วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

นอนเล่นๆแถว.....แพร่งภูธร

นอนเล่นๆแถว……แพร่งภูธร


ออกเดินทางในวันเกิด


เรื่องการไปเที่ยวเล่นกับพี่อ๊อด เริ่มขึ้นมาไม่นานมานี้ แต่นับวัน หนิงกับพี่อ๊อดก็ชวนกันไป เที่ยวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ สืบเนื่องมา

จากหน้าที่การงานที่เราสองคนมีวันหยุดที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ และเราก็ยังหาวันหยุดที่ตรงกันได้บ้าง หรือถ้าไม่ได้ก็ต้องแลกตารางบินกันไป หลายทริปที่ผ่านมา คนอาจจะรู้จักพี่อ๊อดแค่ผ่านๆ คราวนี้เรามารู้จักพี่อ๊อดกันมากขึ้นหน่อย ในมุมมองของหนิง จริงๆแล้ว หนิงเพิ่งจะมาสนิทกับพี่อ๊อดไม่นานมานี้ เพราะ social network ที่กำลังมาแรงสุดๆ อย่างFace Bookที่ทำให้เราคุยกันมากขึ้น พี่อ๊อดเป็นเพื่อนกับพี่ปั้นหยา ภรรยาพี่ต๋อง ถ้าใครได้อ่านเรื่องปั่นจักรยานเที่ยวเมืองจีน พี่ต๋องหัวหน้าทัวร์ขาแรงบ้าพลังของเรานั้น ละ พี่ต๋อง และพี่ปั้นหยา เที่ยวกับพี่อ๊อดมาก่อน จนเมื่อหลายปีก่อน ทริปเปรู หนิงได้เข้าไปร่วมเดินทางกับพี่ต๋องด้วยด้วย แต่คราวนั้นพี่อ๊อดไม่ได้ไป เราจึงยังไม่รู้จักกัน ต่อมาไม่นาน หนิงมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่อ๊อด แต่ก็ยังไม่ได้ไปไหนด้วย เพราะตอนน้ันพี่อ๊อดยังจับคู่เที่ยวกับพี่ต้น เพื่อนสนิทของพี่อ๊อด จนในที่สุดโชคชะตาก็ให้เราได้มาเจอกันอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ หนิงซึ่งกลับมาใช้ชีวิตเดี่ยวๆ กับพี่อ๊อดที่ใช้ชีวิตโดดๆ มาจับคู่เที่ยวกันอย่างเหมาะเจาะ



หลายครั้งที่เราออกเที่ยว มักเป็นการไปแบบ day trip เพราะเราหาวันว่างตรงกันได้แค่ 1วันเท่านั้น หากแต่คราวนี้เรากางตารางบินแล้วพบว่า เราหยุดตรงกัน2วัน ดังนั้น trip จึงได้ขยายจาก1เป็น2วัน แต่ในตอนแรกเรายังไม่ตกลงว่าจะไปไหนดี จนกระทั่ง อีก 3วันจวนจะถึงวันที่เรานักหมายกัน วันนั้น พี่อ๊อดนอนเล่นอยู่ปารีส ในขณะที่หนิงเพิ่งจะถึง ที่ซิดนีย์ เราใช้การสื่อสารยุคใหม่ให้มีประสิทธิภาพ โดย หนิง online ทันที และทันทีที่เปิด Face book หนิงเห็นพี่อ๊อด link โรงแรมมาให้ดูโรงแรมนึง อยู่แถว แพร่งภูธร ชื่อว่า The Bhuthorn หนิงจัดแจงกดดูlink ในทันที เพราะอยากรู้ว่าคืออะไร และทันทีที่homepageขึ้นมา หนิงได้แต่อึ้ง หนิงกดเข้าไปดูที่ละห้อง ทีละห้อง ในใจคิดว่า พี่อ๊อด ต้องอยากไปเหมือนกันแน่ๆ คิดได้ดังนั้น หนิงจัดแจงตอบพี่อ๊อดไปว่า ‘น่าไปพี่อ๊อด ไปนอนกันไหม 24-25แล้วเที่ยวมันแถวนั้นเลย เดินตามรอยนักท่องเที่ยว’ พี่อ๊อด กด likeสวนกลับมาทันที เป็นอันรู้กันว่า เราทั้งสองคนเห็นดีเห็นงามกับการเดิน ทางครั้งนี้ ถึงแม้หนิงจะยกแผนสองมา แต่พี่อ๊อดบอกให้จองเลย ถ้าว่างเราลุยกัน และเหมือนฟ้าเป็นใจ การจองเป็นไปอย่างราบรื่น และมีห้องพักให้เราได้เลือกถึง 2ห้อง คือห้อง นารา และห้องภูธร หนิงเลือกห้องภูธร เพราะห้องนาราดูจะใหญ่เกินไปสำหรับเราสองคน



หลังจากกลับจากบิน วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่หนิงต้องทำธุระให้เสร็จก่อนจะไปเที่ยว หนิงนัดเจอพี่อ๊อด 11โมง เพื่อว่าเราจะได้ไป เช็คอิน ตอนเที่ยงพอดี

แผนการณ์ทุกอย่างดำเนินไปไม่ผิดแผน หนิงแต่งตัวโบกมือร่ำลาแม่ บอกว่าจะไปทำตัว เป็นญี่ปุ่นนักท่องเที่ยวซะหน่อย

กระเป๋า 3ใบที่หอบพะรุงพะรัง หนิงซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปหาพี่อ๊อดหน้าปากซอย พี่อ๊อดกับกระเป๋าใบน้อย 1ใบ มองหน้าหนิงแล้วถามว่า ‘จะออกไปหางานในเมืองทำ เหรอน้อง’ เสียงหัวเราะขำๆที่พี่อ๊อดเห็นหนิงหอบของมากมาย เพราะเราไปแค่คืนเดียว แต่หนิงขนของมาอย่างกับจะไปหลายวัน หนิงเองได้แต่หัวเราะขำตัวเอง เพราะก็รู้ตัวว่ากลายเป็นบ้าหอบฟางไปแล้ว



เราเรียกรถแท๊กซี่แทนการขับรถ เพราะที่จอดรถในละแวกนั้นหายากมาก ลุงคนขับแท๊กซี่ก็แสนจะใจดี ให้เราบอกทางอย่างเดียวทั้งที่ลุงก็ไม่รู้จักสถานที่ที่เราจะไป หนิงกับพี่อ๊อดใจจอจ่อกับการเดินทางมาก เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะไปหาเนี้ย มันขนาดไหนกัน เดากันไม่ออกจริงๆ


รถขับผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายผ่านมนนมสด เราไปกันผิดทาง หนิงบอกให้ลุงวนกลับไปอีกทางเพื่อเลี้ยวเข้าซอยอีกซอย แล้วคราวนี้เราก็เริ่มจะมาถูกทิศ แต่ด้วยความไม่แน่ใจ เราก็ทำให้ลุงลังเล จะเลี้ยวซ้ายขวาดี แต่ในที่สุด เราก็มาถึง แพร่งภูธรจนได้ หนิงบอกลุงให้เลี้ยวเข้าไปเลย ถนนบังคับให้ลุงเลี้ยงซ้าย แล้วในที่สุดเราก็มาปรากฎอยู่หน้า The Bhuthorn จนได้ ที่แท้แล้ว เป็นโรงแรมน้อยๆน่ารัก ตั้งติดกับร้านไอสกรีมกะทิที่เราเคยกินเมื่อทริป เที่ยวชมน้ำท่วมพระนคร พี่อ๊อดจัดแจงจ่ายค่ารถพร้อมทิปในความน่ารักของลุงและเราหอบของเดินไปยังน่าประตู

น้องพนักงานเปิดประตูต้อนรับเรา แล้วจัดแจงเชิญเราเข้าไปนั่งข้างใน ห้องรับแขกที่เราเข้าไปนั่ง ทำหนิงกับพี่อ๊อดตะลึ่งงึงงันในสภาพ เครื่องเรือนโบราณที่จัด วางอย่างถูกที่ถูกทาง ความลงตัวของห้อง พื้น ผนัง ดอกมะลิใส่พานจัดวางที่โต๊ะ แทนแจกันดอกลิลลี่ใหญ่ยักษ์ น้ำตระไคร้ถูกนำมาเสิร์ฟ น้องสาวคนสวย ชื่อว่ามิกกี้จัดการเอาเอกสารมาให้หนิงกรอก เพื่อเป็นการลงทะเบียบว่าเรามาถึงแล้ว หนิงกับพี่อ๊อดไม่เป็นอันทำอะไร โวยวายถึงความสวยงามของห้องหับที่จัดไว้ เราหยิบกล้องถ่ายรูปมากดชัตเตอร์กันอย่างบ้าคลั่ง เรียกว่าน้องที่มาต้อนรับ อมยิ้มทีเดียว กว่าเราจะพอกับการถ่ายรูป เราก็เหนื่อยพอดี น้องบอกว่าจะพาเราเข้าห้องพัก ให้เรายิ่งตื่นเต้นใหญ่ว่า จะเป็นอย่างไร เพราะขนาดชั้นล่างที่เปิดเข้ามา ยังสวยได้ขนาดนี้ แล้วห้องนอนของเราละ จะเป็นยังไง ห้องภูธรที่หนิงจองไว้ อยู่บนชั้น 2 เป็นห้องขนาดกลาง มีเตียงไม้สักที่มีเสาเป็นเครื่องเรือนนอนตัวเอกประดับห้อง ห้องอยู่ตรงมุมของตึก จึงมองเห็นส่วนกลางของแพร่งภูธรได้ชัดเจน พื้นไม้อย่างหนา ที่หนิงเอาแก้มไปสัมผัส พบว่าเวลานอนกลิ้งบนพื้นอย่างนี้แล้วมีความสุขมาก แน่นอนเราจะกล้ิงยังไงก็ได้ เพราะที่นี้มีกฏว่าเราต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นชั้นสอง นอกจากเตียงนอนใหญ่ ยังมีเตียงหวายถักขนาดพอดีคนอีกเตียง เผื่อว่าห้องนี้จะนอนได้ 3คน



พี่อ๊อดกับหนิงจัดแจงวางของ หยิบกล้องกันออกมาอีกครั้ง พี่อ๊อดบอกว่าเราควรถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนที่บรรยากาศมันจะเสียหาย จริงอย่างพี่อ๊อดว่า ถ้าให้เราได้อยู่แล้ว หนิงคงเป็นคนหนึ่งที่ทำมันเละแน่ๆ เราจัดแจงย้ายของอีกครั้ง เพื่อการถ่ายรูปโดยเฉพาะ ทุกมุมของห้องถ่ายออกมาได้สวยงามทีเดียว ก่อนจะออกจากโรงแรมเพื่อไปทานอาหารกลางวันกัน หนิงกับพี่อ๊อดแอบเห็นประตูห้องนาราไม่ได้ล๊อค ก็เดาว่าแขกยังไม่เข้า เลยแอบย่องเข้าไปดูกัน ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ ที่นอนจัดอยู่ชั้นลอยด้านบน เป็นฟูกบนพื้น ส่วนชั้นล่างเป็นที่นั่งเล่นและห้องน้ำ จากห้องน้ำมองเห็นสวนเล็กๆที่เข้าจัดในโรงแรมด้วย น่ารักดี เราสองคนย่องทำตัวเหมือนหัวขโมย แต่พออกมาเจอน้องมิิกกี้ ก็อดจะสารภาพไม่ได้ว่าแอบเข้าไปดู และชื่นชมกันว่าสวยมาก

เราวางแผนกันว่ามื้อเที่ยงนี้เราจะไปทานเกาเหลาลูกชิ้นสมองหมูกัน แต่เราไม่เอาสมอง เราจะกินกันแต่ลูกชิ้น ที่เขาทำเองที่ร้านวันต่อวัน หนิงกับพี่อ๊อดเดินเปะปะไปเรื่อย ตามทางที่มีคนชี้มา พี่อ๊อดคุ้นๆว่าเคยเห็นร้าน แล้วเราก็มาถึงภายในไม่กี่ก้าว ร้านตั้งอยู่ในละแวกแพร่งภูธรนั้นเอง หนิงกับพี่อ๊อดสั่งเกาเหลาตามชอบโดยขอเว้นสมองหมู ถึงเขาว่ากันว่าอร่อยเพียงใด แต่เราสองคนก็ไม่อาจจะขอกินได้ น้ำซุปรสชาติเขากลางๆ หอมพริกไทยที่โรยมาให้ ลูกชิ้นมีหลากหลายทั้งลูกชิ้นปลากรอบ ลูกชิ้นเต้าหู้ใส่ไส้ ลูกชิ้นหมู แถมยังมีเครื่องในหมูอีกด้วย หนิงกับพี่อ๊อดว่ากันไปคนละชาม ที่นี้แปลก ไม่ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว มีแต่ข้าวเท่านั้น ราคาก็ไม่เบาทีเดียว ชามละ 70 แต่ก็คุ้มราคา หลังจากเกาเหลา เราตกลงกันว่าขอหลบแดดที่โรงแรมก่อน เพราะร้อนเหลือเกิน ก่อนเข้าโรงแรม หนิงกินไอสกรีมกะทิล้างปากไปอีกถ้วย



เรากลับเข้ามาในโรงแรมอีกครั้ง เปิดแอร์เย็นช่ำนอนเล่นกัน ห้องที่นี้เป็นเตียงใหญ่หมด ไม่มีเตียงคู่ หนิงเลยเย้าพี่อ๊อดว่า วันนี้เห็นทีเราต้องทำตัวเป็นผัวเมียกันแล้วกระมัง เพราะนอนแยกไม่ได้ พี่อ๊อดหัวเราะขำๆ แต่ตอนหลังหนิงแซวหนักๆว่าจะเขียนลง blogว่าเรามาฮันนีมูนกัน พี่อ๊อดเริ่มขำไม่ออก บอกว่า ‘พี่น้อง เพื่อนฝูง ฉันอ่านกันเยอะ อย่าเขียนอะไรยังงั้น ฉันขี้เกียจตอบคำถาม เดี๋ยวฉันจะขายไม่ออก’ ตกลงว่าเราไม่ได้มาฮันนีมูน แค่มาดูลาดเลากันว่า ถ้าต้องมาฮันนีมูน เห็นที The Bhuthorn จะเป็นที่แรกๆที่เราเลือกมากัน(กับคู่ใครคู่มัน ฮะ ฮะ)

ตอนบ่ายที่โรงแรมจัด Afternoon Tea ไว้ให้ด้วย เราลงไปดื่มด่ำบรรยากาศชั้นล่างกันก่อนที่จะออกไปเที่ยวเล่นกัน ที่นี้เขาเสิร์ฟขนมเบื้อง กับน้ำชายามบ่าย ถามน้องมิกกี้ว่า เสิร์ฟอย่างนี้ทุกวันรึเปล่า น้องบอกว่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางวันก็ไอสกรีมกะทิ บางวันก็ข้าวเหนียวมะม่วง น้องมิกกี้บอกว่าฝรั่งนิยมชมชอบ ข้าวเหนียวมะม่วงมาก



หลังจากเราสำราญกับที่พักพอสังเขป หนิงก็ชวนพี่อ๊อดเดินเท้าออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยัง สยามมิวเซียม หรือพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่เพิ่งจะเสร็จไม่นานปีนี้เอง เดิมทีที่นี้คือกระทรวงพาณิชย์มาก่อน หลังจากระทรวงพาณิชย์ย้ายไปสนามบินน้ำ ที่นี้ก็ถูกนำมาทำพิพิธภัณฑ์นั้นเอง ที่นี้หนิงเคยมา 4-5ครั้งแล้ว ในแต่ละครั้ง พิพิธภัณฑ์จะจัดกิจกรรมหลากหลายกันไป ครั้งล่าสุด เป็นการแสดงเรื่อง ครุฑยุดนาค เรื่องราวในป่าหิมพานต์ เป็นที่ถูกใจลูกเด็กเล็กแดงเป็นการใหญ่

มาคราวนี้ ไม่ได้อยู่ในช่วงเทศกาล แต่ก็มีส่วนจัดแสดงพิเศษเรื่องของขลัง และเรื่องส้วม ซึ่งก็น่าสนใจทีเดียว เราใช้เวลาเดินดูส่วนแสดงพิเศษจนกระทั่ง 4โมงเย็น เราจึงได้เข้าไปดูตัวพิพิธภัณฑ์กันจริงๆ เหตุที่เรารอ4โมงเย็น เพราะเป็นเวลาที่เขาให้เข้าฟรี ไม่งั้นเราต้องเสียค่าเข้าคนละ 50บาทซึ่งก็ไม่ได้แพงนักหนา เราเริ่มต้นที่ชั้น 3 ก่อนที่จะเดินลงมาเรื่อยๆ การจัดแสดงเขาน่าสนใจดี หนิงว่ามันเปลี่ยนไปบ้าง แต่เจอน้องๆนักเรียนที่เลิกเรียนแล้วไปเที่ยวแถวนั้น บ่อยๆบอกว่า ก็เหมือนเดิม มีซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปบ้างเท่านั้น แต่โดยรวม ก็ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยจริง ลืมเล่าไปว่าช่วงบ่ายก่อนที่เราจะออกมาผจญโลก เมย์หญิงนิสัยดี เพื่อนสมัยเรียนมหาลัย โทรมาหา กะว่าจะชวนหนิงจัดงานวันเกิดย่อมๆ แต่หนิงบอกเมย์ไปว่าออกมาท่องพระนครกับพี่อ๊อด แถมยังบอกให้เมย์เข้าไปดู webของ The Bhuthorn เมย์ก็ถึงกับอยากมา หนิงเลยนัดเมย์มาเจอกันที่วัดโพธิ์ เพราะหนิงจะจัดให้ พี่อ๊อดได้ถ่ายรูปที่วัดโพธิ์ในยามค่ำคืน โดยเราต้องเข้าไปก่อนเวลา 6โมงเย็น และเราสามารถอยู่ได้ตลอด จนกระทั่งเขาเปิดไฟ แต่ถ้าไปหลัง 6เย็น ยักษ์วัดโพธิ์ เอ๊ย ยามวัดโพธิ์จะไม่ให้เข้า ตามกฎระเบียบที่วางไว้



หนิงกับพี่อ๊อดเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์จนได้เวลาเย็นโข เราก็เคลื่อนตัวเข้าวัดโพธิ์กัน วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามวรวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอก สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนที่หนิงนำเสนอพี่อ๊อดให้ไปถ่ายตอนกลางคืน คือ พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล โดยแรกเริ่มเดิมที่ในสมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์มีพระประสงค์ที่จะนำโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณมาหล่อขึ้นใหม่ แต่เหมือนปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว ได้รับคำทัดทาน เพราะถือเป็นกาลกิณีไม่เป็นสิริมงคลต่อบ้านเมือง ดังนั้น พระองค์จึงให้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ ย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณนี้ไว้ และมีพระนามว่า ‘พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ’ โดยตัวพระเจดีย์มรกระเบื้องเคลือบสีเขียว ประดับอยู่ นับเป็นมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่1


ต่อมาในสมัยรัชกาลที่3 ได้มีการสร้างมหาเจดีย์เพิ่มอีก 2องค์ ได้แก่ พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรรกนิทาน โดยพระมหาเจดีย์นี้สร้างเพื่ออุทิศถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชชนก ประดับด้วยกระเบื้องสีขาว ถือเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2

และในสมัยเดียวกัน พระมหาเจดีย์มุนีบัติบริขาน ได้ถูกสร้างขึ้น เป็นพุทธบูชา โดยประดับด้วยกระเบื้องสีเหลือง จึงถือว่าเป็นมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่3


พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระมหาเจดีย์องค์สุดท้ายก็ถูกสร้างขึ้น คือพระมหาเจดีย์พระศรีสุริโยทัย โดยเป็นการถ่ายแบบจากพระเจดีย์สุริโยทัย จากวัดสวนสบสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีความแตกต่างจากพระมหาเจดีย์ทั้ง 3องค์คือ มีซุ้มคูหาเข้าไปในพระมหาเจดีย์ได้ พร้อมทั้งประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาม หรือสีน้ำเงิน


หลังจากนั้นรัชกาลที่4 ทรงมีพระราชดำรัสว่า ‘ต่อไปในรัชกาลหลังอย่าได้เอาเป็นแบบอย่างที่จะเป็นต้องสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาล ในวัดพระเชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4รัชกาล แต่แรกนั้นได้เคยเห็นกันทั้ง 4พระองค์ ผิดกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น’ หลังจากนั้นจึงไม่มีการสร้างพระมหาเจดีย์อีกเลย



เมย์ได้เข้ามาในวัดก่อน6โมง ดังนั้น สาว สาว สาว ก็บรรเลง เพลงชัตเตอร์ กันอย่างเมามัน พี่อ๊อดดูตื่นเต้นเพราะพี่อ๊อดเคยเห็นรูปที่มีคนมาถ่ายในช่วงเวลานี้แล้ว ส่วนเมย์ เหมือนเคาะสนิม เพราะไม่ได้ถ่ายรูปซะนานมัวแต่ไปเป็นนางแบบมากกว่า หนิงเคยมาถ่ายแล้วเมื่อหลายปีก่อน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม จะต่างก็ตรงต้นไม้ที่ไปผุดที่พระมหาเจดีย์ ดูใหญ่ขึ้น อาจเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ขึ้น ไปเด็ดออกซะที คาดว่านกน้อยคงไปถ่ายมูลตรงนั้นแล้วทิ้งเมล้ดให้เติบโตผิดที่ผิดทาง

เราใช้เวลานานโขอยู่ตรงนั้น ชื่นชมกับความสวยงามของวัด จนเสียงของท้อง ก็เรียกร้องออกมา หนิงพาพี่อ๊อดและเมย์ เดินเรื่อบเปื่อยและมีจุดหมายอยู่ที่ร้าน โภชน์สภาคาร ใกล้ๆกับ แพร่งภูธร ในตอนแรก หนิงกะจะพาเมย์ไปทานจิตรโชติ แต่จากที่เราคำนวณเวลาในการรออาหาร ดูแล้วมันอาจจะนานเกินไป เราจึงเปลี่ยนมาที่ร้านนี้ ร้านโภชน์สภาคาร เป็นร้านดั่งเดิมที่หนิงเคยมาทานเมือง 30กว่าปีก่อน ตอนแรกนึกว่าเขาปิดกิจการไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผ่าน ก็ยังเห็นร้านเปิดอยู่ทุกที คราวนี้หนิงลองดูว่าอาหารยังอร่อยเหมือนเดิมไหม ร้านนี้มีอีกชื่อว่าร้าน

กุ๊กสมเด็จ หนิงเข้าใจว่าน่าจะหมาย

ถึงกุ๊กที่เคยทำงานในวังนั้นเอง อาหารที่

เราสั่งวันนี้มีหมี่กรอบ ปลากระพงพริกไทยดำ

แกงจืดลูกรอก กุ้งกระเทียม และไข่เจียวตะไคร้ อาหารที่สั่งไม่ทำให้เราผิดหวังเลยอร่อยทุกอย่างโดยเฉพาะหมีกรอบ

ที่เมย์บอกว่า

เขาใส่ส้มซ่าลงไปด้วย เพราะเป็นสูตรโบราณ สมัยใหม่ไม่ค่อยมีใครใส่เข้าไปแล้ว อาหารมื้อนั้นเราเลยฉลองวันเกิดให้ทั้งหนิงและเมย์ที่เกิดห่างกัน 24ชั่วโมง


หลังจากเราอิ่มอร่อย ก็ถึงเวลาพาเมย์ไปอวดห้องพักของเราก่อน เมย์ตั้งใจมากที่จะมาดู และเมย์ก็ไม่ผิดหวัง เมย์ถ่ายรูปมุมต่างๆไปเป็นไอเดีย สำหรับ มัณฑนากรอย่างเมย์ หลังจากเมย์กลับไปคืนนั้น หนิงกับพี่อ๊อดก็ปิดสวิทซ์นอนทันที เพราะวันรุ่งขึ้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอเราอยู่



เช้าหลังวันเกิด


เช้านี้หนิงชิงตื่นนอนก่อนพี่อ๊อด เพราะว่าจะออกไปสำรวจบรรยากาศยามเช้า สมัยก่อนที่หนิงเรียนอยู่ที่ศิลปากร มีบางวิชาที่ต้องมาเรียนแต่เช้า ก็ยังได้มีโอกาส เห็นบรรยากาศยามเช้าแถวนั้นบาง เช้าๆอากาศแถวนั้นจะสบาย เพราะมีไอน้ำจากเจ้าพระยาลอยละลิ่วปลิวลมมาปะทะหน้าให้ชื่นใจเสมอ เช้านี้ หนิงเลยจัดแจงไปสำรวจ สวนสราญรมย์ สวนสาธารณะในละแวกนั้น หนิงใช้ทางเท้าเดิน ข้ามสะพานปีกุน เลาะคลองหลอดไปเรื่อยๆ ไม่กี่นานก็ถึง ดูผู้คนคึกคัก ที่นี้จะเห็นเขามาเต้นแอโรบิกยามเช้าเพราะปรกติหนิงจะเห็นเขาเต้นกันตอนเย็นมากกว่า

สวนนี้ถึงจะเล็กไปสักหน่อย แต่ผู้คนก็มาใช้บริการกันอุ่นหนาฝาคัง โดยเฉพาะ อาแป๊ะ อาซ้อทั้งหลาย ทั้งวิ่ง ทั้งเต้น พอจบแอโรบิก ก็มีลีลาศต่อเลยทันที


สวนสราญรมย์เดิมเป็นพระราชอุทยานของพระราชวังสราญรมย์ ในสมัยรัชกาลที่5และ มีการปรับปรุงทำเป็นสวนพฤกษศาสตร์ และในสัมยรัชกาลที่6 ก็มีการจัดงาน ฤดูหนาวขึ้นที่นี้ด้วย ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 สวนสราญรมย์ก็ได้เปลี่ยนเป็นที่ทำการของคณะราษฎรสมัยนั้น


หนิงวิ่งเล่นพอให้กระชุ่มกระชวยก็เดินทางกลับ ไปถึงพี่อ๊อดก็ตื่นพอดี หนิงอาบน้ำอาบท่า แล้วลงไปทานอาหารเช้ากับพี่อ๊อด ที่โรงแรม เขาจัดโต๊ะอาหารให้เรา ในสวนน้อยด้านหลัง โดยมีน้ำสมุนไพรรออยู่ก่อน ตามมาด้วยสลัด และโยเกิร์ต และก็ตามมาด้วยอาหารที่เราสั่งไปตั้งแต่เมื่อวาน พี่อ๊อดสั่งโจ๊กไว้ ในขณะที่หนิงขอแซนวิชแฮม ชีส เขาจัดจานมาน่ารักทีเดียว การบริการของน้องๆเขาก็ดีมาก เรียกว่าเทียบระดับ First Class ของการบินไทยได้สบาย หนิงกับพี่อ๊อดพูดกันเล่นๆว่า ถ้าเรามีโอกาสทำที่พักแบบนี้ เราคงไม่ทำห้องให้ดีมาก เพราะทรัพย์น้อย แต่เราจะทุ่มสุดตัวกับการบริการ คล้ายๆกับอาชีพที่เราทำอยู่ในขณะนี้

เราสองคนนั่งขำกันไปกับความฝัน พร้อมอาหารเช้าที่ทำให้เราเป็นคนสำคัญคนนึงทีเดียว



หนิงกับพี่อ๊อดตกลงว่าเราจะนั่งเล่นๆนอนๆที่นี้จนเที่ยงเราถึงจะไป เรียกว่าอยู่กันคุ้มไปเลย กว่าเราจะเสร็จจากอาหารเช้า ก็ปาเข้าไป 10โมงกว่า นั่งๆนอนๆ ตามความตั้งใจก็ใกล้เที่ยงพอดี เราลงมา check out แต่โดยดี แต่เราก็ยังไม่ยอมจากมาง่ายๆ โดยเราขอฝากของไว้ก่อน เพราะเราจะเดินเที่ยวไปจนถึง นิทรรศ์รัตนโกสินทร์ ที่โรงแรมใจดีมาก จัดแจงเก็บของให้อย่างดี

เราเดินออกมาเรื่อย หวังหาของกินกลางวัน แต่ยิ่งหา ก็ยิ่งไม่เจอ เพราะดูแล้วก็อยากไปหมด จนเลือกไม่ถูก เราเลยเดินโซเซไปศาลเจ้าพ่อเสือกันก่อนเลย จำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วเป็นปีขาล และเป็นปีเสือดุ ดังนั้น จะเห็นว่าศาลเจ้าพ่อเสือมีแต่ผู้คนล้นหลาม มาไหว้ขอพรกันมากมาย มาปีนี้ดูจะเป็นปีกระต่ายหมายจันทร์ ผู้คนเลยดูบางตามากสำหรับศาลเจ้าพ่อแห่งนี้ หนิงกับพี่อ๊อดเข้าไปไหว้แบบด้อมๆ มองๆ เพราะไม่เคยจะได้เข้าศาลเจ้าบ่อยๆ เลยทำตัวไม่ถูก เราจะเห็นคนกำธูปเป็นกำๆ เขาจะเอาไปปักตามกระถางต่างๆถึง 6กระถาง โดยใช้ธูปทั้งหมด 18 ดอก ศาลเจ้าพ่อเสือนอกจากจะมีเจ้าพ่อเสือหรือ เสียนเทียนซั่งตี้ ยังมีเจ้าองค์อยู่อยู่อีกด้วย ได้แก่ เจ้าแม่ทับทิม และเจ้าพ่อกวนอู


ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่3 เกี่ยวเนื่องกับวัดมหรรณพาราม ริมถนนบำรุงเมือง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่5 ได้มีการขยายถนนบำรุงเมือง จึงได้มีการย้ายศาลมาตั้งยังทางสามแพร่ง บนถนนตะนาวศรีจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังได้ความรู้อีกว่า ศาลเจ้าแห่งนี้ห้ามถ่ายรูป เหมือนกับศาลเจ้าหลายๆแห่ง แต่คนเฝ้าศาลบอกว่า ถ่ายไป ท่านตามไปที่บ้านไม่รู้นะ โชคดีจริงๆที่เรายังไม่ทันได้ถ่ายอะไร



เราเดินออกต่อมุ่งหน้าไปวัดราชนัดดา เพื่อจะต่อไปยังนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เส้นทางที่เราเดินไปเราใช้ถนนมหรรณพ ผ่านศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ระหว่างทางได้แวะดื่นน้ำทับทิมคั่นสดๆ เรียกความสดชื่นได้ดี หนิงกับพี่อ๊อดยังคงปักใจไม่ทานอะไร ไม่ใช่ไม่หว แต่เลือกร้านไม่ถูเท่านั้นเอง เราเดินผ่านศาลาว่าการฯ เข้าไปยังซอยสำราญราษฎร์ ระหว่างเดินผ่าน มีผู้ชายคนนึงออกปากทักหนิงเรื่องกล้องถ่ายรูปที่หนิงสะพายไป เรียกรอยยิ้มประทับหน้าเจ้าของไม่มีหุบ หนิงนำเสนอข้าวต้มเป็ดกับพี่อ๊อด แต่จนแล้วจนรอด เราสองคนก็ยังเป็นสาวสวยเลือกได้อยู่นั้นละ จนเมื่อเราเจอวัดเทพธิดารามวรวิหาร หนิงกับพี่อ๊อดก็ทำการหยุดพักหลบแดดชั่วคราว โดยพี่อ๊อดเลือกที่จะเข้าโบสถ์พึ่งร่มเย็นของวัดนั้นเอง พูดเรื่องวัด ในความเป็นจริงแล้วนอกจากวัดจะเป็นที่พึ่งแกคนในยามทุกข์ยาก ทั้งกาย ทั้งใจ ในทุกยุคทุกสมัยแล้ว สำหรับคนจร วัดก็เป็นที่พึ่งชั้นเยี่ยมทีเดียว นอกจากเราจะเข้าไปพึ่งความร่มเย็นในโบสถ์ชั่วขณะ เรายังได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อขาว หรือพระพุทธเทววิลาสอีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ปรากฎที่มา หากแต่ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯอัญเชิญจากพระบรมมหาราชวังไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม อันเป็นวัดที่สร้างพระราชทานกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพพระราชธิดาพระองค์ใหญ่


หลังจากความสงบสุขมาสู่คนเดินทางอย่างเราสองคน พี่อ๊อดกับหนิงก็ย้ายตัวออกมาจากวัดเทพธิดาราม ผ่านยังโลหะปราสาท วัดราชนัดดาวรวิหาร แล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังนิทรรศน์รัตนโกสินทร์

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เป็นพิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ สร้างหลังจาก สยามมิวเซียม ไม่กี่ปี และด้วยความที่ใหม่กว่า เทคโนโลยีในการนำเสนอ ก็มีรูปแบบที่แตกต่างและดูตื่นเต้น มากกว่าทีเดียว สถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นอาคารให้เอกชนเช่ามาก่อน ติดกับพลับพลาต้อนรับอาคันตุกะ หรือศาลาเฉลิมไทยในสมัยก่อนนั้นเอง


ก่อนที่หนิงกับพี่อ๊อดจะเข้าไปพบความหรรษาในพิพิธภัณฑ์ เราต้องหาอะไรรองท้องกันหน่อยแล้ว เพราะด้วยความที่เรา สวยเลือกมาก เราเลยยังไม่ได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วเวลาก็ล่วงมาบ่ายกว่าๆแล้ว เราเลยเดินสะเปะสะปะไปซื้อกาละแมที่เขากวนกันสดๆเดี๋ยวนั้นทานลองท้อง ได้ผล เพราะเรารู้สึกดีขึ้นทันตาเห็น ขนมอร่อย ช่วยได้จริงๆ หลังจากนั้นเราก็ยังได้แอร์ที่เย็นฉ่ำในพิพิธภัณฑ์ช่วยดับ ร้อนอีกด้วย

เราเข้าไปซื้อตั๋วรอการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ โดยเขาจะมีไกด์พาเข้าชมเป็นรอบๆ ในแต่ละรอบเขาก็จำกัดจำนวนคน ไม่เกิน 20คน


เขาให้เราเดินขึ้นชั้น 2เพื่อเขาชมวีดีโอเกี่ยวกับกรุงเทพ เมืองที่มีชื่อยาวแสนยาว และที่ทำให้หนิงกับพี่อ๊อดตื่นเต้นคือ ขณะที่เรากำลังเพลินกับหนังสารคดี เราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเราได้ลอยขึ้นมาอยู่บนชั้น 3โดยไม่รู้ตัว เมื่อหนังจบ ไกด์บอกเราว่า เราได้ขึ้นมาชั้น 3แล้ว แค่นี้ หนิงก็บอกพี่อ๊อดว่า คุ้มแล้ว

เราเดินดูนิทรรศการแต่ละห้องที่เข้าจัด ทั้งเกี่ยวกับวัง เกี่ยวกับชีวิตของคนสมัยก่อน เรียกว่าเป็นเรื่องของกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะ และชั้นบนสุด เป็นห้องสำหรับชมวิวทิวทัศน์ของโลหะปราสาท และภูเขาทอง เรียกว่า ไฮไลท์ทีเดียว

เราสองคนใช้เวลาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กันอย่างสนุกสนาน มีหลายห้องที่หนิงติดใจ อย่างห้อง 360องศา เป็นห้องที่ฉายหนังบนผนังห้องรอบๆห้องเลย


เรากลับออกมาก็เกือบ4โมงแล้ว ตรงลานพลับพลา จัดเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ เพราะมี หนังกลางแปลงในคืนนี้ เลยมีร้านขายของกิน ทั้งเล่น ทั้งจริง ต่างๆนาๆ ให้ลองริมรสกัน เราด้อมๆมองๆหวังจะชิมก๋วยเตี๊ยวเรือ แต่สุดท้าย ก็ไปลงที่หมี่กะทิ เสียดายที่ว่าเวลาล่วงเลยมาให้ซินเดอเรอล่าอย่างเราสองคนต้องรีบกลับบ้านกันแล้ว เราเดินกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ The Bhuthorn ก่อนจะจากมาเราได้นั่งพัก และชื่นชมกับที่พักเล็กๆและน่ารัก ใจกลางพระนคร ที่เราสองคนแสนจะประทับใจมาก การเดินทาง2วัน 1คืนที่หนิงกับพี่อ๊อด ออกมาใช้ชีวิตด้วยกัน ก็จบลงเมื่อtaxi พาเรากลับมาส่งยังจุดหมายอย่างปลอดภัย




เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า