วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่4 เมื่อเซียนต๋องหมดแรง

ตอนที่4 เมื่อเซียนต๋องหมดแรง


เริ่มชื่อตอนมา หลายคนที่รู้จักพี่ต๋องคงสงสัยว่าเหตุใด อะไร ที่ทำให้ชายคนนี้หมดแรงได้ แต่ถ้าใครไม่รู้จัก ก็จะแนะนำให้รู้จักในตอนนี้ พี่ต๋อง เป็นหัวหน้าทีมในการจัดครั้งนี้ โดยพี่ต๋องได้นำเที่ยวทัวร์มาหลายหนแล้ว ทั้งทัวร์ต่างประเทศ ในประเทศ ทัวร์จักรยาน ร่วมทั้งทัวร์มหาโหด คือทัวร์แข่งกีฬา พี่ต๋องถือเป็นเจ้านายหนิงบนเครื่องคนหนึ่งทีเดียว โดยมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการประจำเที่ยวบิน หรือ Inflight Manager เราเรียกกันสั้นๆว่า IM

นอกจากเป็นหัวหน้าทัวร์ พี่ต๋องยังเป็นหัวหน้าทีมไตรกีฬาอีกด้วย โดยทุกๆปี พี่ต๋องจะจัดการเรื่องที่พัก รถรับส่ง ให้น้องๆทุกปี และหน้าที่ประจำของพี่ต๋องอีกอย่างคือ คอยเหน็บแนม หนิง ให้เกิดแรงกดดันได้ทุกปี เพื่อที่จะได้สร้างผลงาน หนิงก็เป็นน้องที่ดีมาก ยิ่งกดดันเท่าไร หนิงก็ยิ่งดันทุรังไม่ทำเท่านั้น เป็นเหตุให้ปีหลังๆ ตำแหน่ง 1ใน 3หญิงไทย ประจำงานแข่งไตรกีฬาจึงหลุดมือหนิงไป หลังๆพี่ต๋องพยายามผลักดันสาวๆคนอื่นๆให้มาแทนที่หนิง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ดังนั้น หน้าที่หลักตอนนี้ของพี่ต๋องคือ พยายามทั้งผลัก ทั้งดัน ให้น้องๆในทีม สามารถนำถ้วยรางวัลกลับบ้านให้ได้ในงานแข่งขันต่างๆ ไม่ว่า วิ่ง หรือ ไตรกีฬา ด้วยเหตุที่มีความสามารถขนาดนี้ พละกำลังของพี่ต๋องจึงมีมากมาย ชนิดที่ใครๆก็ไม่อาจสู้ได้ พี่ต๋องจึงยังเป็นที่ 1ในทีมไตรกีฬาเสมอมา ด้วยเหตุนี้เอง การที่พี่ต๋องหมดแรงจึงเป็นเรื่องที่พวกเราแอบสงสัย บวกกับแอบขำไปในตัว แต่ถึงพี่ต๋องจะโหดกับน้องๆ ยังไง พวกน้องๆ ก็ยังรักพี่ต๋องเสมอ ดูได้จากที่ทุกครั้งที่พี่ต๋องโทรมาชวนเที่ยว น้องๆไม่มีใครปฎิเสธพี่ต๋องเลยสักคน เพราะทุกคนเชื่อมือว่า พี่ต๋องสามารถพาเราไปพบกับความหฤหรรษ์ได้แน่นอน เอาเป็นว่าใครไม่รู้จักพี่ต๋องตอนนี้ก็คงจะได้รู้จักกันแล้ว


หลังจากเราหมดแรงกับทางขรุขระมหาโหดไปเมื่อวาน เช้านี้ หนิงยังคงได้โบกมือลาขี้ก้อนน้อยที่ลอยคอลัลล้าอยู่ในหลุม หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัว เราลงมาจัดการกับจักรยานที่ก็นอนเอาแรงอยู่ชั้นล่างเหมือนกัน เช้านี้ พี่หมีภรรยาสุดที่รักพี่หมูมายืนส่งสามี ให้เดินทางโดยปลอดภัย หนิงเลยขออนิสสงค์ ช่วยคลายเส้นให้อีกรอบก่อนที่จะต้องลุยกันต่อไป เช้านี้เราไม่มีอะไรลองท้องมากนัก เพราะจะมีพี่ๆ ขับเอาอาหารไปส่งให้ทานในตอนเช้า เราพกพาของที่กินได้ไปบ้าง แล้วเราก็ออกเดินทางกัน เสียงน้องๆ พี่ๆ แม่ๆ ส่งเสียงเชียร์ (ไล่) เราให้ออกและปั่นโดยสวัสดิภาพ

ดูเหมือนวันนี้ฟ้าฝนทำท่าจะตก ในช่วงเช้าที่ดูว่าวันนี้เปียกแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ ปั่นไปปั่นมาอากาศร้อนซะอย่างนั้น วันนี้ตามระยะทางที่กำหนด เราน่าจะต้องปั่นกันถึง 103กิโล เพื่อที่จะไปนอนกันบนยอดเขา โดยระยะที่สูงที่สุดในวันนี้คือ 1800เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเราต้องออกกันเช้าเป็นพิเศษ เส้นทางวันนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวานเท่าไหร่ จะมากเป็นพิเศษตรงเขาที่สูงกว่าและยาวกว่า สองข้างทางยังเป็น ป่าเขา และหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวเขา อย่างที่เล่าให้ฟังในตอนแรกว่า คนจีนในแถบนี้เป็นคนเขาซะส่วนใหญ่ โดยมากเป็นอาข่าในแถบนี้ พวกนี้มีนิสัยชอบทำไร่เลื่อนลอย(นิสัยนี้เป็นมากในเมืองไทย) เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ยิ่งสูง เราก็ยิ่งเห็นคนอยู่กันเยอะขึ้น วันนี้หนิงปั่นรั้งท้ายไปกับพี่พงษ์ และพี่ไกด์ โดยมีพี่วัชและพี่ชายรั้งท้ายไว้อีกที และรั้งท้ายสุดคือพี่เยาว์นั้นเอง

อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวกล่องที่พี่หลงคนขับรถบรรทุกจะเป็นคนเอามาให้พวกเรากิน ระหว่างทาง


พวกเราเริ่มต้นก็ไต่เขากันเลย ได้ยินว่า วันนี้จะไต่ไปเรื่อยๆ แล้วไปให้น้ำให้หญ้า เอ๊ยข้าวกันบนเขา กินข้าวไปชมวิวไป แต่ปัญหาอยู่ที่กว่าจะได้กินเนี้ย แรงคงหมดกันไปหน้าดู พวกเราตุนของกินง่ายๆเช่นผลไม้กล้วย แอ๊ปเปิ้ล และยัง ขนมที่กินพอหายหิวไปบ้าง เส้นทางวันนี้ สวยแต่ไม่ง่าย ถึงแม้เราจะไม่เจอลูกรังแบบเมื่อวาน แต่เขาลูกใหญ่ขวางทางเราอยู่ข้างหน้า หนิงปั่นไปเรื่อยๆ โดยวันนี้หัวหน้าต๋อง พี่บี๋ และ ออย จะไปด้วยกัน ส่วน หนิงพี่พงษ์ พี่ไกด์ก็ไปด้วยกัน จะโดดเดี่ยวหน่อยก็พี่หมู เพราะถ้าขึ้นเขา พี่หมูก็จะปั่นดูใจไปคนเดียว แต่ถ้าลงเขา ถึงไหนถึงกัน พี่หมูไปด้วย ส่วนพี่วัชกับพี่ชาย ดูใจไปกันตลอดเส้นทางวันนี้ เขาลูกแรกเราปั่นกันอย่างเบาๆเท้า ไม่กล้ากระชากมาก กลัวจะตายกันก่อน ลูกแรกไม่ใหญ่ไม่โต ปั่นพอให้ปอดได้ทำงาน พอมาลูกที่2 ตอนนี้เองเวลาก็ล่วงมาเกือบ8โมงกว่าแล้ว เราได้ยินเสียงพี่หลงวอมาบอกว่า อาหารเช้ามาแล้ว จะให้จอดที่ไหน พี่ต๋องวอกลับไปยื้อเวลาว่า ไปก่อน เดี๋ยวบอก พี่หลงก็บึ่งรถไปเลย หนิงได้แต่ทำหน้าละห้อยที่ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็มันเริ่มหิวแล้วนะ ตอนนั้นใครพกอะไรไว้ก็เอาออกมากัดกินกันอย่างเอร็ดอร่อย หนิงก็คว้าแอ๊ปเปิ้ลจากกระเป๋ามากัด กรอบกร้วม กร้วม มีความสุขไปได้สักพัก ก็หิวอีก ตอนนั้น อากาศที่เริ่มร้อนขึ้นจากสันเขาที่บังลม บวกกับอาการหิวหน้ามืดก็บังเกิด เสียงพี่พงษ์ใช้วอเป็นเครื่องทำลายความเงียบ ‘ลมโชยมา…….’ เสียงเพลงที่หนิงได้ยิน ลอยเข้ามาในหูที่อื้อไปหมด หนิงรีบคว้าวอจากกระเป๋าหลังมากดทันที ‘ลมโชยมา พากระปุกแกว่ง ลมแรงๆพัดฝอยกระจุยกระจาย’ เสียงลมพัดมาแต่ไกล แต่เสียงจากวอเงียบหาย ทุกคนก้มหน้าก้มตาปั่นจักรยานกันต่อไป ‘เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครร้องเพลงตอบ’ ในใจหนิงครุ่นคิด ‘กูทำไรผิดวะ’

ไม่มีใครตอบมาจริงๆ เหมือนแบตเตอรี่หมดกัน จนในที่สุด ก็มีเสียงร้องเพลงจากพี่พงษ์ แต่เป็นเพลงอื่นไป พวกเรายังคงปั่นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าความสงบจะยังไม่ถูกทำลายไปซะทีเดียว จนกระทั่งเราได้กินข้าวกัน เมื่อพี่หลงหาที่จอดรถงามๆให้ได้ ออยเดินมาบอกว่า เพลงที่พี่หนิงร้องทำออยเกือบจะหมดแรงปั่นเลย อ้าวหนิงก็นึกว่าร้องเพลงแปลงแล้วจะทำให้คึกคักกันที่ไหนได้ บั่นทอนพลังงานไปนี้เอง

หลังจากเราอิ่มกับอาหารกล่องตอนเช้า พวกเราซึ่งกินรอคนที่มาทีหลัง


เมื่อมากันครบ กินกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางต่อ รถบรรดาภรรยาทั้งหลายนำเราไปแล้ว เราปั่นกันอย่างช้าๆ เพราะตอนนี้เลือดจะไหลลงไปยังกระเพาะอาหารมากเพราะจะไปทำหน้าที่ย่อยสลาย เพราะอย่างนั้น ถ้าเราปั่นหนักๆ อาจเกิดอาการตะคริวได้ เพราะเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่พอ หนิงยังคงไปช้าๆ อากาศบนยอดเขาเย็นกว้างพื้นราบมาก แต่แดดที่เริ่มแรง บวกกับความชันของเขา ก็ทำให้เราหลายคนเหนื่อยหอบได้ จากจุดสูงสุดบนยอดเราก็ต้องไหลลงสู่พื้นราบเป็นธรรมดา ตอนลงเขา อากาศเย็นและลมปะทะทำให้เรารู้สึกสดชื่นมากขึ้น ถ้าอยากรู้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไงต้องไปถามพี่หมู ด้วยเหตุที่ชอบนี้เองทำให้พี่หมูลงเขาเร็วกว่าใครๆ เราปั่นขึ้นมาอีกยอดก่อนที่เราจะทานอาหารกลางวัน บนนั้นเป็นเหมือนหมู่บ้านชาวเขาขนาดใหญ่ มีตลาด มีการค้าขายกันครึกครื้น บนนั้นอากาศและลมเย็นมาก เราถือเป็นจุดพัก ทั้งคนปั่นจักรยานและผู้ติดตามทั้งหลาย เราได้เดินชมวิวสันเขา ได้ยินว่าจุดนี้เองเป็นจุดที่สูงที่สุดที่เราปั่นขึ้นมาในวันนี้ 1800เมตร อากาศบนนั้นถึงได้เย็นสบายในยามเที่ยงวันอย่างนั้น

จากยอดนั้น เราต้องใส่เสื้อกันลมทีเดียว เพราะขนาดยืนเฉยๆลมยังแรงมาก ถ้าไหลลงเขายาวนับสิบกิโล เราคงหนาวตายก่อนแน่ถ้าไม่ป้องกัน เราค่อยๆปล่อยตัวลงทีละคน พี่หมู กับพี่ชายชอบมากับการลงเขา พี่บี๋ พี่ต๋อง ทยอยลง พี่ไกด์ พี่พงษ์เริ่มลงตาม หนิงกับ ออยห้อยหลัง โดยเฉพาะออยซึ่ง play safe จากอุบัติเหตุทั้งหลาย มีพี่วัชประกบให้ ส่วนพี่พเยาว์ ขึ้นรถไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะเต็มอิ่มแล้วกับการขึ้นเขา ลมเย็นปะทะหน้าให้เรารู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา มือสองข้างประคองเบรคไว้ หนิงเล้ียวซ้าย ขวา ตามโค้ง ทักษะเหล่านี้ ส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ที่ขี่จักรยานมาหลายปี อีกส่วนก็จากคำบอกเล่าของพี่ๆทั้งหลาย เราจดจำและเอามาฝึกประกอบ จนเกิดความชำนาญในระดับหนึ่ง สองข้างทาง มองลงไปเป็นหุบเขา ซับซ้อนหลายชั้น เห็นเขาใหญ่ๆหลายลูกตั้งตระหง่าน โค้งต่างๆ รับกันได้เหมาะเจาะ โค้งซ้าย แล้วก็โค้งขวา สลับไปมา ไม่มากไม่น้อย รับกันไปมา จนถึงเชิงเขา

หนิงเพลิดเพลินกับการลงเขามากกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเมื่อก่อนหนิงจะรู้สึกเหมือนออย ในเวลานี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนิงกับว่าการเป็นส่วนหนึ่งกับจักรยานทำให้เราควบคุมมันได้ง่ายขึ้น การเลือกใช้รถจักรยานที่คุ้นเคยก็เหมือนกัน เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจกับการขี่


เราไหลกันจนถึงทางราบ ซึ่งเราต้องเลาะแม่น้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหาร เป็นเวลาที่พวกเราควรเติมพลังงานกันหน่อย แล้วอย่างเคย อาหารสั่งมาเต็มโต๊ะ

เราใช้เวลาไม่นานอาหารก็หมดไป

การออกเดินทางในรอบบ่าย เราได้ยินว่าจะเป็นทางขึ้นเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะก่อนถึงที่พัก จะเป็นเขายาวนับสิบกิโล และมีความชันมากนัก มีเสียงเสนอว่าจะให้รถไปรับ แต่เสียงส่วนใหญ่ของพวกเรายืนกรานที่จะปั่นไป เมืองที่เราจะไปชื่อว่า หลี่ชุน อยู่ในจังหวัด ฮงเฮอ เมืองนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของพวกอีก้อหรืออาข่า ซึ่งเราก็เห็นมาระหว่างทางแล้ว หนิงมีจินตนาการล้ำลึกว่าจะได้เห็นคนเขามากมายในเมือง ยิ่งทำให้อยากไปถึงโดยเร็ว

ตอนนี้เราอยู่ในเขตปกครองตนเองชนชาติอาข่าและอี่ หงเหอ ดูเหมือนเราปั่นกันข้ามแคว้นกันซะแล้ว

เราปั่นผ่านเมืองเล็กๆ ทำให้เห็นความไม่เป็นระเบียบของคนจีนจริงๆ เพราะรถคันเดียวที่อยากจะจอดขวามือทำให้รถติดได้ทั้งเมืองโดยที่ไม่สนใจใคร เราโชคดีที่ว่าเป็นจักรยาน เราเลยสามารถยกข้าม จูงเดิน เลี้ยวเลาะได้ดังใจ เสียงชาวบ้านส่งเสียงช้งเช้ง ด่ากันขรม แล้วเราก็ผ่านมาได้ในที่สุด แต่รถผู้ติดตามทั้งหลาย ต้องติดอยู่นานกว่าจะมากันได้

ทิวทัศน์สองข้างทางที่เราปั่นกันมานั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่หมูบอกว่าเป็นที่ที่ดีมากๆตามตำราจีน คือมองไปเห็นแม่น้ำไหลผ่านระหว่างขุนเขา 2เขา ซึ่งที่อย่างนี้เป็นฮวงจุ้ยที่ดีมากใครได้ไว้จะทำให้ลูกหลาน อยู่กันอย่างราบรื่นและอยู่ดีมีสุขมากๆ เขาเรียกว่าท้องมังกร พี่หมูแนะนำให้เราถ่ายรูปกันไว้ เพื่อเป็นเคล็ด ว่าแล้วน้องๆก็จอดรถถ่ายรูปกันเป็นแถว


หลังจากนั้นเราก็ยังคงปั่นกันเรื่อยๆ โดยกลุ่มเริ่มแตก พี่บี๋ พี่ต๋อง ออย พี่หมู หลุดไปกลุ่มหน้า มีหนิง พี่ไกด์ พี่พงษ์ พี่ชายและพี่วัช ปั่นกันข้างหลัง เราปั่นชมนกชมไม้กันไปเพลินๆ ทางเริ่มหนืดขึ้นเรื่อยๆเพราะเริ่มขึ้นเขา เราเริ่มรู้สึกตัวว่าช้ากว่ากลุ้มแรก เมื่อพี่หมูวอมาถามระยะห่าง พวกเรา5คนเลยจัดขบวนผลัดนำกันไป ตอนนี้เองที่หนิงสังเกตุเห็นว่า กำลังพี่วัชไม่ธรรมดา เพราะทุกครั้งที่พี่วัชออกนำ ความเร็วจะเพิ่มขึ้นทุกที จนบางที่พี่ชายก็หลุดไปบ้าง และที่พี่ชายหลุดบ่อยหรือว่าช้า ไม่ใช่ เรื่องแรงไม่มี แต่ว่าจักรยานพี่ชายกินแรงเอาเรื่องบวกกับพี่ชายแวะถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ

เราเริ่มจัดขบวนไม่นาน ขบวนก็เริ่มแตก เมื่อพี่ชายไม่อาจต่อสู้กับน้ำหนักของจักรยานได้ หนิงพี่ไกด์ พี่พงษ์เลยออกตัวไปกันสามคน ตอนนี้พี่ทั้งสองต้องประคองหนิงไว้ให้ดี เพราะเวลาแรงหนิงจะตกหนิงก็จะส่งเสียงบอกว่า เบาหน่อย รอด้วย อะไรประมาณนั้น เสียงวอของพี่หมูมาเป็นระยะ ทำให้เรารู้ว่าพี่หมูเริ่มเป็นศิลปินเดี่ยวอีกครั้ง โดยหนิงยังได้ยินเสียงพี่บี๋ในวอบอกให้เรารู้ว่า นะบัดนี้ พี่บี่ได้ทิ้งพี่ต๋องกับออยไว้ข้างหลังเสียแล้ว เราสามคน ได้ฟังดังนั้นก็จุดประกาย เป้าหมายหลักคือพี่ต๋อง เหตุใดหนอ พี่ต๋องถึงได้หลุดจากพี่บี๋ไป เอ๊ะหรือว่าพี่ต๋องปั่นประคองน้องออย เพราะกลัวว่าออยต้องปั่นคนเดียว แต่ความคิดไม่ทันรอบขา ดุเหมือนเราจะเพิ่ม speedอย่างไม่รู้ตัว เวลานั้นเริ่มจะเย็นแล้ว พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ถึงแม้แสงทองของมันจะเริ่มอ่อนล้า แต่ขาพี่พงษ์ ก็ยังควง นำจักรยานไต่ขึ้นเขา พี่ไกด์กับหนิง กดตามอย่างไม่ลดละ เราอ้อมเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ความชันของเขาทำให้เราเริ่มท้อไปบ้าง แต่ด้วยความที่อยากรู้ว่าพี่ต๋องอยู่ตรงไหนนั้น ก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะปั่นขึ้น ปั่นขึ้น เรามองเห็นจุดหมายแรก คือพี่หมู หลังไวๆของพี่หมูที่อยู่ไม่ห่างเราเท่าไหร่ พี่หมูควงขาไม่ออกมานานับกิโลแล้ว เพราะความล้า และแรงต้านจากความชัน พี่หมูใช้แรงกดบันไดถีบตามจังหวะที่มี ผิดกับเราสามคนที่มีแรงฮึด เราปั่นไปใกล้พี่หมูเรื่อยๆ จนในที่สุดเราไปแปะหลังพี่หมูสำเร็จ พี่พงษ์ส่งสัญญานมือให้พวกเราหยุดหลังพี่หมู เราได้หยุดพักสัพัก พี่หมูหันมาเห็นเราสามคน ก็ส่งสัญญาณให้เราแซงไปเรื่อย แทบไม่มีเสียงลอดออกมา เพราะความเหนื่อยล้า เราสามคนเลยตัดสินใจทิ้งพี่หมูไป เพราะยังไงเสีย ยังมีพี่วัชกับพี่ชายอยู่ข้างหลัง พี่หมูก็น่าจะขึ้นมาได้ทัน จากตรงนั้น ได้ยินวอจากพี่บี๋ว่าอีกไม่กี่กิโลก็เข้าเมือง แต่ความล้าของกล้ามเนื้อก็มาเยือนพวกเราทีละคนทีละคน เราค่อยๆปั่นประคองกันไป โดยหนิงเองรู้สึกเหมือนกับว่า คุณตาจะมาหาอย่างไงไม่รู้ กดมาก ตา(คริว) ก็ทำท่าจะมาที เลยปั่นประคองกันไป พี่ไกด์เองก็เริ่มไม่ไหว มีการจอดจักรยานเก็บของ ตอนแรกหนิงกับพี่พงษ์นึกว่าพี่ไกด์เป็นอะไร ที่ไหนได้ เก็บเครื่องบินลำน้อย จริงๆแล้วเป็นข้ออ้างพักเหน่ือยรูปแบบหนึ่งนั้นเอง


เสียงพี่บี๋บอกทางพี่ต๋อง ทำให้เรารู้ว่าพี่บี๋ถึงที่หมายแล้ว แต่พี่ต๋องนั้นยังคงปั่นอยู่ และระยะห่างระหว่างเรา3คนกับพี่ต๋องไม่ได้ห่างกันมาก ทำให้เรารู้ว่า เราใกล้จุดหมาย(พี่ต๋อง) เข้าไปทุกที เรายังคงปั่นไปเรื่อยๆจนในที่สุดเราเข้ามาในเมือง พี่บี๋ส่งเสียงตามวอมาบอกให้เราปั่นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเราแทบจะบ้า เพราะยังไม่ถึงสักที จนในที่สุด เราก็มาถึงโรงแรมจนได้ สิ่งแรกที่พวกเราทำคือ ลงจากจักรยานแล้วนั่งยืดขา มันร้าวไปหมด ตรงหน้าโรงแรม มีพี่บี๋ พี่ต๋อง ออยและพี่หมียืนรอรับ พี่ต๋องเพิ่งเข้ามาก่อนเราไม่นาน แค่เห็นหลังไวๆ พวกเราแอบเสียดายว่าถ้าระยะมากกว่านี้หน่อย พี่ต๋องเสร็จพวกเราแน่ๆ เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว พี่ต๋องต้องหมดแรงแน่ๆ เราถามพี่ต๋องว่าทำไมมาถึงก่อนแค่แป๊บเดียว พี่ต๋องบอกด้วยสีหน้ามีพิรุธว่า หยุดถ่ายรูป เพราะมุมสวยดี หนิงหัวเราะกับคำตอบพี่ต๋อง มุมไหนกันที่ว่าสวย เพราะตั้งแต่ขึ้นมา ไม่เห็นจะมีตรงไหนน่าจะถ่ายได้วิวงามๆ เพราะเห็นแต่ตึกรามบ้านช่อง ที่สร้างระหว่างทาง หนิงเลยทำเสียงเย้ยพี่ต๋องว่า ‘หมดแรงละสิ ถึงคิดจะถ่ายรูป’ เสียงพี่ต๋องปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่พวกน้องๆแอบขำกันเป็นแถว เรานั่งยืดขา และรอพี่ๆที่เหลือไปพร้อมๆกัน เสียงโต้ตอบในวอ ทำให้รู้ว่าพวกเขา กำลังจะมาถึงในไม่ช้า


เราเอารถไปล้างที่ร้านล้างรถฟรี เจ้าของใจดีมาก โรงแรมที่พักวันนี้ดีมาก อย่างน้อยส้วมก็เป็นแบบนั่งโถ ไม่ต้องนั่งย่องๆให้เมื่อยแข้งเมื่อยขา ถึงแม้จะไม่มีแอร์เพราะเมืองนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง1600 เมตร อากาศจึงเย็นตลอดปีแม้กระทั่งเดือนเมษายน เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อไปกินข้าว

เสียงออยตะโกนโวยวายในห้องน้ำให้ช่วยแกะซองแชมพูให้หน่อย แสดงว่าวันนี้ออยใช้ พลังงานไปจนหมดชนิดไม่เหลือแม้กระทั่งปลายนิ้ว เสียงกิ๊ฟแอบหัวเราะขำ เพราะกิ๊ฟได้แต่นั่งเชียร์เลยไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยที่พวกเรามี


อาหารคืนนี้อร่อยมาก เราได้ออกไปเดินชมเมือง หนิงแอบห็นหนังไทยฉายที่นั้นด้วย แต่พากษ์ภาษาจีน ฉายให้คนเดินไปมา ได้ดูกัน

วันนี้เป็นอีกวันที่พวกเราประทับใจ เขาที่สูงชัน กับเส้นทางลงเขาที่สวยและดีที่สุดในทริปนี้ อากาศที่แสนจะเป็นใจ ไร้ฝน ไร้แดด รวมทั้งอาหารที่แสนอร่อย และที่พิเศษสุด ส้วมที่นั่งแล้วมีความสุขที่สุดในโลก

เรื่องนางฟ้า

ภาพ นางฟ้า

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ชะโงกทัวร์... เที่ยวมั่วๆที่ปาย

ชะโงกทัวร์… เที่ยวมั่วๆที่ปาย

ชื่อเรื่องของทัวร์ประหลาดนี้มีที่มาจาก ข่าวเมื่อหลายปีก่อน ช่วงฤดูท่องเที่ยว ที่เมืองปาย ใครๆก็ไปที่นั้นกันจนน้ำมันหมดเมือง หนนั้นพ่อตื่นเต้นกับข่าวมากเพราะพ่อสงสัยว่า ทำไมใครๆก็ไปเที่ยวปายกัน ตอนนั้นพ่อถึงกับบอกว่าจะไปปายให้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้าพ่อไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อน

สองปีผ่านมา หนิงมีโอกาสที่จะทำฝันพ่อให้เป็นจริง เมื่อเปิดสเก็ตตัวเองแล้วเห็นวันหยุดติดกันหลายวัน หนิงจัดแจงบอกพ่อให้เตรียมตัวได้ เราจะไปปายกันโดยเราจะไปนอนเล่นๆแค่คืนเดียวเพราะหนิงต้องเข้ามาดูสวนที่เชียงใหม่ด้วย ที่พักถูกจองไม่กี่วันก่อนเดินทาง และก็โชคดี เพราะเราเลือกที่จะไปหลังปีใหม่ คนจะได้น้อยๆ หนิงหาที่พักจากอินเตอร์เนต หลังจากลองดูหลายที่ เราก็เห็น บุระลำปาย เข้าตากรรมการมากที่สุด ทั้งที่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่อาศัยว่าใหม่เข้าว่า

เราออกเดินทางสู่เชียงใหม่ในเช้าวันหนึ่ง โดยหนิงขับรถขึ้นไปเอง เส้นทางที่ขับก็เส้นทางปกติธรรมดาที่ใครๆเขาขับขึ้นเชียงใหม่กัน ถนนเส้นนี้มุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ แล้วเราก็ถึงในเวลาบ่ายคล้อยเย็นเต็มที่ คืนนั้นเรานอนรับอากาศเย็นที่แม่แตงก่อนที่จะไปปายกัน


วันรุ่งขึ้น ได้เวลาไปปายกันแล้ว เราออกเดินทางสายกันหน่อย โดยหนิงวางแผนว่าจะถึงปายตอนเที่ยง และหนิงกะว่าใช้เวลาขับแค่ 2ชั่วโมงเท่านั้น เพียงแต่วันนี้หนิงคุยกับพ่อไปแล้วว่าเราจะ ขับกันไปถึงแม่ฮ่องสอนกันเลย เพราะก่อนหน้านี้พ่อ เกิดอยากไปแม่ฮ่องสอนด้วย แต่หนิงไม่มีเวลาที่จะขับรถเป็นวงกลมให้ได้ เพราะไม่ได้วางแผนไว้ก่อน หนิงเลยตกลงกับพ่อว่า เราจะขับทะลุไปแม่ฮ่องสอนกันวันนี้ แล้วกลับมานอนปาย ซึ่งพ่อตกลง เสียงแม่แอบค่อนขอดพ่อว่า พ่อชอบชะโงกทัวร์ คือขอให้ได้ขึ้นชื่อว่าไปมาแล้ว แค่ชะโงกดูเท่านั้นเอง พ่อได้แต่นั่งนิ่งๆ ปล่อยให้แม่จินตนาการตามความคิดแม่เอง

เราขับเข้าสู่เส้นทางหฤหรรษ์ที่สุดในทริปนี้ หนิงเคยมาปายครั้งแรกเมื่อ 10ปีก่อนกับพวกพี่ มีพี่จ้อนนำทีม โดยเมื่อคราวนั้น เราเข้าไปยังห้วยน้ำดังก่อนโดยเส้นทาง Off Road ก่อนที่จะลงปาย แล้วขับไปบ้านวัดจันทร์กันต่อ ตอนนั้นเราไม่ได้นอนค้างกันที่ปาย แต่ที่เห็นและจำได้ คือ เห็นมีแต่ฝรั่ง รถก็น้อย ที่พักข้างทางอย่างปัจจุบันก็ไม่มี เส้นทางไปบ้านวัดจันทร์สมัยก่อน ก็แสนจะขรุขระพอดู ขนาดที่พูดกันได้ว่าใครอยากทำแท้ง ก็ให้นั่งรถไปบ้านวัดจันทร์ ได้แท้งสมใจแน่ๆ


หนที่สอง หนิงกลับไปอีกครั้งเมื่อ 4ปีก่อน ไปโดยจักรยาน โดยปั่นจากแม่มาลัยเข้าปาย ระยะทาง 90กว่ากี่โล ป่ันตั้งแต่ 8โมง เช้า ถึง 4โมงเย็น เรียกว่าปั่นกันหายอยาก หนนั้นปั่นกับพี่อรรถกัน 2คน คนอื่นๆปั่นๆเลิกๆ ตามอัธยาศัย หนิงกับพี่อรรถปั่นจากแม่มาลัยจนถึงปายเลย หนิงเลยค่อนข้างจะภูมิใจว่า ได้ปั่นผ่านเส้นที่โหดที่สุดเส้นหนึ่งในเมืองไทย หนนี้จึงเป็นครั้งแรกที่หนิงขับรถจากแม่มาลัย เข้าสู่ปายในครั้งเดียว โดยไม่ได้แวะค้างแรมที่ไหน

เราขับออกจากแม่มาลัยไม่นาน หนิงก็เล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่า เปลี่ยนไปเยอะ เพราะมีร้านค้า ชา กาแฟ ผุดขึ้นข้างทางมากมาย กว่าที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ร้านรวงมีทั้งเล็กใหญ่ ขึ้นมาแย่งลูกค้ากันสุดๆ ส่วนถนนหนทางยังเหมือนเดิมอย่าง 4ปีก่อนคือ เรียบเนียน 2เลนสวนสบายๆ แต่โค้งสะบัด รถที่สวนไปมาดูหลากหลายรูปแบบ แต่ก่อนเห็นเป็นรถ2แถว กับรถบัสโทรมๆ แต่เดี๋ยวนี้ สภาพรถดูดีมากทีเดียว


หนิงขับรถอย่างระมัดระวังในช่วงแรก เพราะไม่ชินทาง เข้าโค้งอย่างเบามือในคราวแรกๆ แต่พอหันไปเห็นพ่อหลับตา ก็เกิดนึกคึก ว่าท่าทางพ่อจะโดนโค้งกล่อม เลย เหวี่ยงโค้งเล่นอย่างเมามันส์ โดยลืมไปว่า แม่ที่นั่งข้างหลังและส่งเสียงหวีดหวิวกับ สองข้างทาง เป็นเจ้าแม่เมารถอย่างแรง ในขณะที่บางโค้ง คนขับเองยังเกิดอาการมึนๆเพราะเข้าโค้งแรงไปหน่อย ไม่นานนัก ก่อนที่จะเข้าสู้ห้วยน้ำดัง เสียงแม่ก็เงียบไป หนิงลองถาม แม่บอกว่า อย่ามาพูดกัน มึนหัว เอาแล้วสิ แม่เมาซะแล้ว หนิงเลยหาที่พักริมทางที่พอจะให้แม่พักได้บ้าง ก็ได้ที่พักริมทางชื่อเก๋ว่า มุมสร้างสรรค์ มีทั้งห้องน้ำ ร้านอาหาร ขายของที่ระลึก แต่อะไรในโลกก็ไม่อาจช่วยแม่ได้แล้ว หนิงกับพ่อเลยลงไปสำรวจห้องน้ำแทน ห้องน้ำที่นี้จัดว่าเป็นห้องน้ำริมทางที่สะอาดทีเดียว เพราะหนิงลองทั้งขาไป ขากลับ

เราออกรถกันต่อในขณะที่แม่อาการไม่ดีขึ้น แม่ยังคงนั่งหลับตาต่อมาเรื่อย ถึงแม้เราจะพักกันแล้วก็ตาม เราถึงห้วยน้ำดังไม่นานหลังจากนั้น หนิงหันไปบอกแม่ว่า หลังจากนี้จะเหวี่ยงอีกนะ หักศอกทั้งนั้น ไม่มีสัญญาณตอบรับจากแม่แล้ว เพราะแม่ได้แต่ควบคุมสติอย่างมั่นคง ไม่ให้อาการเมา กำเริบไปกว่านี้ หนิงพยายามที่จะหย่อนลง หย่อนลง แต่ความดิ่งชัน และอาการหักศอกของถนนไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่นานหลังจาก เหวี่ยงลงจากเขา หนิงก็ได้ยินเสียงแม่อ้วกจนได้ เสียงแม่บอกว่าดีขึ้นหน่อย แต่ถึงยังไง วินาทีนั้น หนิงก็มั่นใจแล้วว่า แม่ไม่มีทางไปต่อชะโงกทัวร์กับเราพ่อลูกเป็นแน่ หนิง เหวี่ยงลง ไปเรื่อยๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา จนในที่สุดก็ลงจากเขาสำเร็จ หนิงขับรถไปเรื่อยๆมุ่งหน้าตัวเมือง โดยผ่านสะพานประวัติศาสตร์ บุระลำปายที่เราพยายามสอดส่ายสายตามองอยู่ซ้ายมือของเรา ด้านหลังร้านกาแฟ Coffe tea สะพาน นั้นเอง เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป เห็นตึกใหม่ๆ เรียงอยู่ 4-5หลัง มองตรงไปเป็นห้องเล็กๆ ดูออกเลยว่าเป็น Reception หนิงตรงไป chk in ทันที มีหนุ่มน้อยนำทางเราไปยังเรือนพักริมบึง ที่เราจองไว้ ห้องที่เราพักอยู่ด้านในค่อนข้าง จะไกลจากโซนหน้าพอสมควร หนิงกับพ่อถามอาการของแม่ แต่แม่บอกว่าไม่ต้องห่วง แม่ไม่ไปด้วย ไปกันเองเลย หนิงกับพ่อเลยตัดสินใจออกเดินทางกันต่อ เพื่อตามฝันของพ่อให้เป็นจริง เราเริ่มต้นที่หาอาหารง่ายๆอย่างก๋วยเตี๋ยวกินในเมืองปาย แต่ด้วยความที่มันง่ายเกินไป รสชาดของมันก็เลยง่ายมากที่เราจะบอกว่าไม่อร่อยเลย แต่เราพ่อลูก ก็กินเพื่อดำรงอยู่ต่อไป หลังจากนั้นการเดินทางก็เริ่มขึ้น เรามุ่งหน้าสู่แม่ฮ่องสอนโดยหนิงกะว่าจะไปให้ถึงภายใน 2ชั่วโมง

ช่วงแรกที่ออกจากปาย เส้นทางก็เหวี่ยงขึ้นเขาไม่ใช่น้อย หนิงเปรยกับพ่อว่า ถ้าแม่มา ก็ไม่พ้น ช่วงนี้ แม่ก็คงเมาต่อเป็นแน่ เราพ่อลูกเหวี่ยงกันอย่างเมามัน จนมาถึง จุดชมวิวกิ่วลม จากจุดนี้ไม่ไกลจากปายเท่าไหร่ แค่ 20กว่ากิโล แต่ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมง บนนี้เป็นจุดที่เราอยู่บนสันเขา มองเห็นวิวทั้ง 2ฝั่ง พ่อลงไปเพื่อสำรวจห้องน้ำ ในขณะที่หนิงเดินไปถ่ายรูป ที่นี้เอง เราจะเห็น เด็กๆ ชาวเขาวิ่งกรูกันมาถามว่า ‘ถ่ายรูปด้วยกันไหม ให้เท่าไหร่ก็ได’้ หนิงเดินยิ้มๆ ขำๆกับวิธีหากินของเด็ก แถมมีเด็กบางคนเดินมาบอกว่า ‘พี่พี่ถ่ายพวกหนูนะ อย่าไปเอาคนอื่น’ เราก็งงๆ จนกระทั่ง หนิงเดินมาจนถึงจุดที่อยากถ่าย ถึงเริ่มเข้าใจว่าไอ้ที่เจ้าตัวนั้นมันพูด แปลว่าอะไร เพราะเด็กชาวเขาวิ่งกรูกันมาอีกนับสิบ ไหนๆก็มากันยกโขยงขนาดนี้ จะไล่ไปก็ใช่ท่ี หนิงเลยบอกเด็กๆ เข้าแถวถ่ายรูป โดย ให้เด็กๆ กระโดดโดยพร้อมเพียงกัน แต่เด็กก็คือเด็ก โดดยังไงก็ไม่มีทางพร้อมกันสักที หนิงเลยสงสาร ช่วงเวลานั้นได้ยินเด็กน้อยคนหนึ่งบ่นว่า ถ่ายไปตั้งหลายรูปแล้ว ไม่เห็นได้เงินเลย หนิงเลยหันซ้าย หัน ขวา เห็นพ่อเดินมาพอดี เลยบอกเด็กๆว่าไปถ่ายกับคุณตาก่อนแล้วจะให้ตัง เด็กๆทั้งหลายก็วิ่งหน้าตั้งไปหาคุณตา ล้อมหน้า ล้อมหลังพ่อสุดชีวิต พ่อก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ยอมถ่ายรูปกับเด็กๆ เสร็จงาน ได้ยินเด็กตัวดีบอกว่า ‘พี่พี่ เดี๋ยวหนูไปแลกเหรียญให้นะ’ แหม เด็กมันช่างรู้จริงๆว่าพี่นะไม่มีเหรียญให้ หนิงจัดแจงส่งแบงค์ร้อยไปให้แลก หันไปหันมา เห็นพ่อแจกตังค์เด็กไป 2-3คน

พอหนิงได้เหรียญที่เจ้าตัวดีวิ่งไปแลกให้ เด็กน้อยทั้งหลายก็เข้าแถวรอรับค่าจ้าง หนิงก็ให้ไป 5บ้าง 10บ้าง จนมาถึงเจ้าหนุ่มน้อยคนนึงชื่อภูวนัย เจ้านี้ช่างคุยมาก แนะนำคนนั้น คนนี้ หนิงเห็นหน้าจ่อยๆ เลยถามทำไม เห็นว่าพ่อ แจกตังค์ให้แล้ว เจ้าหนุ่มน้อยบอกว่าได้แค่ บาทเดียว หนิงหัวเราะก๊าก ก็ พ่อไม่มีเศษเงิน มีอยู่ไม่กี่บาทดันเอาไปแจกเด็กน้อย เจ้านั้นก็รับมา คงนึกว่ายิ้มสู้กล้องแทบตายได้ไปบาทเดียว หนิงเลยปลอบใจไปอีก 10บาท หน้าเลยบานหน่อยวิ่งกลับไปหาแม่สบายใจ

เราสองพ่อลูกขับรถต่อไปยังปางมะผ้า หนิงได้ยินมาว่า หลังๆฝรั่งเริ่มเขยิบมาเที่ยวที่นี้กันมากขึ้น เลยได้เห็นที่พักที่เริ่มผุดขึ้นตามทาง เราขับรถผ่าน ในขณะที่พ่อเริ่มทำท่าเปลี่ยนใจ จะไม่ไปแม่ฮ่องสอนวันนี้ แต่จะไปพรุ่งนี้แทน เหตุเพราะอยากพาแม่ไปด้วย จนหนิงต้องกางแผนที่ให้พ่อตัดสินใจอีกที เพราะถ้าพ่ออยากให้หนิงอ้อมจริงๆ แล้ว เห็นทีว่าเราจะกลับเข้าเชียงใหม่ค่ำแน่ๆในวันรุ่งขึ้น อีกอย่างหนิงเองก็เริ่มเหนื่อย ถ้าต้องขับรถเหวี่ยงวันละ 4-5ชั่วโมง

ริมสองข้างทางเข้าแม่ฮ่องสอน เป็นเส้นทางที่สวยทีเดียว ถึงแม้ว่าพ่อจะออกปากว่าเส้นทางน่าน -เชียงรายจะสวยกว่า แต่ต้นไม้ที่ปกคลุมสองฝั่งถนน ทำให้ร่มรื่นดี ขณะที่ขับรถกันไป หนิงก็อดไม่ได้ที่จะถามพ่อตรงๆว่าอยากมาแม่ฮ่องสอนทำไหม พ่อบอกว่า อย่างแรก เพราะพ่อยังไม่เคยมา อยากดูให้เห็นว่าเมืองมันเป็นยังไง อย่างที่สอง ครั้งหนึ่งเพื่อนพ่อเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่นี้ ตอนนั้นพ่อว่าจะมาเยี่ยม จนเพื่อนย้ายจังหวัดก็ยังไม่เคยมา หนิงหัวเราะขำๆกับเหตุผลของพ่อ เพราะหนิงว่าเข้าเค้าที่แม่เรียกว่า ชะโงกทัวร์ซะมากกว่า

ก่อนเข้าอำเภอเมือง เราผ่านทางขึ้นปางอุ๋ง หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของคนไทยเวลานี้ หนิงเคยไปมาแล้ว ทั้งปางอุ๋ง และบ้านรักไทย ถึงขั้นเคยไปช่วยเขาเสริ์ฟอาหารมาแล้ว เพราะเขาไม่มีคนช่วย คราวนี้หนิงไม่พาพ่อขึ้นไป เพราะกว่าจะขึ้น กว่าจะลง แค่ให้พ่อชะโงก เห็นทีหนิงจะตายคาพวงมาลัยซะก่อน แลัวบังเอิญว่าพ่อไม่สนซะด้วย

สถานที่อีกแห่งที่เราผ่านคือ ถ้ำปลา หนิงจำไม่ได้ว่าเขาเรียกชื่อทางการว่าอะไร แต่เมื่อ 10ปีก่อน คนที่พามา เขาเรียกว่าถ้ำปลา ระหว่างทางมาแม่ฮ่องสอน เรา2คนพ่อลูกขับ รถคุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสำคัญที่หนิงสารภาพกับพ่อว่า หนิงเคยแอบหนีมาเที่ยวคนเดียวที่นี้เมือง 10ปีที่แล้ว พ่อดูจะเฉยๆกับคำสารภาพ หนิงเลยเล่าให้พ่อฟังต่อว่า ถ้ำปลาหนิงเคยมาแล้ว เมื่อครั้งนั้นคนที่เขาพามาเขาเล่าว่าเป็นถ้ำที่มีปลาอยู่เยอะ ใครคิดอยากจะกินปลาก็มีอันเป็นไปทุกราย เหมือนกับปลาเหล่านี้เป็นปลามีศีลอะไรอย่างนั้น

เราขับเข้าเมืองตอนบ่ายสามโมงกว่าๆ เมืองแม่ฮ่องสอน เปลี่ยนไปเยอะจาก 10ปีก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับดูแปลกตาเหมือนปาย หนิงขับรถพาพ่อไปวัดจองคำ วัดนี้เป้นวัดแห่งแรกของจังหวัด สร้างโดย พญาสิหนาถราชา และต่อมาก็เป็นพระอารามหลวง หนิงจัดแจงจอดรถ ขอเดินออกไปยืดเส้นยืดสายซะหน่อย แต่พ่อบอกว่าไม่ลง ตอนนี้สถานการ์ณตรึงเครียด เมื่อหนิงบอกว่า พ่อต้องลง ไม่ลงไม่ได้ หนิงขับรถมาตั้งไกล ใจคอจะชะโงกทัวร์จริงๆเหรอ ดูเหมือนคำพูดกระทบกระเทียบที่แม่ทิ้งท้ายไว้ จะดลใจให้พ่อยอมลงจากรถ เราเดินดูรอบๆวัด และพ่อก็ทำการสำรวจห้องน้ำอย่างเคย วัดแห่งนี้นอกจากวัดจองคำแล้ว ยังมีวัดจองกลางอยู่ในกำแพงเดียวกันอีกด้วย วัดจองคำเป็นวัดที่สร้างโดยช่างไทยใหญ่ ลักษณะจะคล้ายปราสาท นัยว่า ผู้ที่เป็นกษัตริย์หรือผู้มีศักดิ์สูงเท่านั้นที่จะอยู่บนนั้นได้ ส่วนชื่อวัดจองคำนั้น ชื่อก็บอกแล้วว่าทองคำ เหตุที่มีชื่อนี้เพราะมีเสาที่ติดทองคำเปลว แต่จริงๆแล้วสมัยโบราณ เสาที่ว่าเป็นเสาเงิน มาเปลี่ยนเป็นทองในภายหลัง

บริเวณวัดนั้นยังมีบึงใหญ่ๆ ทำเป็นบึงสาธารณะให้นั่งเล่นเย็นใจอีกด้วย

หนิงขับรถวนรอบเมือง พ่อก็บอกว่า กลับกันเถอะจะได้ไปรับแม่กินข้าว ปานนี้แม่คงหิว น่าดู พ่อว่างั้น

ขากลับ หนิงเริ่มชินกับโค้งที่วันนี้ทั้งวันเหวี่ยงมาอย่างมันมือ โชคดีที่พ่อไม่เมารถ ไม่อย่างนั้น หนิงคงแย่แน่ๆ เรามุ่งหน้าเข้าปาย เพื่อไปรับแม่มากินข้าว แต่ที่กินเราก็ยังไม่รู้ หนิงจำได้ว่าครั้งแรกที่มาปายกับพวกพี่จ้อน เราไปทานข้างร้านน้องเบียร์ แต่หนิงจำได้ว่า มันไม่โดน หนิงเลยไม่อยากพาพ่อไปลอง

ลองถามreception เขาก็บอกว่าให้ทานน้องเบียร์ ยิ่งขัดใจเราเข้าไปอีก ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรือไร จนเจอพี่ๆที่กำลัง Check in เข้าที่พักบอกให้ไปลอง ครัวระเบียงปาย แต่พี่เขา สลักหลังมาว่า อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ เพราะหาจากอินเตอรืเนตมา

อาหารที่สั่งไปมื้อนี้ มีขาหมูยูนาน ลาบคั่ว ต้มยำปลาคัง ไม่นานเกินรออาหารก็มา มื้อนั้น ไม่ถึงกับผิดหวัง แต่ก้ไม่สมหวังนัก รสชาดเหมือนยังไม่ถึงที่ แต่เราก็กินกันจนหมด

หนิงพาพ่อกับแม่วนรถเข้าไป ถนนคนเดิน เพราะไหนๆก็มาถึงปายแล้ว ใครๆก็ต้องมาเดินดูของกันที่นี้ หนิงบอกพ่อว่าไปดูหน่อย จะได้บอกคนอื่นได้ว่าปายมีอะไร ถนนคนเดินจะมีตลอดในช่วงฤดูหนาว แต่ถ้านอกฤดู ก็มีเฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ข้าวของที่ขายก็ไม่ต่างจาเชียงใหม่ไปเท่าไหร่ ถ้าใครคิดว่าจะมาปายแค่เพื่อถนนคนเดิน ก็ควรคิดใหม่ได้แล้ว เพราะปายมีมากกว่านั้น

คืนนี้อากาศเย็นมาก มากจนเรา สามคน พ่อ แม่ ลูก นอนหลับสนิท ชนิดไม่อยากแม้กระทั่งจะเข้าห้องน้ำเลย


เช้าวันต่อมา เรากำหนดกลับเข้าเชียงใหม่ยามบ่าย หนิงเห็นใจว่าพ่อนั่งรถมาหลายวัน น่าจะเหนื่อยเพราะโรคประหลาดของพ่อ ทำให้พ่อ ต้องนอนเยอะๆ หนิงเลยบอกว่าจะให้ นอนก่อนแล้วค่อยกลับกันตอนเที่ยง เช้านั้นหนิงวิ่งไปสำรวจที่ทาง เห็นว่ามีบ่อน้ำพุร้อน เมืองปายเขามีชื่อเรื่องนี้มานาน เพราะสมัยก่อนที่ฝรั่งมากัน ตอนกลางคืน ฝรั่งจะบิดมอเตอร์ไซด์ไปบ่อน้ำพุร้อน จุดเทียนแช่น้ำร้อนกลางแสงเทียน บางทีก็กลางแสงจันทร์ แต่เดี๋ยวนี้คงต้องกลางแสงนีออน ตามความเจริญที่เข้ามา เห็นดังนั้น หนิงก็คิดควรว่าพ่อกับแม่น่าจะมาแช่น้ำเล่นก่อนกลับ

หลังอาหารเช้า เราขับรถออกจากที่พัก ซึ่งติดกับสะพานประวัติศาตร์ สะพานแห่งนี้เป็นสะพานเหล็กสีเขียว ดูเหมือนยุคสงครามโลก หนิงเข้าไปอ่านประวัติ

สะพานแห่งนี้ถูกสร้างครั้งแรกในสมัยที่ญี่ปุ่นจะบุกพม่านั้นละ ก็สงครามโลกจริงๆ เป็นสงครามโลกครั้งที่2 แต่เดิมสะพานทำจากไม้ จนต่อมา ไปขอสะพานนวรัฐจากเชียงใหม่มาสร้างแทน เรื่องคงจะจบแบบที่เขาเขียนไว้ ถ้าหนิงไม่กลับมาแม่แตงแล้วเล่าให้ผู้เฒ่าที่นั้นฟังว่าไปเที่ยวไหนมา ก็คงไม่ได้ฟังเรื่องต่อจากนั้นอีกว่า สะพานนวรัฐอันที่ยกไปปายนั้น ได้ถูกนำกลับมาไว้เชียงใหม่ แต่ไม่ใช่ที่เดิม ส่วนสะพานสีเขียวสวยนั้น เป็นสะพานที่เดิมเคยอยู่ในอำเภอแม่แตงนั้นเอง ผู้เฒ่านั่งยัน นอนยันว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ หนิงก็อดคิดไม่ได้ว่า ทุกหน้าประวัติศาสตร์มักจะมีเรื่องราวทับซ้อนที่เลือนลางซ่อนอยู่ ใครตาดีอ่านเจอก็ถือเป็นกำไร แต่ใครอ่านตามตัวหนังสือ ก็ไม่ว่ากัน

ตรงสะพานเขียวนั้นเราเห็นรถไม้ 2คันจอดอยู่ ได้ยินว่าเป็นรถไม้ที่ขับมาจากเกาะช้าง ใช้เวลาถึง 3วัน 3คืน กว่าจะมาที่ปาย และอยู่แค่ 1เดือนเท่านั้น ก้จะกลับไปเกาะช้าง พี่เจ้าของเล่าว่า เขาเอามาโชว์ที่นี้เมื่อ3ปีก่อน จากนั้นก็นำมาโชว์ทุกปี เห็นหลายคนถ่ายรูป หนิงเลยให้แม่ถ่ายบ้าง แต่แม่ไม่กล้าเข้าไปนั่ง กลัวทำของเขาพัง

จากนั้นก็เป็นโปรแกรมบ่อน้ำพุร้อนที่หวังจะให้พ่อตื่นเต้น แต่พ่อกลับเฉยๆ หนิงซะเองที่ตื่นเต้นมากกว่า สามคนพ่อ แม่ ลูก เอาเท้าแช่เล่นๆพ่อให้ได้ขึ้นชื่อว่ามา แล้วเราก็กลับ ถึงเวลาพักผ่อนของพ่อแล้ว

หนิงกับแม่เลยออกไปเดินดูบรรยากาศรอบที่พัก สิ่งที่สังเกตได้คือ เราพักอยู่ริมแม่น้ำปาย ตอนเช้าที่ตื่นมาเห็นหมอกเต็มไปหมด พอสายๆ เราถึงเห็นว่า ริมน้ำ มีที่สำหรับกางเต็นท์ด้วย หนิงกับแม่เลยออกเดินสำรวจ น้ำในแม่น้ำเย็นจับใจ แม่เอามือไปจุ่มเล่น เราสองคนนั่งทอดอารมณ์ริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามยังมีรีสอร์ท และเต็นท์กางอยู่เต็มไปหมด ด้านข้างที่พักเรา เป็นที่ของชาวบ้านที่ทำกิน เขาปลูกผัก ต่างๆ มองไปอีกฟาก เห้นฝูงวัวกำลังเล้มหญ้า เสียงกระดึงดังเป็นจังหวะเวลาที่พวกมันเดินแระเล็มหญ้าไปเรื่อยๆ ดูเหมือนนอกจากชีวิตคนเมืองที่พากันมาทำรีสอร์ท เรายังได้เห็นชีวิตชาวบ้านจริงๆ ที่ยังคงอยู่

หนิงกับแม่ชวนกันเดินไปทางต้นน้ำ เพื่อไปดูว่าด้านนั้นเขามีอะไรบ้าง เราเห็นเขาปลูกต้นปอเทืองเป็นทุ่ง ต้นใหญ่กว่าที่หนิงเห็นที่โคราชเสียอีก หนิงเพิ่งรู้ในภายหลังว่า ปอเทืองคือปุ๋ยสด ที่เขาจะทำการปลูกและไถกลบก่อนที่จะปลูกข้าว เป็นการปรับสภาพดิน และเตรียมดินให้พร้อมนั้นเอง แสดงว่าอีกไม่นาน บริเวณริมน้ำที่เขาปลูกปอเทือง เขาก็คงจะปลูกข้าวเร็วๆนี้

เราเดินรอดใต้สะพานเขียว ไปทางต้นน้ำ เราเห็นควายฝูงใหญ่กำลังเพลิดเพลินกับการกินหญ้า สายตาที่มันส่งมาทางเราเป็นการระแวดระวัง แต่เราสองคนก้เดินเลี่ยงหลบไป เราเห็นเขาสร้างฝายชะลอน้ำแบบธรรมชาติ โดยวัสดุธรรมชาติ เพื่อไม่ให้น้ำไหลไปเร็วเกินไป หน้าแล้งจะได้ไม่แล้งนัก

จริงๆแล้วการเดินเล่นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้หนิงเห็นว่า เมืองปายมีอะไรมากว่าที่เราเห็น เพียงแต่เราจะเข้าไปสัมผัสมันมากแค่ไหน คนส่วนใหญ่ที่ไป ก็ไปตามที่เขาเล่าเขาเห็น ไม่ลองที่จะค้นหาตัวตนของมันด้วยตัวเอง

แม่ชอบมากสำหรับการเดินสำรวจวันนี้ หนิงเองก็เช่นกัน แดดเริ่มร้อน ความเย็นเบาบางลง หนิงบอกแม่ว่าถึงเวลาต้องกลับกันแล้ว เที่ยงนี้เราเลยฝากท้องไว้ที่ร้าน สะพานปายของรีสอร์ทที่เราพัก แล้วเราก็พบว่า อาหารที่นี้รสชาดดีทีเดียว เพราะแม่ครัวเป็นคนใต้ เราเลยได้ทานคั่วกลิ้งที่เมืองปายเป็นการปิดท้าย….รำแต้ๆ

เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ทัวร์เป็ดสาวน้อย...ตอนเริงร่าท้าโคราช



เมื่อสามสาว ขิง ช้วน เรือง(หนิง ใหญ่ เล็ก)ไปเยื่ยมเริงถึงอำเภอโชคชัย มันช่างเป็นความบังเอิญอะไรเช่นนี้ จริงๆแล้ว หนิง ใหญ่ เล็ก ตกลงกันว่าหนาวนี้เราจะไปเที่ยวจิม ทอมสันฟาร์มกัน เราพยายามหาวันไปแต่ช่วงเดือนธันวาที่ผ่านมาเราติดภาระกิจส่วนตัวกันเกือบทั้งเดือน แถมปลายเดือนเราก็ไปเที่ยวอินเดียกันอีก ก่อนจะกลับจากอินเดียใหญ่บอกว่าถึงเวลาแล้วนะ เพราะจิมฟาร์ม เปิดถึงแค่ช่วงวันเด็ก ไม่อย่างนั้นต้องไปปีหน้า หนิงเลยดูสเก็ต แล้วก็พบว่า มีวันว่างแต่ต้องออกวันศุกร์เย็น ใหญ่เล็กไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้ใจแตกกันซะแล้ว อยากหนีเที่ยวกันตลอดเวลา

ใหญ่ได้ที หลังจากสอนเสร็จในคาบเช้า ใหญ่ก็ออกมาพร้อมกับครูอีกคนที่อาสามาส่งแถวบ้านหนิง ในขณะที่เล็กแจ้งนายว่าติดภาระกิจบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ แล้วสองสาวก็มาพร้อมกันที่บ้านหนิงตอน5โมงเย็น พวกเราไม่รีบร้อนที่จะออกนอกเมืองเหตุเพราะรู้ว่า คนอื่นๆเพิ่งกลับจากเที่ยวปีใหม่ ไม่มีใครบ้าออกได้ทุกอาทิตย์อย่างเรา แต่เราก็วางแผนไว้ว่าจะออกไปหาอาหารเย็นทานแถวสระบุรี ก็คงเป้นร้านอื่นไปไม่ได้ นอกจากร้านอาหารที่ชื่อทองบวก ร้านที่ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ เลยทางเข้ามวกเหล็กมานิดเดียวเอง ร้านนี้หนิงไปมาหลายหน และก็พาคู่แฝดไปแล้ว 2หน ติดอกติดใจในรสชาติอาหาร และบริการถึงที่สุด

กว่าเราจะเสร็จสิ้นมื้อนั้นก็เป็นเวลา 3ทุ่มกว่า เราตั้งใจว่าจะไปนอนที่อำเภอปักธงชัย โดยเราขับตามถนนมิตรภาพ ไปเข้าถนนสาย 24 มุ่งหน้าบุรีรัมย์ และไม่นานเกินรอ เราถึงโรงแรมไม่ใหญ่ ไม่เล็กในปักธงชัย ราคาห้องพักถูกแสนถูก แค่ 500 มีน้ำร้อนที่ระดับความแรงของน้ำแค่ปัสสวะแมวเท่านั้น ก็เป็นที่พอใจของเราสามคนแล้ว
คืนนั้น เรานอนหลับไปพร้อมอากาศที่เย็นลง เย็นลง

เช้าวันเสาร์ ดูเหมือนแต่ละคนยังสะโหลสะเหลจากความล้าของเมื่อคืน แต่ถึงกระนั้น เราก็ลุกขึ้นสู้กับความขี้เกียจในตอนเช้า เพราะวันนี้จะเป็นวันที่พวกเราจะได้เที่ยวกันอีกแล้ว เล็ก ถามว่า โม่อยู่แถวไหนในโคราช โม่เป็นเพื่อนสมัยที่เราเรียนอยู่ศิลปากร ถึงแม้จะคนละภาควิชา แต่ด้วยความที่คณะเรานักศึกษาไม่ได้เยอะมาก บวกกับเราต้องทำกิจกรรมรับน้องด้วยกันตลอด ทำให้เราคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง และบวกกับFace Bookที่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เรากลับมาต่อให้ติดกันอีกครั้ง หนิงบอกเล็กว่า โม่น่าจะอยู่แถวโชคชัย ซึ่งไม่ไกลจากปักธงชัยเท่าไหร่ เล็กจัดการโทรหา และก็จริงดังคาด โม่อยู่แถวนี้เอง เป็นเหตุให้เราสามสาวมีนัดกินข้าวกลางวันกับโม่ในวันนี้ด้วย

เราออกจากที่พักตอน7โมงกว่า โดยจุดหมายแรกคือ หาข้าวเช้าทาน นิสัยเราสามคนจะเหมือนกันอย่างคือ ตื่นเช้ามาต้องมีข้าวเช้าทาน เล็ก ใหญ่เคยมาจิมฟาร์มแล้ว และครั้งก่อน คู่แฝดก็มาทานข้าวเช้าที่ตลาดปักธงชัย หนนี้ก้็เช่นกัน หนิงได้รับเชิญให้มาเป็นเกียร์ติแก่ตลาดนี้ด้วย แต่เช้านี้โจ๊กที่คู่แฝดอยากกินดันไม่ขายซะนี้ เราเลยไปทานข้าวต้มโบราณแทน เป็นข้าวต้มโรยหน้าด้วยหมูต้มเค็ม ก็อร่อยไปอีกแบบ ที่นี้เราเห็นชาวบ้านเอาข้าวเม่ามาขายกันเยอะ เพราะเพิ่งผ่านฤดูเกี่ยวข้าวมาไม่นาน
เราตบท้ายข้าวเช้าเราด้วยชาร้อนแบบโบราณ อากาศเช้านี้เย็นกว่าวันก่อนๆ ตามที่นักพยากรณ์ทั้งหลายทำนายเอาไว้จริงๆ

เราเดินทางออกจากตลาดหลังจากดื่มด่ำกับชีวิตชนบทของที่นี้ เราคุยกับชาวบ้านที่นี้ ได้ความว่าเมื่อหน้าฝนที่ผ่านมา ที่นี้น้ำท่วมเอาเรื่องทีเดียว หนิงแอบฟังสำเนียงชาวบ้าน ก็รู้สึกประหลาด เพราะจะว่าพูดลาวไปเลยก็ไม่ใช่ จะพูดเน้อนิดๆ จนอดไม่ได้ที่จะถามว่าสำเนียงนี้เป็นสำเนียงอะไรกัน ชาวบ้านตอบยิ้มๆว่าเป็นสำเนียงท้องถิ่นเรียกว่าสำเนียงโคราช

เราออกจากตลาดก่อนเก้าโมงนิดหน่อย โดยมุ่งหน้าไปทางเขื่อนลำพระเพลิง เราขับไปตามถนนในยามเช้าที่รถไม่จอแจ จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่จอดรถของจิมฟาร์ม หนิงเห็นรถมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะโวยวายกันว่า เขามาทำไมแต่เช้า
ก็แน่ละเราว่าเราแน่แล้ว ยังมีมาเช้ากว่าเราอีกโข

ที่จิมฟาร์ม เราต้องเสียตั๋วเข้าชมคนละ 80บาท โดยในฟาร์มซึ่งมีเนื้อที่ 700กว่าไร่ จะมีรถรับ ส่งเป็นจุดๆ ซึ่งสะดวกมากกับผู้มาเยี่ยมชม เรามองออกไปเห็นทุ่งสีเหลืองของทุ่งประเทื่อง จนอดไม่ได้ที่อยากจะเข้าไปดูข้างในเร็วๆ

รถโดยสาร มีไกด้น่ารักเป็นคนบรรยายความเป็นมาของจิม ทอมสันฟาร์ม และแนะนำจุดต่างๆในฟาร์ม

ในจุดแรก เป็นจุดที่มีทุ่งทานตะวันกว้างไกล พร้อมด้วยผลฟักทองน้อยใหญ่ น้อยนะก็ธรรมดาเท่าที่เราเคยเห็น แต่ใหญ่ที่ว่า มันใหญ่เกินจริงจนนึกว่าของปลอม ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ จากจุดนี้เราสามสรถเดินต่อไปยังเรือนไทยอีสาน ชื่อเรือนคุณสาหร่าย เรือนหลังนี้มี 2ห้อง และ ระเบียงน่ารัก จากเรือนคุณสาหร่ายเรายังเห็นทุ่งทานตะวัน และเขาพญาปราบที่อยู่บริเวณนั้นอีก

เราเดินต่อจากเรือนคุณสาหร่าย เราก็ไปยังลานกีฬาประจำหมู่บ้าน ที่นี้มีเครื่องเล่นท้องถิ่นให้เราได้ทดลองเล่น แถมยังมีควายคู่ขวัญให้ชมในบริเวณใกล้ๆกัน ที่ลานนี้ดูคนจะคึกคักเพราะมีดนตรีพื้นเมืองเล่นกันสดๆ แถมมีการสาธิตวิธีทอผ้าฝ้าย ผ้าไหมให้ชมด้วย

หนิงกับใหญ่มีโอกาสได้พูดคุยกันช่างทอผ้าฝ้าย แห่งบ้านดู่ เมืองปัก อำเภอปักธงชัย ชื่อพี่ศาตราวุธ พี่เขาเล่าว่า เขาร่ำเรียนการทอผ้ามาจากแม่ โดยเขามารื้อฟื้นการทอผ้าฝ้ายอีกครั้ง หลังจากที่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนิยมที่จะทอผ้าไหมมากกว่า พี่ศาตราวุธเคยเป็นครูอยู่ในกรุงเทพ แต่เขามองเห็นความสำคัญของการทอผ้า ซึ่งครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เขาก็มีกี่ทอผ้าเอาไว้ในห้อง หนิงกับใหญ่สนใจเรื่องนี้มาก สอบถามได้ความว่า ที่หมู่บ้านพี่เขามีโฮมสเตย์และยังสอนทอผ้าอีกด้วย
ดูเหมือนความหวังในการสืบทอดวิชาทอผ้ากำลังจะเป็นจริงซะแล้ว

ใหญ่มาเล่าให้ฟังทีหลังว่าพี่ศาตราวุธเขาแต่งตัวเต็มยศของชาวอีสานทีเดียวคือ ใส่โสร่งผ้าไหม กับเสื้อแบบไหนก็ได้ ที่สำคัญมาผ้าขาวม้าคล้องคอ นี้คือชุดเด็ดประจำท้องถิ่น

หนิงเดินเตร่ต่อไป เจอคุณป้ากำลังสาวไหม แน่นอนว่าตอนนี้การทอผ้าไหมเป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินได้ดีกว่าผ้าฝ้าย เพราะราคาของตัวผ้าเป็นการชี้บ่ง หนิงสอบถามวิธีการทั้งการสาวและฟอก โดยเฉพาะการฟอกแบบธรรมชาติที่ต้องใช้ขี้เถ้าจากใบไม้เป็นตัวทำให้ไหมนิ่มได้ เพิ่งรู้เหมือนกัน ป้าดูจะไม่ใช้นักโต้ตอบที่ดีนัก ไม่เหมือนพี่ศาตรวุธ แล้วใหญ่ก็เรียกให้หนิงเดินไปดูคุณยายปั้นหม้อต่อ

คุณยายที่หนิงเห็นเป็นคนแก่หลังค่อม กำลังเดินวนๆรอบอะไรสักอย่าง พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นคุณยายเดินวนหม้อที่กำลังขึ้นแท่น ไม่นานคุณยายก็เอาไม้ตีๆ จนเป็นทรง แล้วเอาผ้าชุบน้ำรูดปากหม้อ จนกลมสวยงาม โดยทั้งหมด คุณยายเดินวนรอบหม้อนั้นเอง

มีเสียผู้ชายยืนเชียร์คุณยายไม่ใช่ใครเป็นลูกชายคุณยายนั้นเอง สอบถามว่าได้ฝึกปั้นไหม พี่เขาว่าไม่เคย เพียงแต่รู้ว่าจะต้องเตรียมดินอย่างไง แล้วพี่เขาก็เริ่มบรรยายอีกครั้งว่า ให้เอาดินธรรมดาเนี้ย ไปผสมกับแกลบ เสร็จแล้วก็ตากแห้ง จากนั้นก็นำมาตำให้ละเอียด แล้วร่อนเอาส่วนที่ละเอียดไปผสมน้ำ นำมาขึ้นรูปเป็นหม้อเนี้ยะ

เรายืนดูคุณยายไปอยู่นานสองนาน และก้เห็นว่าในช่วงเวลาแค่นั้น คุณยายปั้นหม้อได้หลายใบทีเดียว คุณยายบอกว่าปั้นหม้อมาตั้งแต่อายุ9ขวบ ปัจจุบันนี้อายุ 78แล้ว ก้ปั้นมา 70ปีเข้าไปแล้ว เห็นแล้วเราภูมิใจในตัวคุณยายและท้องถิ่นจริงๆ หนิงกับใหญ่รีบเดินไปหาซื้อหม้อที่คุณยายวางขายมาเป็นของที่ระลึกคนละใน

ตรงที่ขายของนั้นเอง ที่เล็กเดินพาพวกเราไปดูเครื่องเรือนบางอย่างที่เป็นเครื่องเรือนท้องถิ่น หนิงเองก็ไม่ได้ถามว่าเขาเรียกว่าอะไร แต่สิ่งนี้ถูกทำมาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มีทั้งช้าง เต่า อึ่ง คนขายบอกว่ามันจะทำจากไม้ขนุนทั้งชิ้น นำมาแกะสลักเป็นรูป ตามความเชื่อไม้ขนุนสื่อความหมายถึงการสนับสนุน หลายบ้านจะปลูกต้นขนุนไว้หลังบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลให้มีคนหนุนนำ ต่อมากก็นำไปติดด้วยกระดูกวัว หรือควาย ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่มีคุณประโยชน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาล้มมันนะ เขาปล่อยให้มันตายเองโดยธรรมชาติ การติดคล้ายๆติดเปลือกหอยนั้นละ แล้วนำไปขัด ลงลัก ของที่ว่านี้ทำเป็นเหมือนกล่องใส่ของ คนขายยังว่าเอาไว้ใส่ของมงคล เล็กชอบช้างมาก และมีแค่ตัวเดียว เล็กเลยจัดไป หนิงเลยหยิบเต่ามาตัวหนึ่ง แต่คนขายบอกว่านั้นคืออึ่ง หนิงเลยตั้งชื่อใหม่ให้ว่าตึ่ง เต่าเป็นสัญลักษณ์ของอายุยืน ส่วนอึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอิ่ม สมบูรณ์ หรือร่ำรวยนั้นเอง ส่วนตึ่งคือเอา2อย่างมารวมกันนั้นเอง

โม่โทรมาตามพวกเราแล้วในตอนนั้น เราเลยรีบเดินต่อไปยังอีกจุด จุดนี้เป็นที่โปรดปรานของสาวๆเป็นแน่ เพราะเป็นจุดละลายเงิน แน่นอนสินค้าที่มาขายย่อมต้องมีผ้าไหมจิมด้วยเป็นแน่ เราซื้อกันคนละอย่าง 2อย่าง
แลัวเดินต่อไปอีกหลายโรง ที่เรียกโรง เพราะอาคารเหมือนโรงนา โรงอื่นๆ ก็มีพวก พืชผัก สวนครัวจากจิมฟาร์มมาจำหน่ายด้วย เราซื้อของติดกันออกมาอีก จากนั้นเราสามคนก็สาวเท้าเดินกลับ ซึ่งก้ไม่ไกลจากทางออก ส่วนคนอื่นๆก็มีรถมารับไปส่งทางออก ก็แล้วแต่ว่าใครยังอยากดื่นด่ำขนาดไหน

รถที่จอดด้านนอกเยอะกว่าเมื่อเช้าเป็นเท่าตัว เราขับรถมุ่งหน้าไปเยี่ยมเพื่อนที่โราชทันที เพื่อนโม่มีธุรกิจส่วนตัวเป็นปั๊มน้ำมัน ตลอดช่วงเวลา10กว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน พวกเราต้องก้ไม่รู้ว่าใครมีชีวิตแบบไหนบ้าง ทันทีที่เราเจอหน้ากัน เสียงสาวๆส่งเสียงในรถจนรถแทบแตก เจอกันเสียงก็ไม่ได้มีแบบลดลงแต่น้อย เราถามสาระทุกข์สุขดิบ โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วม ซึ่งเพื่อนเราก็ยังมีโชคพอที่น้ำจะไม่เอ่อมาท่วมได้ ไปคราวนี้เราได้เจอน้องก้อย คุ๋ชีวิตที่น่าักของโม่ เรานั่งคุยเล่นกันในปั๊มอยู่หลายชั่วโมง ก่อนที่จะร่ำลาเพื่อนกลับ แค่นี้ ทั้งพวกเรา ทั้งโม่ก็ดีใจขนาดหนัก

เราออกจากบ้านโม่ เพื่อจะไปวังน้ำเขียว วังน้ำเขียวเป็นอีกสถานที่หรึ่งที่หนิงเคยประทับใจมาก เพราะเป็นเส้นทางปั่นจักรยานที่สงบ และอากาศดีมาก จากบ้านโม่ หนิงเลือกที่จะได้เส้นปักธงชัย-กบินทร์บุรี เพราะจะได้ไม่อ้อม และก็ไม่เสียเวลา

ช่วงถนนหมายเลข 304 เป็นถนนใหม่ที่ดีมาก ขับสบาย พอเราเลี้ยวขวาเข้าเส้นที่จะไปปากช่อง ความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฎทำให้หนิงเสียความรู้สึกอย่างแรง รีสอร์ทผุดขึ้นราวดอกเห็ด มีทั้งดูได้ ดูไม่ได้ ลายตาไปหมด ต้นไม้ที่เคยให้ร่มระหว่างทางหายไป ขึ้นมาเป็นป้ายใหญ่ ขายรีสอร์ทแทน หนิงยอมรับว่า มองดุเห็น เขาสลับเป็นลูกๆ แปลกตาดี แล้วโอโซนที่ชาววังน้ำเขียวเคยโฆษณานักหนาละว่าเป็นที่3ของโลกเนี้ย มันจะอยู่ได้ยังไง ในเมื่อต้นกำเนิดแห่งโโซนถุกตัดซะเรียบราบพนาสูญขนาดนี้ หนิงก้ได้แต่บ่นให้แฝดมันฟัง แต่ก็ยังขับผ่านถนนนั้นมาแบบแกนๆ หนิงเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แต่แหมพระอาทิตย์ท่านช่างร่วงเร็วซะเหลือเกิน จนเราไปเก็บรูปที่อ่างเก็บน้ำไม่ทัน

เมื่อเวลาล่วงเลยมานาน ก็ถึงเวลาอาหารค่ำอีกแล้ว ตอนแรกหนิงตั้งใจว่าจะพาแฝดไปกินเป็ดพะโล้ที่ปากช่อง แต่เปลี่ยนใจดีกว่า ไปทานร้านเดิมเมื่อวานนี้ละ ทองบวก(อีกแล้ว) เพราะเมื่อวานเราติดใจรสชาติแกงป่ากันซะเหลือเกิน โดยคุณพ่อเป็นคนแนะนำให้ลองชิม
ปกติเวลามาที่นี้เรามักจะสั่งอาหารที่จานแปลกแบบ ฟิวชั่น แต่หนนี้เราขอพื้นๆ ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย น้องนิว ลูกชายคนเล็กของเจ้าของร้านแนะนำให้เราลอง ยอดฟักแม้วผัดกะปิ ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย หลังอาหารคาว เราตบท้ายด้วยของหวานเป็นไอสครีม วนิลลาเคลือบช็อคโกแลต กับอีกอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่เหมือนไอสครีมอิตาลีเป็นชั้นๆ

ก่อนกลับเราได้แวะขึ้นไปดูชั้น2ของร้านและพบว่ามีของแต่งบ้านสวยงามน่ารักวางขายอยู่ เราคุยกับคุณแม่น้องนิว เจ้าของสถานที่ คุณแม่เล่าว่า ของที่ขายเป็นของที่คุณแม่คัดมาอย่างดีด้วยความชอบส่วนตัว และคุณแม่ก็ขายสนุกๆ คุณแม่ชี้ชวนให้พวกเราดูชุดจานลายดอไม้ที่คุณแม่ซื้อมา น่ารักทีเดียว คุณแม่บอกว่าขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็เก็บไว้ชื่นชมต่อไปได้

หนิง ใหญ่ เล็ก บอกคุณแม่ว่าเรามาที่นี้หลายหนแล้ว แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีร้านอยู่ด้านบน ทั้งๆที่เรานั่งอยู่ใกล้ๆป้ายบอกร้าน เล็กเลยเสนอว่าจะลองออกแบบป้ายมาให้คุณแม่ดูจะได้ช่วยดึงดูลูกค้าให้ขึ้นไปข้างบนเยอะๆ

เรามองออกไปนอกร้านเห็นรถขาเข้ากรุงเทพติด ได้ยินว่ามีรถชนกัน เมื่อวานตอนเราไปปักธงชัยก็เจอรถคว่ำ วันนี้เจอรถชนกัน โชคดีที่คุณพ่อใจดีเป็นธุระขับรถนำทางเราออกทางลัดเข้ามวกเหล็ก กลับกรุงเทพได้อย่างไม่ติดขัด พวกเราสามคนลงความเห็นว่า ร้านทองบวกนอกจากอาหารอร่อย ครอบครัวทองบวกยังดูแลเอาใจใส่ลูกค้ากันสุดๆอีก ขอยกนิ้วให้เลยคะ

เรากลับเข้าเมืองดึกแล้ว รถราน้อยมากบนถนน ผู้คนคงหลับไหลอยู่ในภวังค์รวมทั้งใหญ่ที่ก็หมดแรงไปแล้วด้วย เราสามคนสนุกกับทริปแรกแห่งปีมาก ถึงแม้ว่าช่วงเวลาของทริปนี้จะสั้นนักแต่พวกเราก็เก็บเกี่ยวกันเต็มที่ เสียงหัวเราะดัง ดังที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในช่วงเวลาปกติของเรา มันทำให้เรามีพลังที่จะดำเนินชีวิตกันต่อไปและเราก็สัญญากันว่า เมื่อใหญ่เสร็จธุระเรื่องเรียน เราจะลุยกันต่อไป คราวหน้าอาจเป็นเป็ดแก๊งค์ใหญ่อีกก็ได้


เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า