วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่5 Great day, great view, great friends.

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่ 5 Great day, great view , great friends

หลังจากเรานอนเอาแรงอย่างมีความสุขเมื่อคืนแล้ว ตื่นเช้ามา ร่างกายเราก็เรียกความสดใสกลับมาอีกครั้ง แผนการณ์ปั่นที่เราได้รับทราบมาวันนี้ มีระยะที่ประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร และแน่นอนระยะทางวันนี้เป็นเขาซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้าย ที่จะมีการพากันไปดูนาขั้นบันได ที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน และยังถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทางรัฐบาลจีน สนับสนุนอีกด้วย

เช้านี้เราออกเช้าเหมือนเดิมโดยพวกแม่บ้านยังได้นอนเล่นต่อไปอีก เมืองหลี่ชุ่นนี้ ประชาการส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยเป็นชาวอีก้อ และเย้า มีหมู่บ้านเล็ก หมู่บ้านน้อยตามเขา ตามดอยอย่างที่เราพบเห็นมาตลอด อากาศบนเขาเย็นสบาย ทั้งที่นี้แค่เดือนตุลาคม ถ้าเป็นฤดูหนาว คงจะหนาวมาเอาการทีเดียว

หนิงกับออยจัดการแต่งตัวเรียบร้อย ลงมาทานอาหารเช้า อาหารเช้า เป็นเหมือนเส้นขนมก๋วยเตี๋ยว ราดด้วยเครื่องต่างๆ มีน้ำซุปร่วมผสมโรง หนิงมารู้ตอนหลังว่า เขาเรียกว่าขนมข้ามสะพาน ที่ว่าข้ามสะพานนั้นมันอย่างไง จะเล่าให้ฟัง

เรื่องของเรื่องคือเมื่อหลายร้อยปีก่อน ประมาณ 200ปีมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหน่ึงอยากจะเข้าไปสอบจอหงวนในเมืองหลวง แต่ด้วยต้องอ่านหนังสือเยอะและไม่ต้องการการรบกวน ชายหนุ่มคนนี้ก็เลยหนีไปอ่านหนังสือที่เกาะแห่งหนึ่ง โดยทุกๆวันภรรยาของ เขาจะนำอาหารเดินทางข้ามสะพานมาส่ง แต่ในทุกวันอาหารที่ทำมากว่าจะถึงมือชายหนุ่มก็เย็นหมด ภรรยาเองก็หมดปัญญาที่จะทำให้มันอุ่นตลอด แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ภรรยาทำไก้ต้มเสร็จแล้ว โดยไก่ยังอยู่ในน้ำซุป ก็เผลอหลับไป แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าน้ำซุปนั้นยังคงความร้อนอยู่ ภรรยาเชื่อว่า ไขมันไก่ที่ลอยบนน้ำรักษาความร้อนไว้ได้ ดังนั้นในวันต่อมานางจึงได้ทำน้ำซุปไก่ แล้วนำขนมจีน หมูหั่นบางๆ ผักดอง และเครื่องปรุงต่างๆ นำไปให้ชายหนุ่มได้กิน มื้อนั้นชายหนุ่มบอกว่าเป็นอาหารที่อร่อยมาก จึงถามภรรยาว่าอาหารชนิดนี้ชื่ออะไร ภรรยาตอบว่าไม่มีชื่อแต่ว่าระหว่างทางนางได้เดินข้ามสะพานมา จึงเรียกอาหารชนิดนี้ว่าขนมจีนข้ามสะพาน ต่อมาชายหนุ่มสามารถสอบจอหงวนได้ และขนมจีนข้ามสะพานก็เป็นที่นิยมในมณฑลยูนนานในเวลาต่อมา

หลังจากอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราก็เริ่มทยอยเอากระเป๋าขึ้นรถ ในวินาทีนั้นเองที่ออยพบว่าสมบัติล่ำค่าของออยได้อันตธานไปจากที่ซ่อน ออยตั้งหน้าตั้งตาสืบหาร่องรอย แต่ก็ไม่พบ สุดท้ายออยได้แต่มานั่งหน้าตูบ ไม่พูดไม่จากับใคร จนมีเสียงแซวลอยมาว่าใครแอบเอาไปให้เอามาคืนดีๆ แต่ในทันใดนั้นเอง เหมือนพรายกระซิบ พวกพี่ๆเห็นออยเดินกลับไปง้วนอยู่ที่ กระเป๋า แล้วแสงประกายที่ตาออยก็เจิดจรัส ออยเจอสมบัติล้ำค่าแล้ว สืบไปถามมาได้ความว่า มันมาอยู่ได้ไง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าตัวเก็บอย่างดีมาแต่เมื่อคืนนั้นเอง เพียงแต่เมื่อวานเหนื่อยจัด เลยเกิดอาการ ไฟลัดวงจรทางสมองเล็กน้อย เป็นอันว่าวันนี้ออยอารมณ์ดีแล้วพร้อมลุยต่อไป

เรารอกันจนพร้อมทุกคน แล้วก็เริ่มปั่นกันออกจากเมืองหลี่ชุน เมืองหลี่ชุน จัดว่าเป็นเมืองบนเขาที่ใหญ่ทีเดียว เพราะตั้งแต่ปั่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงตอนนี้ที่กำลังจะลาจาก เป็นระยะทางที่ไม่น้อยทีเดียวที่สอง ข้างถนนเป็นตึกใหญ่เหมือนตึกที่สร้างบนพื้นราบ

เราปั่นกันไปเรื่อยๆเพื่อหาจุดชมวิวถ่ายรูปกัน มันทำให้เราเห็นว่า ที่ๆเราปั่นขึ้นมากันเมื่อวานมันช่างสูงอะไรอย่างนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่า พวกเราปั่นขะโยกเขยกมากันจนได้ เราถือว่าวิวที่เราเห็นตรงหน้ามันคือรางวัล ที่เราตั้งใจปั่นกันมา ภูเขาซ้อนๆกันเบื้องหน้า แต่อีกนัยหนึ่งมันทำให้เราตระหนักว่าวันนี้เรายังคงต้องปั่นขึ้นเขากันอีก หนิงได้ข่าวว่าการปั่นวันนี้ เป็นการปั่นขึ้นไปเพื่อดูวิวพระอาทิตย์ยามเย็น นั้นหมายความว่าเรามีเวลาเป็นตัวกำหนดให้ต้องปั่นในวันนี้ ระยะทางในวันนี้ไม่ถึง 100กิโล เพียงแค่ 96กิโลเมตรเองเท่านั้น เส้นทางที่ได้ยินมา เขาว่าลงเขาซะส่วนใหญ่ แต่ถึงไงข่าวที่ลือกันมา ไม่อาจจะเชื่อถือได้ เพราะว่า4กิโลแม้วที่เคยได้ยิน ในทุกยุคทุกสมัยก็ทำเอากระอักมาแล้วหลายครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้ หนิงถึงทำใจรอไปก่อน

หลังเราชักภาพกับวิวสวยๆแล้ว เราก็เริ่มไหลลงจากเขากัน ด้วยความที่การลงเขาเป็นของชอบพี่หมุ พี่หมูเลยนำพวกเราไปก่อน และนั้นเองทำให้พี่หมูหลุดด่านลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ว่าหลุดไม่ได้หมายถึงแหกโค้งหรืออะไร เพียงแต่ว่าพี่หมูไปถึงเร็วก่อนที่ด่านจะตั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น พี่หมูเลยไม่ต้องมาติดอยู่ที่ด่านเหมือนพวกเรา หลังจากพี่หมูผ่านไม่นาน ทหารจีนก็ตั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วเราก็ถูกกักบริเวณที่นั้น พวกเราถึงแม้จะอยากแหกด่านกันลงไป แต่ใครละจะกล้า พี่ทหารเล่นยืนจังก้าหน้าคว่ำ ทหารจีนไม่ใช่ทหารไทย พูดไม่รู้เรื่องขึ้นมาจับยัดคุกละซวยแน่ๆ พวกเราไหลลงมาด้วยความเร็วสูงแต่ก็ เตะเรคกันตัวโก่งทีเดียว พวกเราเลยได้แต่นั่งรออยู่ที่ด่านนั้น เรารอจนกว่าพี่เยาว์จะเอา Passportพวกเราออกมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ พักใหญ่กว่าพี่เยาว์จะมา เราถึงได้หลุดออกจากด่านได้สะดวกโยธิน เหตุที่ทหารมาตั้งด่านบริเวณนั้น เนื่องจากภูมิภาคที่เราไปปั่นนั้น ติดกับเวียดนามและลาว แต่ด่านนั้นมันก็เข้ามาในเขตจีนพอสมควร เลยไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ว่ามาตั้งทำไม แต่ถึงไงเมื่อเราหลุดมาได้ เราก็ยังคง downhillกันต่อไป เสียงพี่หมูวอมาบอกเส้นทางเป็นระยะ เส้นทางยังคงมีการทำถนนเป็นช่วงๆ พี่บี๋ยังคงต้องย่องลงมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงซักเท่าไหร่ เราไหลมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็หมดทางเขา เหลือเพียงแต่ทางเลาะริมน้ำไปเรื่อยๆ อีกไม่นานเราก็จะได้พักเที่ยงกัน อากาศเย็นยามเช้าหายไป เมื่อถึงพื้นล่างอากาศร้อนเริ่มเข้ามาแทนที่ เราถอดเสื้อกันลมออกเก็บ เพราะมันไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว เราปั่นไปคุยไปกันเรื่อยๆ ร้านอาหารกลางวันอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆระหว่างทาง เราไปถึง ได้ยินสาวๆจากรถตู้ร้องหาห้องน้ำกันจ้าละหวั่น แต่สุดท้ายก็เห็นเดินสมัครใจเข้ารกเข้าพงจนได้

อาหารเที่ยงวันนั้นเหมือนทุกวัน มันๆเลี่ยนๆแบบคนจีน อาหารจานโตหลายจานวาง และอย่างเคย อาหารเหลือ แต่วันนี้แอบเห็นพี่หมูไปได้หนอนไม้ไผ่มา เห็นเอาไปให้แม่ครัวคั่วมาจาน แต่เห็นที โต๊ะเด็กๆคงขอบาย เพราะไม่สันทัดอาหารป่าเช่นนั้น เราพักกันไม่นาน เพราะระยะทางที่เหลือจะต้องปั่นไปเพื่อขึ้นเขา ไม่สบายอย่างเมื่อเช้าแล้ว

เราออกตัวกันพลางๆ ไปได้สักพัก พี่ชายก็แอบปั่นหนีอย่างรวดเร็ว ได้ความว่าจะไปหาทำเลเหมาะเจาะวางทุ่นซะหน่อย เราปั่นตามไปเรื่อยๆ หวังจะตามกลิ่นไป แต่ระหว่างทางเป็นทางเลาะแม่น้ำและสันเขา ดูยังไงก็ไม่เห็นวี่แววพี่ชาย พอไปอีกหน่อย ก็มีป่ากล้วย กล้วยหอมลูกโตๆเครือยาวละพื้น มองไปก็ไม่เห็นพี่ชายเลย แถบนี้เราไม่เห็นต้นยางแล้ว แต่ยังคงเห็นสวนกล้วยอยู่บ้าง แต่ที่เห็นมากขึ้นคือนาขั้นบันได พูดถึงนาขั้นบันไดแถวบ้านเราก็มีทางภาคเหนือแถวแม่ฮ่องสอน แต่ความใหญ่โตไม่เท่าที่เมืองจีนแน่ เพราะว่าเขาแต่ละลูกที่คนจีนขึ้นไปปลูกข้าว มันสูงใหญ่นัก เกินบรรยายจริงๆ เคยได้ยินคนพูดว่าหน้านาเราจะได้ยินเสียงน้ำไหล จากคันนาขั้นบันได เรื่องนี้หนิงยังไม่เคยได้มีโอกาสได้พิสูจน์เลย สักวันถ้าได้ยินจะจะแล้วจะเล่าให้ฟัง

เราเริ่มกังวลนิดหน่อยกลัวว่าจะหลงกัน เมืองจีนไม่ใช่เมืองไทย หลงไปหาทางกลับไม่ถูกด้วย แต่ถึงไงเราก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาปั่นกัน เพราะท้ายสุดเราต้องปั่นขึ้นเขากันหลายสิบกิโล เดี๋ยวจะพลาดดูพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดกัน ก่อนขึ้นเขาเราหยุดพักกินน้ำกันก่อน เป็นช่วงที่เรารอพี่ชายด้วย และไม่นาน พี่ชายก็เผยโฉมออกมา ได้ความว่าพี่ชายแอบเข้ารกเข้าพง แต่ไม่มีโอกาส วอบอกพวกเรา เพราะกำลังทำธุระหนักอยู่ เป็นอันว่าสมาชิกเราครบแล้ว ช่วงที่เรากำลังนั่งพัก หนิงกับออย ออกอุบายอยากแกล้งพี่ต๋อง แต่แผนล้มซะก่อน เพราะพี่ต๋องระวังตัวตลอดเวลา ตอนแรก เรากะจะเอาหินไปซุกไว้ในกระเป๋าข้างจักรยานพี่ต๋อง เวลาปั่นขึ้นเขาจะได้หนักๆ แต่ที่ไหนได้แผนนี้ไม่สำเร็จ และในขณะที่สาวๆวางแผนแกล้งลุง หนุ่มๆก็รุมจีบอาหมวยขายน้ำเป็นการใหญ่ โดยพี่พงษ์ถึงกับวางแผนเจาะยางตัวเอง

พอออกจากร้านน้ำได้หน่อย พี่พงษ์ก็วอมาบอกว่ายางแบน นั้นไง พี่พงษ์กะจะค้างบ้านหมวยชัวร์ แต่พี่ไกด์ ผู้เป็น buddyตลอดทางของพี่พงษ์ ประกาศให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นแผนการณ์แยบยลที่พี่พงษ์วางไว้จึงล้มเหลว ในขณะที่พี่บี๋ประกาศตั้งหน้าตั้งตาปั่นไปให้ถึงไวๆ และก็มีออยติดสอยห้อยตามไปติดๆ วันนี้ออยตัดสินใจทิ้งอาจารย์ต๋องไว้ข้างหลัง แต่พี่ต๋องก็มีหนิงแปะติดไปตลอด เพราะหนิงอยากรู้ว่าแรงพี่ต่องจะแค่ไหนกัน

ออกจากร้านหมวย เราก็เริ่มไต่เขากันเลย โค้งซ้ายโค้งขวา กว่าจะหมดแต่ละโค้งมันช่างยากเย็นเหลือเกิน หนิงเกาะพี่ต๋องไปติดๆ โดยมีพี่บี๋นำขึ้นไปก่อนและมีออยตามหลัง พี่ต๋องปั่นเป็นจังหวะๆ เสียงหายใจไม่มีให้ได้ยินสักนิด แสดงถึงความฟิตทีเดียว หนิงแอบลอบมองหลายหน เห็นสายตามุ่งมั่นของพี่ต๋อง หนิงนึกในใจว่าพี่ต๋องจะตั้งหน้าตั้งตาปั่นไปถึงไหนกัน ไม่คิดจะเงยหน้าชมวิวหรือไร หนิงเลยจักการกำจัดความเงียบในทันที หนิงทั้งชวนคุย ร้องเพลง กดวอเรียกคนโน้นคนนี้ พี่ต๋องก็ไม่สนใจ มีการหันมาต่อว่าว่าทำสมาธิปั่นจักรยานเสีย แต่นกแก้วอย่างหนิงก็ยังคงไม่หยุดเสียง การปั่นเงียบๆมันช่างไม่น่าพิสมัยเอาซะเลย ปั่นไปได้หลายโค้ง หนิงเริ่มหิวแล้ว เวลาตอนนั้น 4โมงเย็น อาหารเมื่อเที่ยงย่อยสลายไปหมด ดีที่ว่าหนิงเอาเสบียงติดกระเป๋าหลังมา มีทั้งแอ๊ปเปิ้ล กล้วย หนิงเลยจัดแจงส่งกล้วยให้พี่ต่อง แต่ทันที่ที่พี่ท่านกินหมด เธอก็โยนเปลือกมาหน้าจักรยานหนิง ทำอย่างกับว่่าเราจะลื่นไถลซะงั้น แต่คนดีผีคุ้ม ไม่มีซะละที่พี่ต่องจะกำจัดหนิง หนิงยังคงปั่นไปเรื่อยๆตามพี่ต๋อง ช่วงเวลานั้น เหมือนพี่ต๋องพยายามจะเร่ง แต่ความสูงชันของเขา กับความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นมาเกือบทั้งวันไม่ทำให้พี่ต๋องสามารถหนีหนิงไปได้ หนิงเกาะตามพี่ต๋องมาเรื่อยๆ เสียงหายใจของหนิงเป็นจังหวะ หนิงลอบมองพี่ต๋องเป็นครั้งคราวเหมือนอยากจะรู้ความในใจ แอบเห็นสายตาพี่ต่องจับจองไปบนพื้นถนน ที่ไอความร้อนละเหยลอยมาปะทะใบหน้า โค้งแล้ว โค้งเล่า เราก็ยังไม่เห็นยอดเขาสักที นาฬิกาข้อมือบอกเวลาล่วงเลยมาแล้ว1ชั่วโมง ก่อนหน้านี้ที่จะหมดสัญญาณวิทยุ หนิงได้ยินว่าพี่พงษ์ทำการปะยางเรียบร้อยแล้ว หนิงมองไปข้างหน้า เห็นหลังใครสักคนแว้บๆ หลังน้อยๆของสาวน้อย น้องออยนั้นเอง ออยพยายามตามพี่บี๋ แต่พี่บี๋ชายหนุ่มที่พลังช้างก็ปั่นทิ้งออยไว้คนเดียว ออยมุ่งมั่นปั่นโดยไม่สนใจข้างหลัง เหมือนหนิงอ่านใจพี่ต๋อง พี่ต๋องเริ่ม speedขึ้นนิดๆ หวังจะตามออยให้ทัน หนิงต้องเร่งจังหวะตาม ออยตัวค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ออยก็ยังนำเราอยู่ 1โค้ง ตอนนั้นหนิงเองเริ่มหันรีหันขวาง นึกในใจว่าอย่าให้ออยเห็นพี่ต๋องเลย ไม่งั้น ตูเหนื่อยขึ้นอีกแน่ แต่แล้วออยก็หันมาเห็นพี่ต๋องจนได้ หนิงสังเกตเห็นจังหวะออยเร่งขึ้น ‘เอาแล้วสิกู ศิษย์คิดหนีครู แล้วกูละ จะทำไงดี’ แต่ช่วงแห่งความคิดมันมาไวไปไว ไม่ต้องคิดมาก ‘ตามอย่างเดียวกู’ ว่าแล้วหนิงก็เร่งจังหวะตาม ขณะที่ความเข้มข้นของการะประลองกำลังกันเล็กๆ กำลังเริ่มต้น ก็มีเสียงลอยตามคลื่นอวิทยุมา ไม่ไกล แค่เขาทางซ้ายมือนั้นเอง ‘เห็นบี๋ไหม เห็นบี๋ไหม’ เสียงพี่บี๋ร้องเรียกทันทีที่เห็นพวกเราปั่นขึ้นมากัน พี่บี๋ปั่นนำกว่าเยอะ แน่นอนเพราะรถที่พี่บี๋ใช้เบากว่าใครๆในกลุ่ม บวกกับกำลังหนุ่มใหญ่ของพี่บี๋ แต่ช่วงที่เราแสนจะเหนื่อยเพราะตะบี้ตะบันปั่นตามขาแรงอยู่นั้น หนิงก็นึกในใจว่า ‘กูไม่เห็นบี๋หรอก แต่ตอนนี้กูงะ เห็นหมีแน่ๆ’ เหนื่อยเหงื่อโทรมกายขนาดนั้น แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ออยซึ่งกำลังโดนพี่ต๋องปั่นไล่มาติดๆก็ถึงพี่บี๋ก่อน หนิงเห็นสายตาเสียดายของพี่ต๋อง พี่ต๋องคงคิดว่า ระยะไกลกว่านี้เถอะ ออยเสร็จแน่ หนิงตามมาติดๆ พวกเราหยุดพักเหนื่อยอึดใจก่อนที่ออยและพี่ต๋องจะปั่นนำไปก่อน ส่วนหนิงหลังพิสูจน์แล้วว่าสามารถเกาะพี่ต๋องได้ตลอด ก็ขอพักรอพี่ๆคนอื่นๆอยู่ที่นี้ต่อไป

หนิงกะพี่บี๋ยืนคุยกันไม่นานก็เห็นพี่ๆปั่นออกจากเหลี่ยมเขาขึ้นมา หนิงกับพี่บี๋เลยจัดการร้องเพลงรอ ทั้งร้องทั้งเต้น พี่หมูปั่นมาถึงก่อนใคร แล้วเลยเลยไปก่อนเลย ในขณะที่พี่ชายและพี่วัชร ตามไม่ห่าง คู่สุดท้ายหนีไม่พ้นชายคู่ เจ้าของแผนการณ์นอนบ้านหมวย พี่พงษ์กะพี่ไกด์ เมื่อเราถึงกันครบ เราจัดการถ่ายรูปเป็นที่ระทึกว่า วันนี้กูปีนเขากันสูงอีกแล้ว ก่อนที่เราจะออกเดินทางกับเวลาที่เหลือแค่ 1ชั่วโมง กับระยะทาง10กิโลกว่าๆ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดิน หนิงได้ยินพี่หมูวอถามทาง เลยขอให้พี่บี๋ตามไปดู เพราะพี่บี๋สามารถโขยกไปได้ไวกว่าใครๆ ตอนนั้นเราอยู่กันห้าคน ค่อยปั่นกันไป พี่ชายกับรถfullsus ที่แสนจะหนักเป็นอุปสรรคในการปั่นยิ่งนัก แต่เราก็ปั่นรอกันไป พี่พงษ์หลังจากเปลี่ยนยาง ความที่สูบที่ใช้สูบเป็นอันเล็ก แรงอัดจึงไม่เต็มที่ ทำให้ยางอ่อนกินแรงเวลาปั่น พี่ไกด์เลยประกบตลอด หนิงปั่นรอ ปั่นนำไปไม่ไกลนัก เรามองออกไปทางซ้ายมือ สิ่งที่เราเห็นคือหุบเขาและเส้นทางที่เราปั่นกันขึ้นมา มองไปไกลๆหน่อยเห็นหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา แสงพระอาทิตย์ยามเย็นทอเป็นสีทอง อีกไม่นานก็จะลาลับขอบฟ้า พวกเราเริ่มกังวล ว่าเราจะไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกกัน แต่เราก็ยังคงปั่นกันอยู่ ในใจคิดว่าอย่างน้อยเราก็จะได้ปั่นครบระยะทางกัน พี่บี๋วอมาบอกว่าเจอพี่หมูแล้ว พี่บี๋กับพี่หมูเลยปั่นไปด้วยกัน เสียงวอของออยบอกว่าใกล้ถึงเต็มที ออยกับพี่ต๋อง ออกมาก่อนตั้งนานยังไม่ถึง แล้วเราละ คิดอย่างนั้นหนิงเดาว่าเราคงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกบนยอดเขาแน่ แต่จะว่าไปตรงที่เราอยู่ก็สูงพอที่จะเห็นความงาม และแล้ว เมื่อเวลามาถึง พวกเราห้าคนที่ยังคงปั่นกันอยู่ ก็ได้ดูวิวพระอาทิตย์ที่ตกที่สวยที่สุดในทริปนั้น เราปั่นมุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือ ซ้ายมือเราเป็นหุบเขา ที่เห็นนาขั้นบันได เต็มไปหมด มีหมู่บ้านน้อยๆ อยู่ตามไหลเขา 2-3แห่ง แสงทองของพระอาทิตย์หมด ไป เหลือเพียงลูกกลมๆสีส้มลอยอยู่ยอดภูเขาที่สูงตระหง่าน หนิงตะโกนเรียกให้พี่ๆดู พวกเราดูอย่างชื่นชม ความเหนื่อยที่ต้องปั่นกันมาหายเป็นปลิดทิ้ง เสียงพี่ชายของจอดถ่ายรูป แต่หนิงยังคงปั่นต่อไป คิดในใจว่ามันจะเป็นเพียงภาพที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป เสียงพี่ไกด์ลอยตามลมมาว่า Great day,great view and great friends. มันเป็นความประทับใจมากในการปั่นวันนั้น ตลอดทางที่มีอุปสรรค พวกเราไม่ทิ้งกัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะพลาดความสวยที่ใครๆว่าที่สุด แต่แค่นี้สำหรับเราแล้ว ความสวยอย่างนี้ถือว่าเป็นที่สุดของทุกวัน

ท้ายที่สุดเมื่อเราไปยังจุดชมวิว ความงามตรงหน้ากลับไม่ได้สร้างความประทับใจเท่ากับภาพที่เราเห็นก่อนหน้า ความรู้สึก สิ่งที่เห็น เสียงที่เราคุยกันตลอดทาง ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดจริงๆ