมดีๆเวลาอาบ ไม่งั้น กลายเป็นหมูลวกแน่ๆ

หลังเสร็จภาระกิจส่วนตัว พวกเราเก็บข้าวของทยอยกันเอาไปเก็บในรถบรรทุกคันใหญ่ อาการเช้าจัดให้เป็นห่อๆ เผื่อว่าใครกินไม่หมดก็เอาติดตัวไปกินระหว่างทางได้ หนิงเหลือข้าวเหนียวเป็นก้อ เลยขอพกติดตัวไว้ก่อน กลัวหิวตาลายเวลาปั่น พวกเราจัดแจงเช็คจักรยานก่อน เพราะการขนย้ายอาจทำให้ ต้องเซ็ตกันใหม่ ทุกคนเตรียมน้ำ หนิงมองไปบนฟ้า ท่าทางอากาศไม่เป็นใจ ท้องฟ้าปิดๆ สงสัยฝนตกแหงๆ แต่อีกใจ หนิงก็แอบ ขอฟ้าฝนให้ไปพักผ่อนบ้าง

เช้านี้หนิงเห็นพี่ผู้ชายคนหน่ึงนั่งอยู่ พี่เขาดูรถให้ว่าคันไหนมีปัญหา ต้องได้รับการแก้ไขก่อนออกเดินทาง หนิงเดินข้าทักทาย แนะนำตัวเองกับพี่ พี่เขาบอกว่าชื่อวัชระ เป็นการแนะนำตัวสั้นๆง่ายๆ ไหนๆก็ต้องร่วมเดินทางกัน ไม่รู้จักกันก็กระไรอยู่ แล้วพี่วัชระ คนนี้นี่ละ เป็นเพื่อนปั่นกับพวกเราทุกคน และยังให้ความรู้กับพวกเราได้ในเกือบจะทุกๆเรื่องที่เรสงสัย ทั้งเรื่องเส้นทาง และผู้คนพื้นเมืองในที่ต่างๆ

เราได้รับแจกวิทยุสื่อสารคนละตัวสำหรับนักจักรยาน และสำหรับรถบรรทุก และรถVan ใช้เมื่อเวลามีเหตุ และคอยบอกทางต่าง แต่สำหรับหนิงแล้ว ชอบใช้ร้องเพลงและทำลายความเงียบเป็นที่สุด หลายครั้งที่วกเราใช้แทนไมโครโฟนมากกว่าจะเป็นวิทยุสื่อสาร แต่มันเป็นอย่างเดียวที่ทำให้การปั่นขึ้นเขามีความสุขมากขึ้น

ก่อนออกเดินทางมีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เราเห็นป้าใหญ่ๆ ติดอยู่ที่หมู่บ้าน เป็นป้ายการปั่นปีหน้า ที่จะปั่นเฉลิมฉลอง ในหลวงและพระราชินี โดยปั่นไป6ประเทศ

เราจึงรู้ว่า ปีหน้าจะมี ทริปใหญ่ที่พี่ๆเขาจัดขึ้นผ่านมาเส้นนี้อีกด้วย พวกเราจึงเหมือนมีประกายในดวงตา อยากจะมาร่วมปั่นกับเขาบ้าง แอบถามพี่วัช กับพี่เยา ก็ได้ความว่าเราสามารถมาร่วมแจมเป็นช่วงๆ แล้วแต่ใจปรารถนา

หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จ พวกเราเริ่มทยอยออกกัน หนิงมัวแต่วุ่นวายกับของส่วนตัว กว่าจะออกก็เกือบจะท้ายสุด ก่อนออกยังไม่วาย ถูกเจ้าเกาะเหวี่ยงใส่ เหวี่ยงที่ว่าคือ เหวี่ยงกระเป๋าที่มีกล้อง Leica M6 ลงพื้นรถดังโครม ขนาดว่าหนิงยืนอยู่ไกลยังได้ยินเสียงชัด จะโทษเกาะก็ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวดันวานให้พ่อหนุ่มน้อย เอากระเป๋วางพื้น แต่เด็กนะ วางกับเหวี่ยงนะ มันก็คล้ายๆกัน เพราะของก็อยู่ที่พื้นเหมือนกัน หนิงได้แต่โวย และก็ปั่นออกไปแบบเซ็งหน่อยๆ หนิงปั่นมคอยพี่ๆหน้าปากทาง เพราะไม่รู้ว่าต้องไปซ้ายหรือขวา เนื่องจากลุ่มหน้าได้ออกไปก่อนนานแล้ว

กลุ่มสุดท้ายที่ออกไป มีหนิง พี่ชาย พี่บี๋ และพี่วัชระ เราปั่นออกไปไม่ไกล ยังไม่ทันได้ warm อะไร เราก็ต้องไต่เขากันแล้ว เส้นทางที่เรากำลังไปกันเป็นที่รู้ว่า เราจะต้องไต่เขาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในวันที่ 3และ 4 แต่วันแรกๆ ก็มีเขา แต่ก็ไม่สูงชันมากนัก

สองข้างทางเป็นป่าเขาบ้าง สวนยางบ้างสลับกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็คือสวนยาง อย่างที่บอกในตอนแรกว่าเขตนี้ ปลูกยางพาราเยอะมาก หลายสวนมีการกรีดกันแล้ว หลายคนยังอาจสงสัยว่าทำไมยางพาราถึงมาปลูกในเขตหนาวได้ ทั้งที่บ้านเราปลูกกันชุกในภาคใต้ เพราะยางพาราชอบน้ำมาก ตอนนี้โลกเราเปลี่ยนไปแล้วคะ การเพาะพันธุ์ หรือพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ เรามักจะ ได้ยินกัอยู่เรื่อยๆ ยางพาราเองก็เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพราะความจำเป็นในการใช้ยางมีมากขึ้น ถ้าการปลูกยางยังจำกัดอยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตรลกเราก็คงจะลำบาก ดังนั้น พันธุ์ยางจึงถูกพัฒนาให้มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมากขึ้น บวกกับความสามารถทางการเกษตรที่พยาามจะเอาชนะรรมชาติ การปลูกยางเหนือเขตเส้นศูนย์สูตรจึงเริ่มขึ้น บ้านเราเองตอนนี้ก็มีการปลูกมากในเชียงราย เชียงใหม่ ส่วนทางอีสาน ก็มีการปลูกมากเช่นกัน

แต่การปลูกยางที่นี่อย่างที่บอกในตอนแรกว่าเป็นการปลูกแบบขั้นบันได พราะเขาที่นี้สูงและชัน การปลูกจึงต้องมีเทคนิคกันหน่อย นอกจากยางขั้นบันไดแล้ว เรายังได้เห็น กล้วยขั้นบันไดด้ว ในส่วนที่เป็นที่ราบ เราจะมองเห็นไร่กล้วย เป็นพันๆไร่ทีเดียว กล้วยที่เห็นเป็นกล้วยหอม แต่จะใช่กล้วยหอมทองแบบบ้านเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ไปชิม มีที่พี่พงษ์เอามาให้ เป็นกล้วยน้ำว้า ใหญ่เท่ากล้วยหอมบ้านเรา แต่รสชาติกล้วยบ้าเรา อร่อยกว่าเยอะ เล็กแต่หวานกว่า

กล้วยหอมที่นี้ ตอนแรกคุยกันกับพี่หมู ยังคิดว่าส่งออกแหงๆ เพราะปลูกเยอะเหลือเกิน ที่ไหนได้ เขาปลูกขายในประเทศ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า ประเทศมันใหญ่อะไรขนาดนั้น

ภูมิภาคถบนี้นอกจากพืช 2ชนิดที่เห็น เราเริ่มเห็นชา แน่นอนละ เพราะเป็นประเทศที่ดื่มชา เป็นอันดับต้นแน่ๆ และก็เป็นประเทศแรกที่รู้จักการดื่มชา

แต่ยอดชาที่หนิงแอบเห็นเขาเก็บ เป็นยอดค่อนข้าง ใหญ่ ใหญ่กว่าที่เคยเห็นบนดอยแม่สลองเยอะ อาจจะเป็นคนลพันธุ์กันก็ได้ ตอนแรกที่พวกเราปั่นผ่านไร่ชา เราก็ตื่นเต้น แต่ไปๆมาๆ เราเริ่มจะชิน แล้วก็รู้สึกเฉยๆไปในที่สุด

วันนี้เรามีชาวจีน 3คนมาปั่นด้วย เป็นเพื่อนพี่เยาที่ สิบสองปันนา พูดภาษาไทยได้ดีทีเดียว ช่วงแรกๆเราไม่คุ้นเท่าไร เพราะคิดว่าพี่เขาพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่พอรู้ว่าเขาพูดได้ เราก็ถามโน่นนี้ไปเรื่อย พี่เขาชื่อสิงคำ เขาจะช่วยดูแลและสำรวจทางให้เราเป็นระยะ ซึ่งก็ทำให้เราอุ่นใจที่มีคนดูแลเรามากขึ้น คณะที่ดูแลเราพูดไทยได้หมดยกเว้นคนขับรถvan ขนาดคนขับรถบรรทุกชื่อพี่หยงยังพูดไทยได้เลย เพราะเคยอยู่แม่สายมาก่อน

หนิงปั่นออกมา ไต่เขามาเรื่อย ตามพี่บี๋มาห่างๆ แต่พี่บี๋ อาศัยแรงดี รถดี ปั่นท้ิงหนิงไว้ข้างหลัง จากนั้นหนิงก็ค่อยๆทิ้งพี่ชายไว้ข้างหลังบ้าง เพราะพี่ชายมีพี่วัชระดูแล และพี่ชายแวะถ่ายรูปบ่อยเหลือเกิน หนิงปั่นผ่าน ชาวจีนทั้ง 3 ค่อยๆมา จนกระทั่งมาเห็นพี่ไกด์กับออยปั่นอยู่ข้างหน้า ในกลุ่มที่เราปั่นกัน เราจะไม่ได้ปั่นประกบกันเท่าไร แต่ถ้าปั่นสุดท้าย จะมีคนปั่นด้วยแน่นอน แต่ถ้าปั่นช่วงหน้าๆถึงกลางๆ อาจจะต้องปั่นคนเดียว เพราะการปั่นจักรยาน อยู่ที่แรงฝีเท้า ของใครของมัน ยิ่งเวลาขึ้นเขาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพู ใครแรงดีก็ถึงยอดก่อน ใครแรงน้อย ค่อยๆไปก็ถึงเหมือนกัน เราขึ้นเขามาไม่นานก็ลงเขา มองดูเหมือนสัจธรรมในชีวิตยังไงไม่รู้ ชีวิตมีขึ้น ก็ต้องมีลง เหมือนปั่นจักรยานขึ้นเขา ปั่นขึ้นนะเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ในความเหนื่อยในชีวิต บางครั้งเราก็ได้รับความรู้สึกดีๆ จากเพื่อนที่ดี หรือ มีเหตุการณ์ดีเข้ามา เหมือนอย่างปั่นขึ้นเขาแล้ว เอนโดรฟีนหลั่ง ความรู้สึกแห่งความสุขก็เข้ามาในระหว่างนี้

ส่วนตอนลงเขา คนปั่นจักรยานก็ชอบทุกคน เพราะมันสบาย ไม่ต้องออกแรง แต่ความสบาย ถ้าเราปล่อยใให้เพลิดเพลิน เราจะรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็ว ก็เปรียบได้กับชีวิต ช่วงไหนดีๆ รุ่งๆ ก็แค่ชั่วแปลบ เพราะเราปล่อยใจกับมันเกินไป แต่ถ้าเราค่อยๆลงเขา มองสองข้างทาง ดูโค้งดูเหลี่ยม บ้าง เราอาจจะได้รับอะไรกลับมาบ้าง และทำให้เรารอบคอบขึ้นบ้าง เตรียมพร้อมที่จะขึ้นเขาอีรั้ง

วันนี้เป็นวันที่เราไม่ได้ขึ้นลงสูงมากนัก เราหยุดพักกันเป็นช่วงๆ จนได้เวลาเที่ยง เราจึงพักทานข้าว เราไปได้ บ้านริมถนนที่เป็นร้านค้าเป็นที่หยุดพัก เพราะเรายังได้อุดหนุนเครื่องดื่มอย่าง โค้กจีนแก้กระหาย แถมเรายังได้ห้องน้ำรรมชาติป็นที่ระบายทุกข์ของสาวๆทั้งหลาย หนิงได้ยินว่า กองเชียร์สาวบนรถกำลังปรับตัวเข้ากับห้องน้ำธรรมชาติ เพราะตลอดทางเวลาที่เราหยุด ก็จะเห็นกองเชียร์วิ่งลงไปปลดทุกข์ตามสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ เรื่องห้องน้ำเป็นอีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ระหว่างทางเป็นเรื่องยากมากที่จะหาห้องน้ำเข้า ถึงแม้จะมีห้องน้ำสาธารณะให้เห็น แต่นั้นยิ่งทำให้เข้าไม่ลงไปใหญ่ ครั้งแรกที่มาเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่าพี่แอนชักชวนไปดูห้องน้ำ ดีที่ไหวตัวทันเลยไม่ไป พวกที่เดินไปดูกลับมาบอกว่า ดีที่กินข้าวไปแล้ว ไม่งั้นคงกินไม่ลง หนิงจินตนาการไม่ออกจริงๆว่ามันขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ก็ไม่กล้าจินตนาการต่อด้วย

อาหารกลางวันเป็นอาหารกล่อง เพราะระหว่างทาง เราไม่สามารถหาร้านอาหารได้ เพื่อไม่ให้เราเหนื่อย อาหารกล่องจึงถูกจัดมาให้จากชาวไทลื้อที่เราไปพักกับเขาเมื่อคืนนี้เอง ในขณะที่เรารออาหาร เราก็รอคนที่ยังปั่นมาไม่ถึง อย่างพี่เยาว์ หรือพี่ชายที่แวะถ่ายรูปมาตลอดทาง นี้ถ้าพี่ขมมาด้วย พี่ขมก็พบคู่แข่งเรื่องยิงชัตเตอร์แล้วละ ก็พี่ชายเนี้ยละ เห็นว่าถ่ายจนตอนกลางคืนไม่ได้หลับได้นอน เหมือนพี่ขมเด๊ะเลย

ช่วงนี้เป็ช่วงปรับตัวอย่างแรง ถึงขั้นกิ๊ฟลองของ ขอเข้าไปปลดทุกข์หนักในห้องน้ำธรรมชาติ จนในที่สุดก็ติดอกติดใจไปอีกคน ขนาดว่าเดินออกมา ต้นไม้ใบหญ้าติดตัวมาเต็ม เลยไม่รู้ว่าถึงขั้นลงไปนอนกลิ้งกับพื้นหญ้าเลยไหม

ออยก็เป็นสาวงามคนแรกที่ยอมพลีกายให้กับห้องน้ำธรรมชาติตั้งแต่มาครั้งแรกๆแล้ว เพราะงั้น ออยจึงเป็นคนที่ well prepare มากกับการเดินทางแบบนี้

หลังจากทุกคนปั่นมาถึง ทั้งจีน ทั้งไทย แล้วเราก็ทานข้าวจนอิ่มหน่ำ เราได้รับแจ้งว่า เราจะปั่นไปอีก แค่ 20-30 กิโลเท่านั้น หลังจากนั้น รถจะเก็บพวกเรา เพราะถ้าปล่อยให้พวกเราปั่นทั้งเส้น คืนนี้ก็คงไม่ถึงที่หมายเป็นแน่ และเพราะบางช่วงถนนได้รับการปรับปรุง

พวกเราปั่นออกจากจุดให้อาหารเที่ยงไปด้วยกันช้าๆ แต่หลังจากเครื่องติด กลุ่มแรกมีพี่ต๋อง พี่พงษ์ ออย ฉีกออกไป โดยมีหนิง พี่ไกด์ พี่บี๋ พี่หมู อยู่ช่วงกลาง ส่วนพี่ชาย พี่วัช อยู่หลัง เพราะมัวแต่ยิง(ชัตเตอร์)ลม ชมวิวไปเรื่อยๆ

หนิงเห็นข้างหน้าเล่นกันก็นึกสนุกลองไล่ดู หนิงค่อยๆปั่นหนีพี่ไกด์กับพี่บี๋มาช้าๆ จนในที่สุดไล่ไปทันออย ตอนแรกก็คิดว่าออยจะแป๊ะตามมา แต่หันไปมอง ก็เห็นออย เต้นในจังหวะของตัวเอง ส่วนหนิงยังเมามันกับดิสโก้ไม่เลิก หนิงยังกระแทกจังหวะ ไล่จนทันพี่พงษ์ หนิงเกาะหลังพี่พงษ์ เหมือนผีชัตเตอร์เกาะอยู่พักใหญ่ๆ จนรู้สึกว่าพี่พงษ์เริ่มอ่อนแรง เพราะผีแรงกว่า หนิงเลยตัดสินใจ ใส่เพลง I will survive แบบ remix อัดไล่พี่ต๋องไปเรื่อย แต่แหมพี่ต๋อง เราๆท่านๆก็รู้กันอยู่ พี่ต๋องเป็นบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้ ไม่ว่าพี่เขาไปแข่งที่ไหน ก็ต้องแบบสุดๆ สู้ยิบตา จนเป็นแบบฉบับให้สาวออย ส่วนหนิงมันน้องนอกสำนัก เลยไม่ค่อยอยากสู้แบบพี่เขาเท่าไหร่ เมื่อพี่ต๋องหันมาเห็นหนิง พี่ต๋องก็ใส่เกียร์ เดินหน้า เต็มspeed ปั่นหนีหนิงไปอย่าไม่รอช้า เมื่อเห็นดังนั้น หนิงรู้ตัวเองแล้วว่า ไล่ไปก็ไม่มีประโยชน์ หนิงเริ่มเปลี่ยนจังหวะทันที จาก ดิสโก้ หนิงเริ่มเพลง slow ซบ ซบสายลมและแสงแดดไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ออยซึ่งเขย่า ชะชะช่า ‘อ้าวมาเฮฮา เฉยช้าอยู่ใย อ้าวฮะฮะไฮ ไปต่อไป ว้ายตามมาทัน’ ติดๆ ตามมาข้างหลัง ปั่นผ่านนิงไปหน้าตาเฉย ไม่นานนัก พี่บี๋ ที่มัวแต่เล่นอยู่ข้างหลัง ก็อัดเกียร์เดินหน้า ด้วยเพลงของ Big Ass ‘รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อย ถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง ยังไงจะขอลองสักที’ ว่าแล้วพี่บี๋ก็แซงหนิงไปไม่เห็นฝุ่น

รถบรรทุกกับ van และทีมงานรออยู่บนเขาลูกหน้า หนิงได้ยินเสียงจากวิทยุสื่อสารรายงานการเข้าเส้นจากพี่ปันหยา พี่ต๋องเข้าป้ายคนแรก จากนั้นก็ทยอยกันไป เขาจอดรอห่างจากแหล่งชุมชนมาหน่อย พวกเรามาถึงรถกันอย่างเหนื่อยนักหนา ทั้งที่จริงเขา และระยะทางก็ไม่ได้ไกลกว่าที่พวกเราเคยปั่นกันนัก พวกเราไม่รีรอที่จะเก็บรถ กลัวโดนปั่นกันอีก วันนี้เราปั่นกันไปประมาณ 65กิโลเมตร

เมื่อทุกคนมาครบ การเก็บรถเป็นไปด้วยดี รถสองคันก็ออกเดินทางหน้าสู่เมืองเจียงเฉิน เส้นทางที่เรานั่งรถผ่านยังคงมีขึ้นๆลงๆเขา และทางส่วนใหญ่ก็กำลังปรับปรุง เราเจออุบัติเหตุนิดหน่อยบนเขาคือรถเฉียวชนกันระหว่างระเก๋งกับมอเตอร์ไซค์ แต่ที่ขำคือกว่าตำรวจจะตามมาเคลียร์ให้ เสียเวลามาก บวกกับแทนที่จะขีดเส้นบนถนนแล้วระบายรถ

กลับมาวาดรูปรถชนกัน เราเสียเวลานิดหน่อย เพราะเรามา

หลังเหตุการณ์ แต่บางคันติดเป็นชั่วโมงแล้ว

ระหว่างทางเราแวะทานอาหารค่ำที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ขณะที่หนิงกะออยเดินออกมาเข้าห้องน้ำธรรมชาติ เราสองคนชวนกันดูดาวบนฟ้า ดาวเต็มไปหมดสวยงามดีจัง แต่ทำให้หนิงนึกถึงเพลงๆหนึ่ง ได้ยินเมื่อหลายปีก่อน ในเนื้อเพลงบอกว่า เวลามองบนฟ้า เห็นดาวแล้วนึกถึงหน้าของเธอ หนิงบอกออยว่าใครร้องเพลงนี้ให้ฟังจะด่าให้ เพราะลองคิดดูว่าถ้าหน้าเธอเหมือนดาวเต็มฟ้า หน้าเธอคงมีสิวเต็มหน้าเป็นแน่แท้ แล้วมันจะน่ามองตรงไหน

หลังอาหารค่ำ เรายังคงนั่งรถโขยกเขยก เพราะถนนที่กำลังทำใหม่ไปเรื่อยๆ หลายคนเพลียจนหลับ แต่หนิงยังมองท้องฟ้าไปเรื่อย(พยายามมองหาความงามบนหน้าเธอ) จนในที่สุดเราก็ถึงเมืองเจียงเฉิน รถมุ่งหน้าหาโรงแรม แต่ดูเหมือนทั้งคนขับรถvan และLilyเองก็เริ่มหลงทาง เราวนไปมา 2-3รอบ จนสุดท้ายก็มาเจอโรงแรม

คืนนั้นห้องไม่พอสำหรับเราทั้งกรุ๊ป ดังนั้นพี่ชาย และพี่พงษ์ จึงถูกขอให้ไปนอนอีกที่ พร้อมกับพี่เยา พี่วัช หนิงกับออยได้ห้องชั้น 4 ซึ่งเราก็อยู่ชั้นเดียวกับพี่ๆ liftก็ไม่มี เราต้องเดินแบกของขึ้นไป ในห้อง แอร์ก็ไม่มี แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอากาศตอนกลางคืนค่อนข้างจะหนาวเย็น มองเข้าไปในห้องน้ำ โอ๊ยอกอีแป้นจะแตก เจอส้วมหลุมในโรงแรม ideaนี้ ไม่เคยคิดมาก่อน ส้วมหลุมบ้านเรายังมีการยกแท่น ดูมีระดับ แต่ส้วมหลุมจีน เป็นราบๆเรียบพื้น แล้วก็เป็นหลุมลงไปเลย ตลกดี ที่ขำกว่านั้น แม่กิ๊ฟมาเล่าให้ฟังอีกวันว่า มัวแต่ส่องกระจกในห้องน้ำ แล้วเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ เท้าเลยตกลงไปในส้วม ดีว่าไม่ตกลึกมาก ไม่งั้นคงบาดเจ็บเป็นแน่

ด้วยว่าคืนนั้นเราเหนื่อยกันแล้ว แล้วนอกจากส้วมอย่างอื่นในห้องน้ำก็ถือว่าใช้ได้ หนิงกับออย เลยรีบๆอาบน้ำนอนตุนแรง เพราะพรุ่งนี้ เราก็คงต้องปั่นขึ้นเขาเป็นอีกแน่แท้


เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่1 เริ่มออกเดินทาง

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่1 เริ่มออกเดินทาง

มันเริ่มมาหลายปีแล้วที่อยากจะปั่นเที่ยวเล่นไกลๆ หรือ โกอินเตอร์ กับเขาบ้าง แต่ก่อนก็ได้แต่ปั่นแถวบ้านเรา ก็เป็นเรื่องที่สนุกไปอีกแบบ แต่ในที่สุด พี่ต๋องก็ทำความฝันที่เป็นจริง เมื่อเดินเข้ามาถามว่า ‘หนิงสนใจปั่นไป สิบสองปันนากับพี่ไหม’ แน่นอน ใครจะไม่อยากไปปั่น แต่คำถามเนี้ย ถามเมื่อครั้งไป เที่ยวห้วยน้ำดัง เมื่อ 10ปีที่แล้วนะ แล้วฝันเพิ่งจะเป็นจริงเมื่อ 2ปีก่อนเอง


เมื่อ2ปีก่อน พี่ต๋องจัดทริปปั่นเที่ยว สิบสองปันนา ตามสัญญาที่เคยบอกกันไว้ (แต่มันนานมากนะพี่) ตอนนั้น สนุกสนานมาก ถึงแม้ครั้งนั้นจะไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิง โกอินเตอร์ เพราะรอไม่ไหว เลยแอบไปปั่น หลวงพระบาง -กิ่วกะจัม ก่อน แต่ก็แค่ day trip แต่ที่พี่ต๋องจัดไม่ใช่ day trip และก็ไม่ใช่ touring เต็มรูปแบบ แต่จากครั้งนั้น ไม่ใช่แค่หนิงติดใจคนเดียวเท่านั้น มีอีกหลายคน ทั้งพี่ไกด์ พี่หมู พี่พงษ์ ออย ที่ติดตามไปทุกทริปหลังจากนั้น ส่วนพี่ซุป พี่ขม ก็หลวมตัว ตามอยู่ 2 ทริป

ส่วนคนอื่นๆอย่างพี่ก้อย ที่ไปด้วยตอนแรก ก็อยากจะไปด้วย แต่ว่าติดภาระกิจ ส่วนตัวต่างๆ แต่เมื่อหนิงกลับมาเล่าให้ฟัง ก็จะเกิดอาการอยากไปด้วยอีกทุกครั้ง

ครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่3 แต่เป็นหนที่2 ในรอบปี เมื่อต้นปี เราไปลุยเวียดนามมา เส้นทางน่าสนใจ แต่เวลาไม่อำนวย หลายอย่างเราต้องกระชับด้วยการนั่งรถ ทำให้เราล้า จนไม่ค่อยสนุกเท่าไร แต่หนนี้ เวลาเราเต็มที่ลาพักร้อนกัน 10 วันเลย เรียกว่าลืมบ้าน ลืมผัว(อันนี้หนิงไม่มีให้ลืม) กันเป็นแถว

ในตอนแรกพี่ต๋องบอกว่าจะไปปั่นลี้เจียง เป็นที่ดีใจมากของน้องๆ แล้ว สมาชิกใหม่ก็เพิ่มขึ้น มีพี่บี๋และพี่ชายมาร่วมปั่นด้วย แต่อยู่มาวันหนึ่ง พี่ต๋องโทรมาถามน้องๆว่า ถ้าจัดทริป ไม่ปั่นจะโอเคไหม หนิงเลยบอกว่า ‘พี่ คนที่เขาอยากไปคือไปปั่นนะ ถ้าไม่งั้นจะเสียการใหญ่’ ในที่สุดพี่ต๋องก็จัดหาเส้นทางสำเร็จ เป็นเส้นทางจากชายแดนจีน เลาะตะเข็บชายแดนในจีน ไปทางเวียดนาม ระยะทางปั่นประมาณ 400กิโลเมตร ปั่นประมาณ 4วัน ตามโปรแกรม พวกเราทุกคนโอเค ทั้งสมาชิกเก่า สมาชิกใหม่

เรื่องสมาชิกที่ไปด้วยนี้ ล้วนแต่ฝีมือฉมังทั้งนั้น ผ่านแข่งไตรกีฬา หรือจักรยานทางไกลทั้งนั้น เพราะงั้น ไม่เป็นที่น่าห่วงเลยสำหรับนักปั่น
ส่วนผู้ติดตาม เนื่องจากลาพักกันหลายวัน ก็เลยกลัวอาการ ลืมลูก ลืมเมีย บรรดาสามีทั้งหลายก็ยกครอบครัวกันมา เจ้าประจำก็พี่ปันหยาภรรยาพี่ต๋อง ขานี้ ถึงไหนถึงกัน ลุยสุดๆ ตามไปให้กำลังใจทุกที่ แถมหนนี้พกลูกชายคนเล็ก น้องเกาะตัวแสบ ที่พิสูจน์แล้วว่าลูกพ่อจริง มาป่วนสาวๆในทริปนี้ด้วย

ครอบครัวถัดมาคือพี่หมี ภรรยาพี่หมู พี่หมีเป็นสมาชิกท่องเที่ยวกับพี่ต๋องครั้งที่ไปมาดากัสกา ตอนนั้นหนิงไม่ได้ไปด้วย เลยไม่รู้จักคุ้นเคย แต่มาคราวนี้เห็นน้ำใจที่พี่มีเผื่อแผ่มาถึงน้อง และความเป็นกันเองสนุกสนาน
ถัดมาเป็นครอบครัวพี่บี๋ พี่บี๋ถือเป็นสมาชิกใหม่ก๊วนนี้ แต่พี่บี๋ก็สนิทสนมมานานกับพี่ต๋อง พี่บี๋พาภรรยา กิ๊ฟมาด้วย กิ๊ฟเป็นแอร์รุ่นเดียวกับหนิง จึงค่อนข้างจะสนิทกันเร็ว นอกจากนี้ กิ๊ฟยังพาคุณแม่มาเที่ยวอีกด้วย แถมพี่บี๋พาหลานสาวน้องมุกมาอีกคน บ้านนี้เขามาแบบ ยกครัวกันมา

ต่อมาเป็นครอบครัวพี่ไกด์ ที่มีพ่อแม่ลูก พี่แคท กะน้องแทนไท ที่ตอนนี้เริ่มจะซนแล้ว ยิ่งได้เจ้าเกาะ ลูกชายคนเล็กของพี่ต๋องและพี่ปันหยาแล้ว แทนไทยิ่งพัฒนาความซนยิ่งขึ้น

สำหรับนักปั่นที่มาเดี่ยวกัน ก็มีหนิง ออย พี่พงษ์ พี่ชาย หนิงกับออยถือเป็นผู้หญิงแค่2คนที่ปั่นคราวนี้ ครั้งแรกที่ปันไปสิบสองปันนา มีพี่ก้อยร่วมด้วย แต่เนื่องจากภาระมากมาย พี่ก้อยก็ไม่ได้มาคราวนี้ ออยเพิ่งปั่นจักรยานได้ไม่นาน แต่ถือว่าฝีมือไม่เป็นรองใคร เนื่องจากได้อาจารย์ดีคือพี่ต๋อง และออยยังเป็นนักวิ่งฝีเท้าดีคนหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะปั่นได้ขนาดนี้

สำหรับหนิงคงไม่ต้องพูดถึง เพราะหายใจเข้าออกเป็นจักรยานตลอดเวลา แล้วมาแบบไม่ต้องแบกสัมภาระ ยิ่งสบายใหญ่ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง

พี่พงษ์ เสือผู้ไม่เคยทิ้งลาย คราวนี้ไม่ได้พาพี่ปุ๊กภรรยาที่น่ารักมา เพราะว่าต้องลางานนาน เลยออกมาเป็นหนุ่มโสดอีกครั้ง พี่พงษ์ใช้ช่วงเวลา 10วันคุ้มที่สุดในทริป ไม่ได้หมายความว่าพี่พงษ์ไปเที่ยวอะไรนะ แต่ใช้ความอิสระโบยบินไปกับสายลมและแสงแดดในทุกที่ ทุกเวลา และจังหวะชีวิต

พี่ชาย พี่ชายเป็นนักไตรกีฬาเหมือนพวกเรา ความแข็งแรงมีมาก แต่หลายปีก่อน พี่ชายถูกแมลงกัดเข้าที่ศรีษะเมื่อคราวไปเที่ยวป่าเมืองกาญจน์ เป็นเหตุให้ติดไวรัส ซึ่งมีผลให้สภาพร่างกายอ่อนแอ และอาจถึงชีวิตได้ถ้าไม่รักษาให้ถูกต้อง พี่ชายต้องหยุดการแข่งไตรกีฬามาหลายปี เลยหันไปขี่มอเตอร์ไซด์แทน แต่เมื่อร่างกายแข็งแรง จิตวิญญาณที่เคยผ่านความห้าวมาแล้วก็เรียกร้องที่จะกลับมาอีก คราวนี้พี่ชายจึงไม่ลังเลที่จะมาด้วยกัน


นอกจากพวกเราที่จะร่วมเดินทางคราวนี้ เรายังมีผู้ที่จัดการเรื่องเส้นทางและการขนสัมภาระ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น พี่พเยาว์ เจ้าเก่านั้นเอง พี่พเยาว์ น้าเยาว์ หรือพี่เยาว์ ของน้องๆแล้วแต่จะเรียกกันไป เราเคยใช้บริการกันมาแล้ว พี่เยาว์จึงรู้ลักษณะเฉพาะของลูกทัวร์ กรุ๊ปนี้ดี พี่เยาว์เองค่อนข้างจะชื่นชมพวกเราเรื่องเวลา ที่ไม่ค่อยจะเหลวไหลกันเหมือนกลุ่มอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะ พวกเราต้องทำงานที่ตรงต่อเวลา จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวของ ลูกเรือการบินไทยส่วนใหญ่ คราวนี้พี่เยาว์หาคนนำทาง หรือ Buddy ผู้เชียวชาญ เส้นทางสายนี้มาให้เฉพาะ คราวก่อน มีพี่เบิร์ด ช่างจากเชียงรายมาร่วมแจม แต่หนนี้ เป็นเสือผู้ชำ่ชองสุดๆ ทั้งเส้นทางและผู้คน เขาคือพี่ วัชระ หรือเสือเทา หลายคนคงรู้จักดี จากเรื่องราวที่เล่าจากประสบการณ์ของพี่เขา

ดังนั้นนักปั่นหลักๆจะมี9คน ส่วนพี่เยาว์จะแจมเป็นช่วงๆ พวกเราเดินทางออกจากกรุงเทพโดยสารการบินแห่งชาติ ไปถึงเชียงรายสายเนื่องจากฝนที่ตกหนักมากๆที่กรุงเทพ ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดการทำงาน ต้องรอฝนหยุดอย่างเดียว สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง เกิดเหตุฟ้าผ่าเอาเจ้าหน้าที่ขณะทำงานระหว่างที่ฝนตก หลัง จากนั้นทุกหน่วยงาน และทุกสายการบิน จึงได้ตกลงที่จะหยุดทำงานขณะฝนตกหนัก
พวกเราจึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการ เอาอาหารที่ตระเตรียมออกมาทานกัน พวกเราเลือกมุมที่หลบตาผู้โดยสารคนอื่นๆ เพราะเกรงใจว่า กินแล้วไม่ชวน แต่เรามีอาหารมาตามจำนวนคน จึงจำจะต้องแอบกินกันเงียบๆ

เรามาถึงเชียงรายโดยมีพี่เยาว์ พร้อมรถขนของ ขนคน มารออยู่แล้ว คืนนั้นไปถึงโรงแรมที่เชียงของ ดึกแล้ว พวกเราทานรอบดึกเสร็จก็แยกย้ายไปนอน โรงแรมที่พัก ก็เป็นของพี่เยาว์เอง โดยโรงแรมตั้งอยู่ริมโขง มองเห็นฝั่งลาว ชัดเจนสวยงาม คืนนั้นเรานอนเก็บแรงไว้สำหรับรุ่งขึ้น

วันที่30 กันยายน 2553
วันแรกของการเดินทางไปครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยท้องฟ้าที่สดใส ไร้เมฆฝนให้กังวลใจ พวกเราตื่นเช้ามา ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นฝั่งลาว เป็นแสงสีทอง ทอเป็นประกายระยิบระยับ เห็นแดดอย่างนี้ใจหนึ่งก็นึกดีใจว่าไม่เจอฝนเป็นแน่แท้ แต่อีกใจหนึ่ง ก็อดหวั่นใจกับความร้อนที่จะต้องเจอไม่ได้ มันคงเผาพวกเราจนดำเป็นตอตะโกเป็นแน่ เรื่องฝนจะว่าไปแล้วหนิงมีประสบการณ์มากมายกับการปั่นกลางสายฝนมาแล้ว ครั้งหนึ่ง เคยปั่นข้ามเขาจากด่านช้างสุพรรณบุรี ไปศรีสวัสดิ์เมืองกาญจน์ หนนั้นปั่นกลางสายฝนตลอด แถมยังทานข้าวกลางฝนอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องฝนสำหรับหนิง ไม่กังวล แต่ที่กังวล ก็เพราะ เขาที่นี้ค่อนข้างจะสูงมาก เพราะฉะนั้น เวลาลงเขา ย่อมต้องยาวไกลกว่าที่ลงข้ามไปศรีสวัสดิ์เป็นแน่ และถ้าต้องเจอฝนระหว่างนั้น พวกเราอาจได้รับอุบัติเหตุได้ ซึ่งการมาเที่ยวอย่างนี้ ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุแน่นอน

หนิงแอบสวดมนต์ ขอพรพระให้พระพิรุณช่วยหยุดพักร้อนไปเที่ยวไหนก่อนก็ได้ สัก 6-7วัน ขอปั่นจักรยานก่อน

เราเตรียมตัวออกเดินทาง8โมงเช้า หลังจากทานข้าวเช้า และเซ็ตรถจักรยานแล้ว หนนี้หนิงค่อนข้างเปรี้ยวกว่าทุกหน เพราะไม่แพ็ครถจักรยานเลย มาเป็นคันๆ ไม่ใส่กันกระแทกใดๆ เพราะคันที่หนิงเอามาด้วยคราวนี้ เป็นรถที่ตั้งใจซื้อมา ทัวร์ริ่งโดยเฉพาะ เป็นGiant สี ขาว ขนาด XS ที่ไปลากมาจากญี่ปุ่น เมื่อปีก่อนโน่น หลังจากพากันไป ทัวร์ริ่งมาหลายรอบ คันนี้ถือว่ารักที่สุดเลยก็ว่าได้

พวกนักจักรยานปั่นของใครของมันไปยังท่าเรือ หลังจากที่ทุกอย่างเซ็ตเรียบร้อย ซึ่งตรงนั้นจะมีด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นั้น พี่เยาว์เป็นธุระจัดการเรื่องPassport ให้พวกเรา ทั้งออกจากเมืองไทย และเข้าลาว เรามีหน้าที่พาตัวเองพร้อมจักรยานไปยังท่าเรือเท่านั้น ส่วนผู้ติดตามทั้งหลายถูกต้อนขึ้น รถพร้อมสัมภาระ พาไปยังท่าเรือ

มาคราวนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงอย่างหนึ่งคือ น้ำสูงกว่าที่มาทุกครั้ง ทุกครั้งที่ผ่านด่านนี้ น้ำจะลดลงมาก บางทีก็เห็นโขดหินกลางลำน้ำ แต่วันนี้ มองออกไป เห็นแต่สายน้ำ ไหลแรง อาจเป็นเพราะครั้งนี้เป็นหน้าฝน เพราะทุกครั้งที่มาเป็นปลายฤดูหนาว แต่โดยส่วนตัว หนิงว่าหนิงชอบช่วงน้ำลดมากกว่า เพราะโขดหินที่โผล่พ้นน้ำมา ทำให้แม่น้ำโขงดูน่าตื่นเต้นมากกว่าน้ำเยอะ เวลาคนเรือร่องเรือในน้ำโขง จะต้องดูร่องน้ำให้ดี ไม่อย่างนั้น จะทำให้ใบพัดเรือไปกระแทกหิน และอาจทำให้บิ่น เสียเวลากว่าจะซ้อมได้

เราข้ามฝั่งด้วยเรือหางยาว ไม่เกินห้านาที เราก็ข้ามฝั่งเรียบร้อย ที่ฝั่งลาว มีรถมารอรับของเรียบร้อย เรารอให้เขาจัดแจงเอาจักรยานขึ้นรถ เมืองด่านฝั่งลาวชื่อว่าห้วยทราย เมืองนี้ค่อนข้างคึกคัก เพราะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหลายคนพักก่อนที่จะออกเดินทางไปยัง ลาวหรือไทย เช่นเดียวกับเชียงของ ที่นี้เราจะเห็น Guest House เรียงรายมากมาย มีร้านอาหาร บาร์เบียร์ต่างๆ ถึงจะไม่มากเท่าฝั่งไทย แต่ก็ทำให้คนพื้นเมืองในย่านนี้มีกิจการต่างๆรอง รับนักท่องเที่ยวได้เยอะ เรารอไม่นานนัก การpackรถก็สำเร็จลง รถตู้คันหนึ่งขนแต่คน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ติดตามและสาวๆ ส่วนอีกคันมีทั้งสัมภาระ จักรยานและคน ส่วนใหญ่ ก็พี่ๆผู้ชายไปนั่งคันนั้น ส่วนอีกคัน เป็นรถ คาริเบียนของพี่เยาว์ มีพี่เยาว์ขับ และพี่หมูนั่งไปเป็นเพื่อน พวกเราอำพี่หมีกันเล่นๆว่า ถูกพี่หมูทิ้งไปนั่งรถกับชายอื่นซะแล้ว พี่หมีบอกว่าอยู่กรุงเทพ พี่หมูก็มีคุณแอนเป็นคู่หู ฟังดูเศร้าๆ แต่จริงๆแ้ลว คู่นี้เขารักกันมาก

รถเริ่มออกเดินทางตอน9โมงกว่า วันนี้ เรารู้แน่ว่าต้องนั่งรถกันก้นบานไปข้าง เพราะระยะทางฟังดูว่าไม่กี่ร้อยกิโล แต่เส้นทาง ไม่อาจทำให้ขับรถเร็วตามใจหวังได้ ถนนลาวขับแบบฝรั่งเศส คือวิ่งเลนขวา ถนนกว้างแค่ 2เลน เส้นทางแถวนั้น จะเป็นเขาสูงใหญ่ทั้งนั้น เพราะทางตอนเหนือ เราๆ ท่านๆคงรู้ดีว่าเป็นแนวเขาทั้งสิ้น เรานั่งไปได้พักนึง หลายคนก็ออกอาการ ตาลาย เมารถกันเป็นแถว ที่แน่ๆ ก็ออย แต่ออย เป็นนกรู้ ก่อนออกจากเชียงของ ออยไปเหมาบ๋วย 3รส มา หลายกระปุก เรียกว่ากินกันตายไปข้าง หลายคนได้บ๋วยช่วยลดอาการเมา พี่บี๋กินจนปากเป็นแผลร้อนใน
ส่วนน้องแทนไท ลูกชายพี่ไกด์ ก็ทำโจ๊กไปหลายชามทีเดียว เรียกว่า พี่ๆน้องๆแถวนั้น ไม่นึกอยากกินกันเลย

สองข้างทางที่เราผ่านจะมีหมู่บ้านเป็นระยะ ระยะ เท่าที่เห็น ความเจริญกำลังเข้ามาสู่ ชนบทในลาว แต่ก็น่าเห็นใจ ในเมื่อคนเมืองมีชีวิตที่อู่ฟู่ ถึงไหนแล้ว จะให้ชาวบ้าน เขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าหน่อยไม่ได้เชียวหรือ อย่างน้อยๆ ไฟฟ้า ก็ควรจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้แล้ว

เราผ่านหมู่บ้าน สลับกับป่าเขา ป่าบางช่วงยังคงความเป็นป่า มองไปมีต้นไม้ใหญ่ แต่บางช่วงที่เห็น กลับเป็นสวนยางขนาดไม่ใหญ่ไม่โต ขึ้นอยู่กับว่า เขาลูกนั้นมีความชันมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ชันมาก สวนยางก็จะมีให้เห็นเรื่อยๆ สองข้างทาง

แต่สวนยางที่นี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลเท่าไร อาจเป็นเพราะชาวลาวเองคงเพิ่งจะเริ่มปลูกกัน ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้ว เขาปลูกช้ากว่าบ้านเราหลายสิบปีนัก สอบถามจากพี่ทอง คนขับรถเจ้าประจำที่มาบริการเราเสมอเรื่องสวนยาง พี่ทองเล่าว่ารัฐบาลให้การ สนับสนุนในการปลูกยาง แต่พื้นที่ที่เขาปลูกกัน คือพื้นที่ป่า ที่เข้าไปบุกรุก พี่ทองออกจะไม่เห็นด้วย เพราะว่ายางเป็นพืชที่มีความต้องการน้ำสูงมาก ความเชื่อของหลายคนที่หนิงมักได้ยินเสมอคือ ยางจะทำให้ดินเสีย

เรานั่งรถหลับๆตื่นๆ จนมาถึงหลวงน้ำทา เมืองนี้เป็นเมืองผ่านที่พวกเราเคยมาพักครั้งที่ไปปั่นเมืองจีนครั้งแรก ตอนนั้นพักช่วงขากลับ คราวนี้ เราก็จะต้องมาพักวันเรากลับเหมือนกัน เราพักทานข้าวเที่ยงที่นี้ โดยร้านอาหารที่เราทาน มีเจ้าของเป็นคนไทย หนิงเดาว่าคงจะรับทัวร์คนไทยที่ต้องผ่านทางนี้เป็นแน่ เนื่องจากดูเวลา แล้วเหมาะกับการพักทานข้าวเที่ยง

หลังอาหาร เราออกเดินทางต่อ ใครใคร่หลับก็หลับกันไป พวกเมารถก็แน่นอนอยู่แล้ว
ตีตั๋วนอนกันไป

เรามาถึงด่านตอนบ่าย2โมงครึ่ง พี่เยาว์จัดการเรื่อง passport ให้เรา เราผ่านด่านลาวฉลุย ส่วนด่านจีน เราต้องเข้าไปตรวจเองที่ละคน แต่มาคราวก่อน ด่านนี้ดูไม่ใหญ่โต ผ่านไปแค่ปีกว่าๆ ความเปลี่ยนแปลงก็มีมาก นอกจากอาคารที่ใหญ่โตแล้ว ตรวจคราวนี้เข้มกว่าครั้งก่อนๆ เราเข้าแถวให้ตรวจกระเป๋าทีละคน หนิงเคยอ่านเจอในหนังสือท่องเที่ยวหลายเล่มว่า ช่วงหลายปีนี้ประเทศจีนเข้มงวดเรื่องหนังสือนำเที่ยวประเทศจีนมาก โดยเฉพาะ Lonely Planet เขาเห็นเป็นต้องยึด แต่พอผ่านด่านออกไปหน่อย ก็เห็นขายเกลื่อน เลยไม่รู้ว่า เข้มจริงหรือว่าไง แต่พวกเราก็ผ่านการตรวจมาได้ เราผ่านด่านมารอรถขนจัรยานและสัมภาระ ที่เราเปลี่ยนจากรถลาว มาเป็นรถจีน มาจีนเราต้องมีไกด์จีนตามที่กฎหมายเขากำหนด เป็นสาวน้อยวัย 25ปี ชื่อ Lily พูดภาษาไทยคล่องแคล้ว เพราะเคยมาเรียนภาษาไทยที่กรุงเทพ
เราเปลี่ยนมานั่งรถvanขนาดใหญ่กว้างรถตู้ ทำให้พวกเรามีเนื้อที่ในการนั่งยืดแข้งยืดขาหน่อย หนิงตีตั๋วหลังห้อง ตามสไตล์เด็กไม่เรียนหนังสือ มีออยนั่งถัดไป ส่วนพี่ชาย และพี่พงษ์นั่งด้านหน้าถัดไป
เรานั่งรถผ่านข้ามแดนมาเวลาตอนนั้นเร็วกว่าบ้านเรา1ชม ทั้งที่จริง แสงแดดที่กำลังจะคล้อยเป็นแสงแบบเดียวกับบ้านเรา ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่เวลาที่ประเทศจีนทั้งประเทศเป็นเวลาเดียวกัน ดังนั้นเขาเลือกที่จะใช้เวลาทางฝั่งตะวันออกเป็นหลัก
ทำให้อยู่ดีๆ เราก็เสียชั่วโมงไป 1ชั่วโมงให้กับประเทศจีน

เรานั่งรถบนทางด่วน มองไป2ข้างทาง เราจะเห็นเขาใหญ่ๆหลายลูก เขาเหล่านั้นมองดีๆ เป็นสวนยางทั้งเขา สวนยางทั้งเขาจริงๆ เขากี่ลูก กี่ลูกตรงหน้า ก็เป็นสวนยางทั้งนั้น หนิงค่อนข้างจะตื่นใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเห็นเมื่อหลายปีก่อน เพราะปลูกกันอย่างนี้ แล้วสวนยางท่ีหนิงลงทุนไปจะสู้ไหวเหรอ แต่คำตอบที่ถามหามาได้ ถึงจะไม่กระจ่างแต่ก็ได้คำตอบจากLilyว่า ยางที่ได้ส่วนใหญ่จะใช้ในประเทศ แต่ก็มีบางส่วนที่ผลิตสินค้าและส่งออกนอกเช่น ยางรถยนตร์เป็นต้น

ประเทศจีนใหญ่มาก สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็ประกอบไปด้วยยางเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นลำพังการปลูกยางในสิบสองปันนา ก็ไม่ทำให้การปลูกยางจะทำให้จีนเป็นตลาดใหญ่ในการผลิตยางไปได้

Lilyยังบอกอีกว่าทั้งประเทศจีน ปลูกยางที่สิบสองปันนาเท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไป อากาศไม่อำนวยให้ยางผลิตน้ำยางได้มาก

และจะบอกอีกอย่างว่า นอกจากนาขั้นบันไดที่เราจะได้ดูแล้ว ยางพาราที่นี้ก็ปลูกแบบขั้นบันไดเหมือนกัน

รถยังคงวิ่งเรื่อยๆบนทางด่วน มุ่งหน้าไปหมู่บ้าน ไทลื้อ ที่เชียงกลาง คืนนี้เราจะต้องนอน home stay กันที่นั้น สำหรับหนิง เคยมาแล้วจากการมาปั่นครั้งก่อน ตอนนั้นอากาสเย็นสบาย เราไปถึงที่นั้นมืดแล้ว เวลาท้องถิ่นก้2ทุ่มกว่าๆ ทำให้เราพลาดการชมการแสดงของชาวบ้าน แต่ชาวบ้านก็จัดอาหารมากมายไว้ต้อนรับเรา ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารพื้นเมืองทั้งสิ้น

ชาวไทลื้อเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ดั่งเดิมในสิบสองปันนา เป็นกลุ่มที่อาสัยอยู่ในพื้นที่ราบริมน้ำ แตกต่างจากชนกลุ่มอื่นๆ
มณฑลยูนนาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ประกอบไปด้วย เมืองต่างๆน้อยใหญ่ ได้แก่ 16จังหวัด 9 เทศมณฑลระดับเมือง 79เทศมณฑล 12เขต และ 29เขตปกครองตนเอง
เมืองที่เราผ่านอยู่ในเขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา และ เขตปกครองตนเองชนชาติอาข่า-อี๋ หงเหอ
มณฑลยูนนานยังมีชายแดนติดต่อกับ3ประเทศได้แก่ พม่า ลาว และ เวียดนาม และยังมีแม่น้ำหลายสายที่ไหลผ่านลงมายังภูมิภ่คด้านล่าง อย่าง แม่น้ำโขง หรือล้านช้าง ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต ที่ไหลลงมายังพม่า ไทย ลาว หรือ อิระวดี หรือสาละวิน ที่ผ่านไปลงพม่า รวมทั้งแม่น้ำแดงที่ไหลยาวไปจนถึงอ่าวตังเกี๋ยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำจู และแม่น้ำ แยงซีอีก

ชนชาติไท ในสิบสองปันนายังมีภาษาหลายอย่างคล้ายคนไทยด้วย อย่างนับตัวเลข หรือกินข้าว เราก็พูดกันกร้อมๆแกร้มๆกันไป และคำว่าสิบสองปันนา เป็นคำที่เพี้ยนมา จากคำว่าสิบสองพันนา เพราะสมัยโบราณ บริเวณนี้เป็นที่ที่ชนชาติไทอาสัยกันมาก และมีการทำนาเป็นพันๆไร่ ต่อมาเมื่อจีนเข้าครอบครอง การกลมกลืนทางวัฒนธรรมและภาษาก็มีอิทธิพลที่ทำให้วัฒนธรรมของชนชาติไท จางไปบ้าง แต่ก็ยังไม่สูญหายซะทีเดียว อย่างน้อยๆ บ้านเรือน และวัฒนธรรมบางอย่าง ก็ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลที่มองเห็นคุณค่า

พูดถึงบ้านเรือน บ้านที่นี้เป็นเอกลักษณ์มาก หนิงเคยเห็นบ้านคล้ายๆกันแบบนี้ที่จังหวัดน่าน ที่นั้นก็เป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคนไทเหมือนกัน บ้านคล้ายๆกันเลย แต่มีไม่มากแบบนี้
เห็นอนุรักษ์ไว้ไม่กี่หลังแล้ว ผู้ใหญ่บ้านเรามองไม่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างนี้ ดีแต่จะวิ่งตามฝรั่งขาขวิด

บ้านที่นี้จะอยู่กันเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 40-50หลังคาเรือน จะเป็นบ้านยกใต้ถุนสูง มีบันไดด้านหน้าที่เดียว คงกลัวพ่อบ้านหนีเที่ยว หลังคาเป็นผืนใหญ่ ยื่นยาว ทำเป็น2ตับ จนมองไม่เห็นกำแพง อาจเพราะหน้าหนาวคงจะกันลมได้บ้าง
บนเรือนจะมีโถงใหญ่ จะแบ่งห้องออกเป็นห้องนอนและห้องเอนกประสงค์ มีครัวไฟ คือครัวที่อยู่ด้านหลังเรือน ในแต่ละบ้านจะไม่มีหิ้งพระ แต่จะมีหิ้งผีบรรพบุรุษที่ติดตั้งไว้กับฝาบ้าน อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่รู้ในตอนแรก ไม่งั้น คงไม่ได้นอนหลับสบายแน่ๆ เพราะกลัวบรรพบุรุษมาหา

คืนนั้นพวกเราไม่มีโอกาสได้ชื่นชมหมู่บ้านเท่าไหร เพราะความเพลียที่เกิดจากการเดินทาง แล้ววันรุ่งขึ้น พวกที่ต้องปั่นจักรยาน ก็จะได้ออกแรงกันแล้ว คืนนั้น เราถูกจัดให้แยกกันนอน บ้านละ 5-6คน แล้วแต่ว่าบ้านนั้นจะรับได้เท่าไร คืนนั้นหลังอาหาร เรารีบอาบน้ำนอน หนิงมองบนฟ้าคืนนั้น เห็นดาวเต็มฟ้า สวยงามมาก ได้แต่ภาวนาในใจว่า วันพรุ่งนี้ คงไม่เจอฝนนะ เราจะได้ปั่นจักรยานกันอย่างสบายอารมณ์

เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า