วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เที่ยวแม่น้ำแม่กลอง

เที่ยวแม่น้ำแม่กลอง


จากการที่ได้ไปเที่ยวอัมพวาครั้งก่อนกับพ่อแม่และน้องเมื่อตอนสงกรานต์ คราวนั้นเป็นทริปที่เน้นไปทางอำเภออัมพวาซะมากกว่า มาคราวนี้ ได้กลับมาอีกครั้ง แต่มาคราวนี้กลับมาพร้อมพี่อ๊อดที่คราวที่แล้ว พากันไปตลุยดูน้ำท่วมพระนครเมื่อ 2-3อาทิตย์ก่อน คราวนี้เลยชวนพี่อ๊อดมาดูน้ำในแม่น้ำแม่กลองบ้างว่า จะสูงขนาดไหน เราดูตารางบินกันแล้วก็พบว่าเรามีเวลาเที่ยวเล่น 1วันในเดือนนี้ ตอนแรกหนิงเองยังนึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าจะไปไหน แต่ที่ใกล้กรุงเทพแล้วเรายังไปไม่ทั่วก็ที่เนี้ยละ สมุทรสงคราม เพราะที่นี้มีวัดวาอารามเก่าแก่เยอะ และเป็นเมืองที่มีแม่น้ำลำคลอง ดูเป็นเสน่ห์สำหรับเมืองนี้ทีเดียว

พี่อ๊อดนัดหนิง 10โมงเช้า โดยวันนี้พี่อ๊อดจะเป็นสารถีขับรถไปให้ เราออกตามกำหนดเวลา ขับกันไปเรื่อยมุ่งหน้าไปพระราม2 วันนี้ถนนค่อนข้างรถเยอะ เพราะมีอุบัติเหตุตลอดทาง ทั้งที่ความจริงแล้ว อุบัติเหตุก็ได้รับการเคลียร์แล้ว แต่ไทยมุงทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะชะลอรถดู

หนิงบอกพี่อ๊อดว่าจะพาไปหาข้าวทานก่อน ทั้งที่เวลานั้นก็ยังไม่เที่ยงดี โดยบอกให้พี่อ๊อดเลี้ยวเข้าเอกชัย พี่อ๊อดขับตามที่หนิงบอกจนถึงร้าน ร้านอาหารที่หนิงแนะนำ คือร้านคุณตุ่ม ที่คราวที่แล้วหนิงก็พา พ่อแม่ มาทานที่นี้เช่นกัน คราวนี้ก็พาพี่อ๊อดมาชิม จริงๆแล้วนอกจากร้านนี้ หนิงก็ไม่รู้จักร้านไหนแถวๆนั้นซักเท่าไหร่ ร้านนี้อาหารทะเลเขาสด สดจริงๆ เพราะเราเห็นน้องปลาว่ายน้ำเริงร่ากันก่อนจะอาบน้ำร้อนมานอนรอบนโต๊ะอาหาร

เราไปถึง 11โมง ลูกค้ายังไม่เยอะ ซึ่งวันนี้เป็นวันทำงาน นักท่องเที่ยวก็ไม่มากนัก ถ้าหากเป็นเสาร์ อาทิตย์ หรือ วันหยุดยาว ร้านนี้คนจะมาเยอะมาก

เราสั่งอาหารกันอย่างไม่รอช้า เพราะพี่อ๊อดเองก็เริ่มหิวแล้ว เราสั่งปลากระพงทอดน้ำปลา กุ้งผัดพริก ข้าวผัดปู และปลาทูต้มยำ อาหารมาเร็วกว่าที่คิด เพราะลูดค้ายังไม่เท่าไหร่ ปลากระพงเนื้อฟู สดมาก ในขณะที่กุ้งผัดพริก กุ้งตัวใหญ่ทีเดียว รสชาติกลมกล่อม ส่วนปลาทูต้มยำ ขอบอกว่าปลาอร่อยมากไม่คาวเลย และน้ำซุปรสจัดจ้าน ในขณะที่ข้าวผัดสิ้นคิด เอ๊ยข้าวผัดปู อร่อยมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนจะทานได้จนหมด ตอนแรกหนิงกับพี่อ๊อดยังคิดจะห่อกลับ ในตอนที่อาหารมาวางใหม่ๆ แต่ท้ายที่สุด ซากก็ยังพิสูจน์ไม่ได้

ตบท้ายของคาวด้วยของแถมจากร้าน ลอดช่องวัดเจษฯแสนอร่อย ของโปรดอีกเหมือนกัน

หลังอาหาร เราสองคนอยากนอนมากกว่าไปไหนเสียอีก แต่ถ้าจะกลับบ้านนอนก็คงเสียเที่ยว เราเลยเดินหน้าลุยต่อ พี่อ๊อดมีหนังสือนำเที่ยวเล่มเล็กมาให้หนิงดูว่าจะไปไหน หนิงเสนอวัดโกรกกราก เราะหนิงมักเห็นป้ายโฆษณาวัดตามริมถนน เป็นพระใส่แว่นดำ จนพาลอยากรู้ว่าทำไม วัดอยู่ในเมือง ขับรถตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึง โบสถ์เก่าที่มีพระใส่แว่น อยู่อีกด้านของฝั่งถนน เหมือนกับว่ามีถนนใหญ่มาผ่านกลางวัดอย่างนั้น เราเข้าไปในโบสถ์ไม้เก่า เห็นพระประธานใส่แว่นจริงๆ เดิมพระองค์นี้เป็นศิลาแลง อยู่มาวันหนึ่ง เกิดโรคระบาดตาแดงทั่วเมือง ผู้คนก็มากราบไหว้ บนบาน ปรากฎว่าหายจากโรคเลยมาปิดทองพระเต็มไปหมดจนไม่เห็นศิลาแลง โดยเฉพาะที่ตา ต่อมาเจ้าอาวาสในสมัยนั้นไม่อยากให้ชาวบ้านมาปิดทองที่ตาพระอีก เลยออกอุบาย นำเอาแว่นดำมาใส่ให้แทน

เสร็จจาการไหว้พระที่วัดโกรกกราก หนิงตกลงกับพี่อ๊อดว่าเราควรมุ่งหน้าสู่สมุทรสงครามเลยดีกว่า พราะที่นั้นวัดเก่าๆ แปลกๆมีมากมายให้เราเยี่ยมชมและถ่ายรูป

ไม่นานนักเราก็เข้าสู่อำเภอเมือง ความรู้ใหม่ที่หนิงได้จากมาเที่ยวหนนี้คือ สมุทรสงครามเป็นเมืองที่มีวัด ร้อยกว่าวัด แต่มีอำเภอแค่3อำเภอ คืออำเภอเมือง อำเภออัมพวา และอำเภอบางคนที เท่านั้น เป็นจังหวัด 1ใน 3จังหวัดที่มีแค่ 3อำเภอ และยังเป็นจังหวัดที่เล็กทีสุดด้วย วัดแรกที่เราตั้งใจจะไปวันนี้คือวัดบางกระพ้อม เป็นวัดที่คราวก่อนหนิงพาพ่อแม่พี่ย้องไปมาแล้ว และก็เป็นวัดที่หนิงชอบมากๆวัดนึง ด้วยว่ามีพระพุทธบาทจำลอง 4รอย ในวิหาร และจิตรกรรมฝาผนังเป็นปูนปั้หลังคาวิหารจะมีช่องสำหรับแสงเมื่อเวลาพระอาทิตย์ส่องแสงเข้ามาจะสวยมาก

หนิงกับพี่อ๊อดจัดการถ่ายรูปเป็นการใหญ่ ถึงแม้ว่าวันนี้แสงจะไม่เป็นใจมาก เพราะอากาศสลัวเหลือเกิน
เราเดินเล่นรอบๆวัด เห็นน้องหมาฝูงนึงนั่งคอยรักอยู่หน้าโบสถ์ หมากับวัดเป็นของคู่กันเหมือนช้อนกับซ้อมยังไงยังงั้น

จากนั้นเราก็เดินทางต่อ ตอนแรกตั้งใจจะไปวัดบางกุ้งก่อน แต่เนื่องจากเลี้ยวผิด ไปทางตลาดน้ำอัมพวา หนิงเลยบอกพี่อ๊อดว่างั้นเราเปลี่ยนแผนไปวัดฝรั่งก่อนแล้วกัน แต่ขณะที่เรากำลังตามรอยทางไปวัดฝรั่ง พี่อ๊อดก็เกิดอาการอยากกาแฟขึ้นมา หนิงนั่งมองระหว่างทางก็ไม่เห็นร้านกาแฟใด จนกระทั่งหันไปเห็นป้ายไปร้าน ปานากาแฟ หรือเรือนปานาลี ที่โฆษณาว่ามีทั้งก๋วยเตี๋ยวกับกาแฟ เราแอบขำกันว่าทำไมกาแฟต้องมาขายคู่ก๋วยเตี๋ยว แต่เราตกลงใจกันว่าหากาแฟกันก่อน แล้วค่อยเที่ยวต่อ หนิงบอกให้พี่อ๊อกขับตามป้ายไป ป้ายแล้วป้ายเล่า เราก็ยังไม่เห็นร้านซักที จนในที่สุดป้ายบอกใ้ห้เลี้ยวซ้าย ในตอนนั้นพี่อ๊อดกำลังจะถอดใจซื้อกาแฟ 7-11กินแทนแล้ว แต่หนิงบอกว่าช้าก่อนพี่อ๊อด เราควรเอา 7-11เป็นทางเลือกสุดท้าย พี่อ๊อดตัดสินใจตามป้ายต่อไป ตอนนี้เราข้ามสะพานข้ามแม่กลองกลับมาอีกฝั่ง แล้วมุ่งหน้าไปวัดบางกุ้งแทน หนิงเลยบอกว่าพี่อ๊อดงั้นเดี๋ยวดื่มกาแฟ แล้วต่อด้วยวัดบางกุ้งนะ เป็นอันตกลง พี่อ๊อดบ่นว่าขับมาตั้งไกลไม่ถึงสักที ขับจนจะครบรอบแล้ว ถ้ากาแฟไม่อร่อยจะเผาร้านซะเลย แต่เหมือนพรายไปกระซิบเจ้าของร้าน ทันทีที่เราเห็นป้ายร้าน เราดีใจกันออกนอกหน้า ไม่ถึงเสี้ยววินาที เราก็ร้องกันลั่นรถ "มันปิด" อย่างที่บอก พรายไปกระซิบเจ้าของร้านจริงๆละว่า "ปิดเถอะ เพราะถ้ากาแฟไม่ถูกปากนังองคนเนี้ย มันเผาร้านแน่" หนิงได้แต่ปลอบพี่อ๊อดว่ายังเหลือ 7-11เป็นทางเลือกน่ะ พี่อ๊อดเลยยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เราก็อดบ่นไม่ได้ว่า ไม่ขายก็ไม่บอกกันก่อน ติดป้ายอยู่นั้น จะว่าไปแล้ว ตลอดทาง หนิงว่าหาร้านกาแฟยากกว่าเมืองอื่นๆ เลยบอกพี่อ๊อดว่าเราน่าเปิดร้านกาแฟกันนะ คราวก่อนหนิงเองก็อยากเปิดGuest Houseแถวๆท่าเตียนมาทีแล้ว

เราเลยมุ่งตรงไปเยี่ยมชมวัดบางกุ้งก่อน วัดนี้อยู่ติดค่ายบางกุ้ง ซึ่งเป็นค่ายที่ฝึกทหารไปสู้รบสมัยก่อนกับพม่าสมัยอยุธยาโน่น แต่ที่โดดเด่นคือ โบสถ์เก่าของวัดนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่4ชนิด คือโพธ์ ไทร ไกร กร่าง จึงเรียกว่าโบสถ์ปกโพธิ์ เป็นโบสถ์สมัยอยุธยา ภายในโบสถ์ยังมีจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยา เกี่ยวกับพุทธประวัติด้วย

ต่อจากนั้นเราก็ขับรถออกมาหวังจะหากาแฟดื่ม เราก็เจอร้านทางกลับไปโบสถ์ฝรั่ง พร้อมทั้งได้ขนมสอดไส้มาแกล้ม โดยไม่ต้องไปพึ่งพา 7-11ให้เสียเชิง สิ่งที่น่าสั่งเกตุคือ ตลอดทางที่เข้ามาถนนเส้นใน เราจะ
เห็นชาวบ้านเขาขายสอดไส้กันเยอะ นัยว่าเป็นเมืองมะพร้าว อีกทั้งน้ำตาล ราคาก็ถูกแสนถูก ขอชิมยังให้ชิมฟรีซะอีก แต่ด้วยฐานะอย่างเราตอนนี้(ไม่มีจะกิน) เราก็ไม่อยากเอาเปรียบชาวบ้าน กินเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น หลังพี่อ๊อดเติมคาเฟอีน เรามุ่งหน้าไปวัดฝรั่งทันที วัดฝรั่งที่ว่ามีชื่อว่า อาสนวิหารแม่พระบังเกิด เป็นโบสถ์ที่สร้างมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว ภายในมีกระจกสีที่นำมาจากฝรั่งเศส เล่าเรื่องของพระแม่มารี แต่น่าเสียดายที่สุด เพราะโบสถ์ดันเปิดเฉพาะ พุธ ถึง อาทิตย์ หยุด จันทร์อังคาร

เราเดินเล่นรอบๆโบสถ์ มองเห็นว่าบริเวณดูสะอาดสอ้
านมาก โบสถ์ตั้งอยู่ริมแม่กลอง น้ำดูสะอาดตามาก
เวลาเริ่มคล้อยบ่ายลงเรื่อยๆ สงเดดที่วันนี้ก็ถูกบดบังอยู่แล้วจากเมฆ ก็ยิ่งลดแสงลงอีก แถมมีลมเย็นๆโชยมาปะทะใบหน้า ชวนให้เราปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปกับสายน้ำและสายลม เราตกลงใจจะไปนั่งเรือเล่นชมชีวิตริมน้ำ แต่ขอไม่ดูหิ่งห้อย เพราะดูกันมาหลายครั้งแล้ว

เราจัดแจงไปจอดรถที่วัดอัมพวัน เพราะ
ใกล้ท่าน้ำ เดินไปตลาดน้ำ พบว่าเงียบเหงาไร้ผู้คน แตกต่างกันอย่างส้ินเชิงในวันเสาร์อาทิตย์ หนิงกับพี่อ๊อดเดินไปหาเรือรับจ้าง ที่ป้ายบอกว่าเหมาเรือ600บาท แต่พอไปถามจริงๆ คนเรือบอก500บาท อาจเป็นเพราะวันธรรมดา คิดราคาถูกลงก้ได้ หนิงต่อราคาตามสัญชาตญาณของลูกผู้หญิง "400นะพี่" คนเรือบอกว่าครึ่งทาง 450 โอเคเป็นอันตกลง เราแอบได้ยินคนเรือเรียกเราน้อง พี่อ๊อดเลยแอบกระซิบว่า หนิงเดี๋ยวให้ไปเลยพันนึง ถูกใจเรียกน้อง คนเรือพาเราไปชมวัด5วัด วัดแรกคือวัดท้องคุ้ง หรือชื่อเดิมวัดราซบูรณะ วัดนี้มีหลวงพ่อองค์โตอยู่ในโบสถ์ ชาวบ้านบางทีก็เรียกหลวงพ่อดำ คนเรือบอกว่าเป็นหลวงพ่อที่โตที่สุดในคุ้งน้ำนี้

จากนั้นเขาก็ขับเรือพาเราเขาคลองบางแค ไปวัดบางแคกลาง เราลงไปสักการะพระเกตุ แต่ที่น่าแปลกใจเลยคือ เสียงเพลงลั่นวัด ถามพี่ผู้หญิงที่เดินตามเราจากท่าน้ำได้ความว่า เพลงดังเพราะพระทำงาน เอ๊ะแล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ?

เสียงเพลงหายหลังจากเราทัก อาจเพราะเกรงใจเรา เราพูดคุยเรื่องวัดกับพี่ผู้หญิง หนิงพาลมองไปเห็นว่าเขาห้อยเบี้ยทีคอก็เลยอดถามไม่ได้ว่ามาจากที่ไหน พี่เขาบอกว่าเป็นของที่วัด ศักดิ์สิทธ์มาก เห็นว่าเคยมีราชองค์รักษ์ใส่แล้วแคล้วคลาดจากภัยต่างๆ อันนี้ใครอยากได้ไว้ก็คงต้องมาขอกันทีนี้


ออกจากวัดบางแคกลาง เราก็มาบางแคใหญ่ หนิงถามว่าแล้ววัดบางแคน้อยอยู่ไหน คนเรือบอกว่าไปอีก เลยเป็นที่น่าสงสัยว่าทำไม
เขาไม่เรียงใหญ่ กลาง น้อย หรือ น้อย กลาง ใหญ่ ทำไมต้องเรียง กลาง ใหญ่ น้อย นเรือเองก็ตอบไม่ได้ เพราะเกิดไม่ทัน เพราะวัดแต่ละที่ที่ไป ล้วนแต่เก่าตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ทั้งนั้น

วัดบางแคใหญ่ดูจะเป็นวัดมีระดับ เพราะเป็นถึงวัดอารามหลวง เกิดมาหนิงก็เพิ่งจะรู้ว่า วัดอารามหลวงเขาจะมีใบเสมาเป็นคู่ วัดนี้มีจิตรกรรมฝาผนังที่กฎิสงฆ์ เป็นช่างในรัชกาลที่3 ก็เป้นที่หน้าเสียดายอีกว่า เราไม่มีโอกาสได้เยี่ยมชม เพราะพระท่านว่าเย็นแล้ว เขาปิดกุฏิไปแล้ว แต่หนิงกับพี่อ๊อดได้มีโอกาศนั่งสนทนากับหลวงพ่ออยู่พักใหญ่ ไม่ใช่เรื่องธรรมมะหรอก หากแต่เป็นเรื่องท่องเที่ยวอัมพวา ท่านแนะนำที่เที่ยวในฤดูต่างๆ อย่างหน้าผลไม้ ท่านว่าเราควรบุกสวนลิ้นจี่ แล้วซื้อจากสวนเลย ท่านยังเล่าว่าหน้าลิ้นจี่ ถ้าเรามากลางคืน เราจะเห็นไฟสว่างไสวในสวน เพราะชาวสวนจะติดไฟนีออนไว้ไล่ค้างคาว นี้เป้นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้ธรรมชาติสู้กับธรรมชาติจริงๆ เพราะค้างค้าวมันไม่ค่อยชอบแสงเท่าไหร

หลวงพ่อคุยสนุกมาก ทั้งยังแนะให้เราบอกคนเรือให้พาลัดเข้าคลองเล็กๆดูวิถีชาวบ้านอีก
เรากราบลาหลวงพ่อ บ
อกว่าขอแปะโป้งไว้ก่อน เราจะกลับมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ได้เห็นของดี(จิตรกรรมฝาผนัง)

ตอนเดินออกมา หนิงบอกพี่อ๊อดว่าท่านเคยทำงานอยู่ ททท พี่อ๊อดหันมาบอกว่า เมาท์ จริงๆแล้วเราชื่นชอบหลวงพอมากที่ทำให้เราเห็นว่าท่านเองช่วยส่งเสริมชุมชนอย่างไร


จากนั้นคนเรือพาเรามาวัดบางแคน้อย จริงๆเรื่องวัดจะน้อย จะใหญ่ เนี้ยมีที่มา วัดบางแคใหญ่ เป็นวัดที่ภรรยาหลวงของสมุหกลาโหมในสมัยราชการที่2 มาทำบุญ ส่วนวัดบางแคน้อย ก็ภรรยาน้อยนั้นเองที่มาทำบุญ


ที่วัดนี้เขามีพระบรมสารีริกธาตุให้เราได้สักการะ โดยสร้างที่ตั้งสวยงาม ด้านในเราเจอกฏิไม้สักที่ยังสร้างไม่เสร็จ สำหรับเจ้าอาวาส แต่ท่านได้มรณะภาพไปก่อน โดยยังมีโลงอยู่ที่นั้น ที่วัดนี้เราเจอเด็กน้อยน่ารักชื่อก้องมาไหว้หลวงปู่ที่มรณะไปแล้ว โดยก้องบอกเราว่าหลวงปู่นอนหลับ เด็กหนอเด็ก ช่างไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้

เราออกจากวัดเกือบ5โมงเย็นแล้ว โดยวัดสุดท้ายที่เราไปคือวัดบางจาก ที่นี้มีโบสถ์เก่า ตอนหนิงกับพี่อ๊อดเข้าไป ไม่มีใครในโบสถ์ แถมโบสถ์ยังมืดเสียอีก หนิง
เลยแอบไปเปิดไฟ ก็มองเห็นความสวยงามในโบสถ์ ก่อนกลับ เราก็ไม่ลืมที่จะปิดไฟให้

เราขอให้คนเรือเข้าคลองบางจากเพื่อดูวิถีชาวบ้านก่อน
ทะลุออกอัมพวา เราตกลงใจจ่ายค่าเรือไป 500 เพราะคนเรือเขาก็ใจดี ขออะไรก็ไม่ขัด

วันนี้เรากลับกรุงเทพสบายๆแบบรถไม่ติด คงเพราะว่าไหว้พระมาเยอะกุศลเลยส่ง กลับมาหาอาหารง่ายทานข้างถนนแถวปากทางลาดพร้าว หนิงกับพี่อ๊อดเลยเข้าไปเดินเล่นที่Union Mall ก่อนกลับบ้าน เลยพบว่าของเขาดีจริงๆ ทั้งถูก ทั้งดี
เพราะคัดมาแล้วจากPlatinum อันนี้พี่เชอรี่กับพี่นก confirmมาอีกที คราวหน้า หนิงกับพี่อ๊อดเลยตั้งใจว่าจะนำเที่ยว Union Mall แทน