วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

3วัน3คืนที่ Madrid

3วัน3คืนที่Madrid


เมื่อเปิด schedule เดือน กรกฎาคมออกมา แล้วเห็น Madrid 2ขีด ก็อดที่จะดีใจไม่
เพราะคราวก่อนที่มา ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะสำรวจเมืองMarid สักเท่าไหร่ 2ครั้งนั้น ได้ไปเที่ยว
ที่ Toredo เมืองมรดกโลก แห่ง หนึ่งของสเปน ซึ่งก็ประทับใจทีเดียว คราวนี้เลยตั้ง
ใจว่าจะสำรวจตัวเอมือง Madrid ดูซะที หลังจากครั้งก่อนๆ สำรวจแต่แหล่งช๊อปปิ้งเท่านั้น


วันที่มาบิน เจอผู้ร่วมงานถูกใจใช่เลย น้องบอย น้องบอยเคยไปเที่ยวด้วยกันครั้งบินไป PERTH
3ขีด หนนั้นเรียกว่าผจญภัยครั้งใหญ่ครั้งนึงทีเดียว หนนี้บอยฉายเดี่ยวไม่ได้พา โอ๋ยมาด้วย เลยบอกบอยว่าเที่ยวกัน บอยบอกว่าพี่ครับ ผมอยู่แต่ในเมืองนะครับ งั้นได้เลยจัดไปน้อง พี่ไปไหนก็ได้ แต่ขอที่แปลกๆ นอกเหนือ แหล่งช๊อปปิ้ง

เราทำงานข้ามคืนกันมาอย่างหนัก เพราะระยะทางไป Madrid ไกลที่สุดสำหรับเส้นทางบินไปยุโรป
เราถึง Madrid ในเช้าที่สดใส กัปตันประกาศว่า อากาศที่นี้ แนวโน้ม ไม่มีฝนเลย ก็หมายถึงท้องฟ้าใส ไร้เมฆหมอกใดๆ ออกมายืนมองฟ้าข้างนอก แหมทำไมมันใสได้อย่างนี้หนอ

หลังจากเรานั่งรถขนคนมายังโรงแรม ต่างคนก็ต่างเริ่มถามหาทางไปโน้นนี้กันเองบ้าง จากพนักงานโรงแรมบ้าง เรียกว่าหาทางเอาตัวรอดกันแล้ว พี่หนิงถามน้องบอยว่าไปกันไหมวันนี้ พี่จะพาน้องไป เที่ยวสโมสร Real Madrid ตรงข้ามโรงแรมนี้เอง น้องบอยบอก ‘ครับพี่’ 2คนคงไม่สนุก
เลยชวนน้องโอ๋ กะน้องหนิง(ชาย) ไปด้วย น้อง2คนหลังยังไม่เคยมา Madrid ใครชวนไปไหนก็ไป เสร็จพี่หนิงสิคราวนี้

พวกเราแยกย้ายกันไปนอนออมแรงก่อนที่จะไปลุยกัน เรานัดกันตอนบ่าย 2 โมง เพราะว่ากว่า จะนอน
ก็สายมากแล้ว ตื่นนอนก่อนเวลา มีเวลามาเปิด internet เล่น ที่โรงแรมนี้ให้ wifi ฟรี แต่ความเร็ว ก็ไม่เท่าไร แต่ก็ดีกว่าไม่มี

บ่าย2 พี่หนิงลงมารอน้องๆก่อนเวลา เพื่อศึกษาแผนที่และเส้นทาง(ก็ไม่รู้ว่าจะดูทำไม แค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว) ก่อนน้องๆลงมา หนิงถาม front ว่าจะหาร้านอาหารดีๆที่ไหน front จัดการบอกทางในแผนที่ให้ เมื่อครบคน พวกเราก็ออกเดินเท้า ไปทางขวาของโรงแรม ไปตามลายแทงที่ได้มา เลี้ยวซ้าย ข้ามถนนไป 2ช่วงตึก เลี้ยวซ้ายอีกที เดินไปเรื่อยๆ เจอร้านที่ว่า
ดูจากหน้าร้านแล้ว ไม่ธรรมดา เราตัดสินใจเข้าไปก่อน บอกน้องๆว่า เข้าไปก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดี
ก็ลุกออกมา น้องๆ เห็นดีเห็นงาม เรานั่งกันเรียบร้อบเอี้ยมเฟี้ยม พนักงานส่งเมนูให้ เราเปิดดู แล้วก็เริ่มบ่นกัน หนิง(ชาย)บอก พี่ครับ 40 ยูโรแน่ะ ทุกคนดูเมนูแล้วเห็นพ้องต้องกันว่า ‘ถอยดีกว่า
ไม่อาววว อะอาวดีกว่า’ ว่าแล้ว เราก็วางเมนูพร้อมกันแล้วลุกพรึบออกจากร้านในทันที

พวกเราเดินตุปัดตุเป๋ไปเรื่อยๆ แวะร้านโน้น ออกร้านนี้ จนในที่สุด มาถึงร้านหน่ึง แอบเห็นคนนั่งกินริมทาง ก็อดไม่ได้ว่า เขากินอะไรกันว่ะ ดูดี (หรือว่าหิว) พวกเราตัดสินใจนั่งที่นั้นเลย
เราสั่งอาหารตามเมนูรูปภาพ เพราะภาษา สเปนไม่มีใครสันทัดเลย อาหารที่ได้มาเกินมาอย่าง แต่ก็หยวนๆ
เพราะหิว มาก็กินละ เราเอร็ดอร่อยกับมื้อนั้นพอสมควร แม้แต่ขนมปังยังอร่อย หลังจากเสร็จจากการกิน เราตกลงกันว่าจะไปซื้อของซุปเปอร์ก่อน เพราะวันรุ่งขึ้นวันอาทิตย์ คาดการณ์กันว่าร้านรวงน่าจะปิด คิดดังนั้นแล้ว เราก็เคลื่อนขบวนช้าๆ ไปตามทางที่เค้าบอกมา ว่าซุปเปอร์อยู่ไหน มองซ้ายมองขวา แถวๆนั้นก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่หลายคนบอก เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในเมือง แต่ร้านค้าแถวนั้นก็มีมากพอที่จะให้ขาช็อปทั้งหลาย หายคันไปได้บ้าง

เราเดินกันเรื่อยๆ จนเห็นZARA ร้านโปรดของหลายๆคน จุดหมายเราเริ่มเปลี่ยน พวกเราเข้าไปสำรวจตรวจดูสินค้า ดูๆแล้วก็ลดราคาอยู่ แต่สินค้าไม่โดนใจเอาเสียเลย เราเดินกันเรื่อยๆ สักพัก บอยเสนอว่า เราควรเปลี่ยนแผน จากช็อปก่อน เราควรไป Real Madrid ก่อน บอยจัดแจงถามเวลาร้านปิด ร้านที่นี้ปิดดึกอยู่ อาจเพราะคนสเปนต้องนอนกลางวัน เลยต้องยืดการใช้ชีวิตกลางวันออกไป อีกอย่างฤดูนี้เป็นฤดูร้อน กว่าจะมืดก็ปาเข้าไป 4ทุ่มแล้ว
เราเปลี่ยนแผนทันที พวกเรามุ่งหน้าเดินไป ยังสโมสรฟุตบอลชื่อดัง Real Madrid ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
งานนี้พี่หนิงเช็คราคาค่าเข้าจาก front โรงแรม ได้ความว่าแค่ 6 ยูโรเอง ถูกอะไรอย่างนี้ แต่ front แจ้งว่า ต้องรอเข้าเป็นรอบๆ

ทันทีที่พวกเราเดินไปถึง คนเก็บตั๋วบอกให้เราไปซื้อตั๋วอีกประตูก่อนที่จะเข้าที่นี้ เราเดินขาปัดกันไป ผู้คนล้นหลาม ดูๆไปท่าทางจะเข้าท่าแฮะ เราต่อคิวไม่นานแล้วเราก็พบว่าราคา 6ยูโรของเรากลายเป็น 16 ยูโรเข้าแล้ว เรามองหน้ากัน พี่หนิงบอก ไหนๆเราก็ไม่ได้กินข้าวมื้อหรู เราก็น่าจะสละเงินเพื่อเข้าชมสโมสรฟุตบอลหรูๆแทน น้องหนิงเออ ออเห็นด้วย ได้ยินแว่วๆว่าถ้าเมื่อกี้กินมื้อใหญ่หรูหราไฮโซมาละก้อ จะไม่มีทางเข้าไปข้างในเด็ดขาด

หลังจากเกลี้ยกล่อม ล่อหลอกน้องๆจนสำเร็จ พวกเราทั้ง 4 ก็มุ่งหน้าเขาสโมสรใหญ่
จากแผนที่ที่มีอยู่ในมือ ชื่อสถานที่ที่เรายืนอยู่ เป็นชื่อ Estadio Santiago Bernabeu เหตุใดจึงเป็นชื่อนี้
หลังจากหาข้อมูลมานาน ก็พบว่า ชื่อ Santiago Bernabeu เป็นชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีเกียรติในแวดวงฟุตบอล จากประวัติ สนามนี้เปิดใช้เป็นทางการเมื่อวันที่
14 ธ.ค. 1947 โดยมีการแข่งขันระหว่าง ทีม Real Madrid กับโปรตุเกส
สนามแห่งนี้มีความจุ 80,354คน มีความจุมากกว่า ราชมังคลากีฬาสถานบ้านเราถึง 40,605
ลองคิดกันเล่นๆว่าบ้านเราจุได้แค่ไหน

สนามกีฬา Bernabeu มีสโมสร Real Madrid เป็นเจ้าของ โดยออกแบบโดย UEFA Elite Stadium ในปี 2007 เป็นไงละ ไม่ธรรมดาเลย แค่ประวัติ ก็เริ่มคุ้มแล้วสำหรับ 16 ยูโร

พวกเราเดินตามทางที่เขาจัดให้เราเดิน เป็นทางขึ้นไปชมจุดpanorama มองเห็นสนามในมุมกว้าง เราขึ้นไปบนนั้นด้วยอาการเหนื่อยหอบ ไม่ใช่ว่าสูงมาก แต่ด้วยพวกเรานอนกันน้อย จึงเกิดอาการเหนื่อยง่าย บวกกับท้องฟ้าที่ใสไร้มลทิน ทำให้แดดร้อน ส่องลงมาหาพวกเราจังๆ เรียกว่าร้อน ตับแตกกันไปข้างนึง

จากมุมสุดของstadium เราเดินลงกลับเข้ามาดูห้องจัดแสดงด้านใน ก่อนจะเข้าห้อง เราได้เห็น กีฬาชนิดนึง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ว่าใช้ไม้ตีเหมือน tennis แต่ไม้ไม่ได้ใช้เอ็น ลูกเหมือนลูกเทนนิส แต่เวลาตี คล้ายกับเล่น สควอช และเล่นโต้กันแบบเทนนิส เห็นแล้วงงดี

ที่ส่วนแสดงในร่ม พวกเราจะชอบกันมาก เพราะช่วยบรรเทาความร้อนลงมาก ตรงนี้จะมีเรื่องราว ประวัติ และถ้วยรางวัลต่างๆ น้องโอ๋ กับหนิง(ชาย) ชอบใจใหญ่ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน โอ๋บอกว่าคุ้มจริงๆ ขนาดว่าโอ๋ไม่ได้สนใจเรื่องฟุตบอล แต่มาเห็นอย่างนี้แล้วก็ตื่นเต้น พี่ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ถ้วยอะไรมันจะใหญ่โตกันขนาดนั้น เราเดินดูห้องแสดงกันนานพอดู ห้องหนึ่งที่น่าสนใจมีถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระราชินีนาถของไทยเราจัดแสดงอยู่ ที่ตื่นเต้นเพราะเค้าให้เกียรติ จัดวางถ้วยอยู่บนสุด อาจเป็นเพราะสเปนเองก็ยังมีพระราชา พระราชินีเฉกเช่นเดียวกับประเทศไทย
ก่อนที่จะได้ไปชมสนามจริงๆ เขาจัดให้มีร้านน้ำขาย และเราก็ไปนั่งดื่มกันได้ เรียกว่าเอาบรรยากาศกันสุด
แต่ขอบอกว่ากว่าจะได้กินน้ำ ก็เกือบจะตายเพราะขาดน้ำเหมือนกัน

จากนั้นเราเดินลงสู่สนาม ที่สนาม ี่เขาจะกันส่วนหญ้าจริงไว้ไม่ให้จอมซ่าคนไหนไปเดินเล่นได้ แถมมีเจ้าหน้าที่ทำหน้าเหี้ยมคอยมองไม่ให้พวกเราคนใดแหย่เท้าเข้าไปถึงหญ้าจริงเลย
แต่แหมใครจะแหย่ไปถึง หญ้าจริงอยู่ไกลเป็นโย้ด พวกเราเดินต่อไปยังเก้าอี้ริมสนามที่เขาจัดให้นักแข่งสำรองและผู้จัดการทีมได้นั่ง เราสนุกกับการถ่ายรูปตรงนี้มาก แต่อากาศที่ไม่อำนวยเลย ทำให้เราต้องแปรขบวนกันอย่างรวดเร็ว
บอยชอบตรงนี้มาก ชื่นชมกับเก้าอี้อย่างใหญ่โต เราถ่าย ถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์ และแล้ว แดดอันร้อนแรงก็บีบบังคับให้เราต้องเดินต่อ ส่วนถัดไปที่เข้าชมคือห้องนักกีฬา ห้องนี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งห้องอาบน้ำ เตียงนวด อ่างจากุชชี่ เรียกว่าน่าอยู่ น่าสบายเชียว
เราเดินสำรวจ พร้อมตากแอร์เย็น ให้ชื่นใจ เห็นห้องน้ำ แล้วอยากเป็นนักกีฬาด้วยจัง ก็แหม แก้ผ้าอาบเรียงกันเป็นตับอย่างนั้น คงมันส์พิลึก

ส่วนสุดท้ายของการเที่ยวชม Real Madrid คือร้านขายของที่ระทึก เอ๊ย ระลึก จริงๆแล้วก็ระทึกแหละ
ราคาชวนน่าระทึก ขนหัวลุก ก็แพงซะขนาดนั้น พวกเราจับๆ โยน แล้วก็รีบๆเดินออกมา
การเดินชมสโมสรที่ว่าดีที่สุดในโลกก็จบลงแล้ว เดินจนหิวน้ำ พี่หนิงเลยชวนน้องๆไป super market
หาอะไรดื่มกัน อีกอย่างเราไม่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นอย่างไร หาซื้ออะไรเก็บไว้หน่อยก้ดี

ห้างที่เราไปชื่อห้าง El Corte Imglesเป็นห้างที่ใหญ่และมีอยู่ทั่วไปใน Madrid ไม่รู้ว่าเมืองอื่นๆด้วยไหม
แถวโรงแรมที่พัก ห้างนี้ใหญ่มากๆ บางคนว่าตรงนี้ใหญ่ที่สุด เราก็ยังไม่ได้พิสูจน์ขนาดนั้น เอาเป็นว่าใหญ่พอ ให้เดินเล่นแก้ขัดได้เป็นวันๆ

หลังจากซื้อของเสร็จ พวกเราแยกย้ายกันกลับ ใครใคร่shoppingก็ shop ไป ส่วน2หนิงขอกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีอีกวันที่ต้องลุย

วันที่สองใน Madrid ตรงกับวันอาทิตย์

วันนี้เรานัดทานข้าวเช้า 8โมง โรงแรมให้ break fast ฟรี (เสร็จ หมู) เราทยอยกันลงมาตามอัธยาศัย
ใครหิวก็มาแต่ 6.30 ใครผนังท้องหนาหน่อย ก็นอนต่อไปได้อีก สำหรับ หนิง(หญิง) ผนังท้องกำลังดี เลยลงมาตามเวลานัด ลงมาเจอ พี่เต้ กะ พี่ชาติ เลยชวนกันเปิดโต๊ะใหญ่ วันนี้ พี่ๆที่พาครอบครัวมา
ล้วนมีโปรแกรมในดวงใจ เราถามๆไถ่ๆ ว่าใครไปไหนกันบ้าง ได้ความว่าพี่ๆจะออกนอกเมือง ส่วนเรา(บอย) บอกว่าจะอยู่ในเมือง พี่ชาติเลยแนะนำว่าน้องๆควรไปตลาดวันอาทิตย์ ก็คล้ายๆโรมนั้นละ
แต่ว่าก็น่าสนใจดี เพราะจะได้ไปดูสินค้าพื้นเมือง พวกเราตกลงใจว่าไป และตอนเย็น สาวๆจะไปดูสู้วัวกระทิง

เมื่อโปรแกรมเราสรุปดังนั้น เราเลยเปลี่ยนเวลาออก จากที่ตั้งใจกันว่าจะออก 10โมงเช้า เราออกเร็วขึ้นเป็น 9.30 (ช่วยได้เยอะไหมเนี้ย)


วันนี้ยังคงเป็นแก็งเดิม 2หนิง 1โอ๋ 1บอย เราออกเดิน ทางกัน ท่ามกลางอากาสที่เย็นบางๆ แดดแรงนิดๆ
เราคาดการณ์กันว่าวันนี้คงเหมือนเมื่อวานที่สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่พ้นอาการเป็นหมูปิ้ง เพราะร้อนมากๆ จะร้องให้ใครเอาเราออกจากเตาก็คงไม่มี ตราบใดเรายังอยากจะเดินล่อแดด ล่อลมกันอย่างนี้

เราออกจากโรงแรม ตรงไปยังรถไฟใต้ดิน เรา4คนตกลงจะซื้อตั๋ว 2days สำหรับ Tourist ซึ่งคิดแล้ว
ถ้าขึ้นๆลงๆ บ่อยๆก็คุ้มมาก เพราะ day เดียว 5ยูโรกว่า 2days 8ยูโรเอง ส่วนตั๋วแบบ ขาเดียวนั้นตกใบ
ละ1 ยูโร จะคุ้มก็เมื่อไป และกลับ แต่สำหรับเรา ขึ้นๆลงๆ อย่างนี้คุ้มกว่า
พวกเราใช้ความฉลาดสุดๆช่วยกันซื้อตั๋วจากตู้ แล้วเราก็ได้มาคนละใบ แต่ต้องเก็บให็ดี เพราะมันไม่ได้ใหญ่โตเหมือนของ ลอนดอน ตั๋วที่นี้เล็กพอๆกับปารีสเลย เราศึกษาเส้นทางจาก map ที่ขอโรงแรมมาเป็นอย่างดี ต้องเปลี่ยนรถหน่อยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เราขึ้นรถที่สถานี
Santiago Bernabeu ไม่ไกลจากโรงแรม สายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสายเดียวที่สถานีนั้น เรามาต่อรถที่Alonso Martinez สายสีเขียวอ่อน เพื่อจะไปสถานี La Latina สถานีปลายทาง ที่เมื่อเดินขึ้นมาก็จะเห็นตลาดอยู่รำไรเลย เราสนุกสนานกันมาก เพราะยังเช้าอยู่และ เหมือนได้ผจญภัยเล็กๆ

เราเดินตามฝูงชนกันไปเรื่อยๆ นี้คือเทคนิคนึงของลูกเรือไทย ไปไม่ถูกก็เดินตามคนหมู่มากไป มันผิดเราก็ผิด ฮา อา ฮา

แล้วคราวนี้มันก็ผิด เพราะตามมาออกไกลกว่าอีกทาง แต่ทุกคนก็เดินย้อนกลับเหมือนกัน
เราเข้าไปสู่ตลาดยามสายโดยที่อากาศไม่ร้อนนัก ตลาดที่นี้ดูๆแล้วมีระเบียบกว่าโรมนะ แต่ของที่ขาย มันไม่หลากหลายเหมือนโรม ของโรมนี้ใช้เวลาเดินตั้งแต่เช้ายันบ่าย แต่ที่นี้ ก็แค่ สายยันบ่าย ของที่ขายก็มีทั้งเครื่องหนังพื้นเมือง และสินค้าจากคู่ค้าเมืองไทย ก็เมืองจีนไง ก็ดูๆกันไป ตาดีได้ ตาร้ายเสีย

เราหยุดแวะซื้อพัดกันขนานใหญ่ ใครซื้อพัดฝากใครไม่รู้ แต่หญิงหนิงขอซื้อไว้ดับร้อน เพราะเริ่มสัมผัสถึงความร้อนที่แผ่ซ่านเข้ามา น้ำพร้อม พัดพร้อมสู้ตายคะ

ตลาดในโลกนี้ทุกแห่งเหมือนกันอยู่อย่าง 'ล้วงกระเป๋า' มักเกิดขึ้นเสมอ ที่นี้ก็เหมือนกัน ถึงแม้เราจะเห็นตำรวจเดินอยู่เยอะแยะเพียงใด แต่ถ้าเราขาดความระมัดระวัง มันก็เกิดขึ้นได้
น้องโอ๋ เดินกอดกระเป๋าตัวกลมเลย โจรเห็นก็คงเซ็ง แต่พี่ก็อยากจะบอกว่าทำถูกแล้ว ขืนเดินเป็นคุณนาย โดนล้วงแน่ๆ หลังจากเลือกซื้อพัดเสร็จ พวกเราเดินตามๆกัน ดูร้านนั้นที ร้านนี้ที จนไปเจอเครื่องหนังวัวกระทิง (เมาท์) เป็นที่ถูกใจของหนิงชายมาก แต่หนิงก็เป็นคนที่ไม่ด่วนได้ หลังจากลองสะพายแล้ว ทั้งยังถูกใจ แต่ก็อยากที่จะเดินดูร้านอื่นๆอีก เผิื่อมีแล้วถูกกกว่า เราเดินดูกันไปได้พัก ก็เจอร้านแบบที่หนิงอยากดู สอบถามราคา ก็เท่ากัน แถมไม่ลดราคาเหมือนกันอีก
เราลองดูๆ ก็ไม่มีสีที่หนิงชอบเลย บอกว่ายังไงก็กลับทางเดิมค่อยมาซื้อแล้วกัน

เราเดินกันจนสุดถนน สินค้ายังคงเป็นเสื้อผ้า และแฟชั่น เรายังไม่เห็น โซนของเก่าเลย จนเราเดินเลี้ยวไปอีกทาง สินค้าในโซนนี้เป็นของเก่า ทั้งดี และทั้งที่ต้องเอาไปซ้อมแซมอีก เราเดินไปพัก อากาศที่ร้อนขึ้นทำให้เราต้องหาไอติมทานกัน แต่อย่าหวังทานของพื้นเมือง เพราะถึงเวลานั้นคงไม่อยากเรื่องมากแล้ว ไอติมอะไรก็ทาน เราได้กันคนละแท่งยืนแทะกันอย่างสบายอารมณ์ เวลาที่ร้อนมากๆ แล้วทานอะไรเย็นๆเข้าไปทำให้
ข้างในมันสดชื่นจริงๆ

เราเดินกลับขึ้นไปอีกด้าน โซนนี้เป็นของเก่า และหนิงชายก็ได้ซื้อของที่ระลึกจากป้าแก่ๆ เป็นจักรยาน น่ารักมาก ยังคิดว่าหนิงชายไม่เอา หนิงหญิงจะซื้อแทน แต่ถ้าน้องอยากได้ พี่ก็สนับสนุน

เราเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้ง และมุ่งตรงไปยังร้านกระเป๋าหนัง ยุยงส่งเสริมให็หนิงชายซื้อไป ในที่สุดหนิงชายก็ถอยกระเป๋าหนังเก๋มาจนได้ เราเดินเล่นดูของกระจุกกระจิกหน่อยพอหอมปากหอมคอ
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว ผนังท้องเริ่มปั่นป่วน หนิงหญิงเลยชวนน้องๆ ไปหาอะไรอร่อยทานกัน ซึ่งมีอยู่ร้านนึง ใกล้กับโรงละครแถว walking street เป็นร้านที่มาทานกันครั้งแรกๆที่มาสเปน ร้านชื่อ Sirena Verde อาหารเป็นหมึก Paul ซะ ส่วนใหญ่ วันที่เราไป เห็นคนญี่ปุ่นมาเยอะมาก คนญี่ปุ่นเวลาเค้าเที่ยวจะมีไกด์บุ๊คเป็นตัวบอกว่าควรไปไหน ไปอย่างไร กินอะไรที่ไหนดี เพราะถ้าร้านไหนได้ลงหนังสือ เข้าไปเถอะ เจอแต่คนญี่ปุ่น เราเป็นชาวไทยแค่ 4คนที่ไป
เราจัดการสั่งอาหารที่มีแต่ Paul เรียกว่ากลับบ้านไปตรวจร่างกาย คอเรสเตอรอลถามหาแน่ๆ นอกจากPaul ที่ร้านยังจัด เสิร์ฟ ตับบดพร้อมขนมปังและมะกอก มาให้ทานเล่นก่อนอีก เอาสิ ไม่อิ่มให้รู้ไป และอาหารที่สั่งไปก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เราทานกันอย่างอิ่มหมีพีมัน แล้วเดินไปทานไอติมล่างปากเสียหน่อย ซึ่งไม่ไกลจากร้านอาหารเท่าไร

จากนั้น น้องบอยพาพวกเราไปเดินย่อย โดยการพาไปเที่ยว Plaza Mayor ที่นี้ เป็นสถาปัตยกรรมตึกสามชั้น สร้างเป็นกรอบ สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีระเบียงถึง237อันที่หันหน้าเข้าหาตัวจตุรัส ข้างในเป็นลานโล่งล้อมรอบไปด้วย ร้านค้าต่างๆ ตรงกลางมีรูปหล่อสำเร็จ ของกษัตริย์ Phillip King III

เดิมจตุรัสแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ ปรับปรุง จตุรัสเก่าชื่อ Plaza del Juan de Herrera ซึ่งมีความวุ่นวายมากขึ้น และเพื่อกิจกรรมต่างๆทั้งตลาด กีฬา
จตุรัสนี้ถูกบรูณะอีกครั้ง หลังจากถูกน้ำท่วม และไปไหม้

ปัจจุบันที่นี้รอบจตุรัส คือร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก สำหรับนักท่องเที่ยว ใครที่มาที่ Madrid ก็สมควรที่จะมาเยือนที่นี้ด้วย

นอกจากน้องบอยจะพามาเดินตากแดดหัวแดงทัวร์ Plaza Mayor แล้ว น้องบอยยังพาไปดูร้าน Botin ร้านที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารที่เก่าที่สุดในโลก แต่เนื่องจากเราอิ่มกันมาแล้ว เราคงไม่ขอลองเข้าไปกินอีก ไม่ไหว
ร้านนี้ น้องบอยว่าถ้าได้ไปทาน ต้องลงไปเอาบรรยากาศชั้นล่าง ที่ดูเหมือนว่าหนีสงครามมากิน อะไรทำนองนั้น

เราเดินเล่นพอประมาณ เราก็เดินต่อ ไปยังPuerta del Sol ตรงนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองสำหรับถนนทุกเส้นที่ออกไปนอกเมือง เหมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของเรานั้นละ จัดเป็นกิโลเมตรที่ศูนย์เลย ที่นี้เราเห็นรูปปั้น และที่สำคัญเลยคือ สัญลักษณ์ของเมือง คือรูปปั้นหมี ปีนต้นไม้ จริงๆ พี่หนิงอยากเจอเจ้่ารูปปั้นนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็น เพราะทุกครั้งที่มาแถวนี้ก็จะวุ่นวายกับการเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ไม่ได้หยุด ตอนเดินๆกับน้องๆ ก็บ่นๆว่าอยากเจอ
ก็ไม่อยากเชื่อว่าพอจะได้เจอก็เจอง่ายๆ น้องๆแซวว่าเห็นหมีกันหรือยัง เพราะมัวแต่หาหมีกันอยู่นั้น

พูดถึงหมี หมีตัวนี้เขาเรียกว่า Bear and Madrono tree เจ้าหมีตัวนี้ถือเป็นสัญลักษณ์การประกาศ …. สัก
อย่างของ สเปน (ไม่รู้จริงๆว่าประกาศอะไร ) แต่ไอ้ต้นไม้ที่ว่าเนี้ย ตอนแรกเลย มีคนบอกว่าหมีกิน รังผึ้ง
มาคราวนี้ มีคนบอกว่าหมีกิน มะกอก แต่พอหาชื่อจริงๆ ดันบอกว่าหมีกิน สตอเบอรี่ แต่ว่าต้น สตอเบอรี่ ที่เคยเห็นนะ มันเป็นตัวเรี่ยพื้น ไม่สูงอย่างนี้ เลยหาต่อไป พบว่าไอ้ต้น Madrono tree เนี้ย ลูกคล้าย เบอรรี่สักอย่าง แต่ว่ากิน ดิบๆ สีแดงๆ สรุปว่าหมีกินผลไม้แล้วกัน

เห็นหมีคราวนี้ ไม่มีกลิ่น แต่ยังร้อนอยู่ พวกเราสี่คน จีดแจงหนีร้อน ด้วยการแยกย้ายกันไป shopping แบบทางใครทางมัน ที่น่าแปลกคือ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แต่ว่า ร้านในเมืองไม่ปิดเลย สู้ตาย นั้นก็ช่วยให้เรา ฆ่าเวลายามบ่ายแก่ๆอย่างมีความสุข

เรานัดเจอกัน 6โมงเย็น เพื่อจะกลับไปโรงแรม ค่ำนี้เรามีนัดสำคัญ คือ ไปดูสู้วัวกระทิง
อยากจะบอกว่าโปรแกรมนี้ไม่เหมาะกับ สตรี เด็ก คนชรา คนขวัญอ่อน นักบวช นักพรต ต่างๆ
ถ้าไปก็ทำใจซะก่อนว่ามันเป็นหนังไม่ยาวนัก จะฉายซำ้ไปมา ดูแล้วก็ปลงๆซะ

เริ่มเปิดอย่างนี้แล้ว รับรองว่าจะมีแค่ 2กลุ่มเท่านั้น ไป กับ ไม่ไป
เราแยกย้ายกันพักผ่อนหลังจากสู้รบกับแดดมาทั้งวัน หนิงชายท่าจะแย่ ดูจากหน้าตาแล้ว เนื่องจากว่า หนิงไม่ได้ดื่มน้ำเท่าไร ก็อาจเป็น dehydrate ได้ เลยขอตัวนอนเฝ้าห้องดีกว่า

ตามโปรแกรม สู้วัวจะเริ่ม 2ทุ่มครึ่ง เราจึงนัดกัน ทุ่ม 45 สำหรับการเดินทาง ส่วนพี่ๆคนอื่นที่อยากดูก็ไปกันเองแล้ว พวกเราเหลือแค่บอย โอ๋ หนิง
บอยยอมมาดูอีกครั้งหลังจากมาแล้วครั้งนึง เพราะเป็นห่วงสาวๆ ว่าจะไม่ปลอดภัยตอนกลับมากันดึกๆ

เราเดินทางโดยรถไฟใต้ดิน ไปยัง Plaza de Toros สถานที่สู้วัว
โดยเราจะขึ้นสายสีน้ำเงิน ไปต่อรถที่ Alonzo Matinez เป็นสายสีเขียวไปขึ้นที่Ventas
ก็จะโผล่หน้า สังเวียนเลย

ขึ้นไป เราเห็นผู้คนไม่มากนัก แต่ก็ไม่บางตา อาจเพราะส่วนหนึ่งได้เข้าไปข้างในแล้ว เราจัดแจงหาซื้อบัตรเข้าชม ราไม่แพง แค่ 5ยูโรเอง จากสายข่าว แจ้งว่าเป็นเพราะ มาธาดอร์วันนี้เป็นแค่มาธาดอร์ฝึกหัด ยังไม่โ่ดงดัง จึงทำให้ตั๋วราคาไม่สูง ถ้าเก่งๆ ตั๋วจะแพงมากเป็น ร้อยๆ ยูโรเลย ช่วงเวลาที่มีการสู้วัว จะทำกันในหน้าร้อนเท่านั้น และจะเป็นช่วง เย็นๆ ไปจนถึงค่ำๆ อาจเพราะอากาศที่ไม่อำนวย และแสงในฤดูร้อนที่มืดช้า

เราเดินเข้าไปในสนามหลังจากชักภาพกันเสร็จ บอยบอกว่าคนดูเยอะกว่าคราวที่บอยมาครั้งก่อน ก่อนจะมาบอยได้สาธยายความเลือดสาดให้ฟังบ้าง แต่อย่างว่าบอยเป็นคนตลก พูดเรื่องสยดสยองยังไงก็ไม่น่ากลัว พี่ๆน้องๆในไฟลท์เลยต้องขอมาดูเองกะตา

เราไปถึงเขาก็เริ่มพิธีกรรม มีมาธาดอร์หนุ่มมายืนเท่ห์ ถือผ้ารอวัวอยู่ในสนามแล้ว ไม่นานเกินรอ วัวหนุ่มก็ถูกปล่อยออกจากคอก หนิงมองจ้องตาวัว มันช่างไร้เดียงสาเสียนี้กระไร้ ช่างไม่รู้เลยว่าชะตาชีวิคของมันจะอยู่ไม่นานแล้ว มาธาดอร์ที่ลงไป มีหน้าที่ล่อวัวให้วิ่งหัวซุกหัวซุน
โดยล่อด้วยผ้าสีชมพูจัด นี้ก็เป็นเรื่องถกเถียงกันว่าแท้จริงแล้ว ทำไมวัวมันต้องวิ่งชนผ้า ไม่ชนคน หรือมันไม่ชอบสีแดงจริงๆ

ความจริงทางวิทยาศาสตร์คือว่า วัวมันตาบอดสี แต่สิ่งที่มันวิ่งชนคือผ้า เพราะมาธาดอร์จะสะบัดผ้า
วัวมันคิดว่ามีอะไรดุ๊กดิ๊กตรงนั้นมันเลยวิ่งไปหา แต่บางทฤษฎีบอกว่า มีวิจัยที่สเปนนี้ละว่าวัวสามารถเห็นสีได้ดี ในสีส้ม แดง ชมพู แปลว่าวัวเห็นสี ข้อสรุปจึงมีว่า ถ้าอยากรู้จริงต้องเป็นวัว แต่ขออย่าเป็นวัวแถวสเปนนะ

หลังจากมันวิ่งหกหน้าหกหลังพอประมาณ ความไม่ยุติธรรมในโลกก็เกิดขึ้น เสียงปี่ดังขึ้น พร้อมมีการปล่อยคนขี่ม้าพร้อมหอกออกมา ม้าที่ออกมาถูกปิดตาสนิท เพื่อไม่ให้ตื่นกลัวจากวัวกระทิง
ส่วนคนขี่ ที่เท้าจะหุ้มด้วยรองเท้าพิเศษกันเขาวัวขวิด ม้า2ตัวที่ออกมาจะมายืนริมสังเวียน 2ด้าน แล้วหนุ่มล่อผ้า จะทำการล่อวัวไปใกล้ๆ พอวัวใกล้ แลัวเห็นม้า ก็จะเข้าไปขวิด ตอนนี้ละ คนบนหลังม้าจะเอาหอกแทง บอยบอกว่าเปิดแผล เพื่อให้เลือดออก บาดเจ็บ และทำให้เหนื่อยล้า อีกอย่างคือ จะทำให้แทงมีดปลิดชีพได้ง่าย เราฟังไปก็หดหู่ไป แต่ตอนหลัง พี่ชาติ ผู้ไม่ได้ไปดูด้วย แต่รอบรู้บอกว่า ในหนังสารคดี เคยพูดว่าที่ปลายหอกมียาพิษ แต่เราว่าสมัยนี้คงไม่มีแล้ว เพราะว่าเนื้อวัวกระทิงที่ตายเขาจะเอาไปขายตามร้านอาหารรอบๆ Toros ถ้ามีพิษ คงขายไม่ได้ เราจึงเดากันว่าน่าจะเป็นยานอนหลับ จะได้ดูไม่มีแรง ง่ายต่อการสังหาร

ความไม่ยุติธรรมที่ว่านี้ไม่ได้เกิดแก่วัวอย่างเดียว ม้าเองก็ด้วย เพราะม้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย และอาจถุกวางยาไม่ให้ได้กลิ่นอีกด้วย ยืนๆอยู่ เจอวัวขวิด ถึงจะมีเสื้อป้องกันให้ม้าก็ตาม เจอวัวหนุ่มแรงเยอะ มันก็แทงม้าเอา จนม้าเลือดตกยางออกกันไปเลย เรานั่งดูด้วยความเศร้า
ไม่นานนัก มาธาดอร์ หนุ่มก็จะลงสนาม พร้อมดาบยาว เพื่อจะมาทำการสู้แบบตัวต่อตัว (หลังจากโกงวัวไปแล้ว) ตอนนี้จะได้ยินเสียงเชียร์รอบสนาม ส่วนใหญ่จะเชียร์มาธาดอร์ แต่หนิงเชียร์วัว
ไม่นานเกินรอ ภาพที่สุดบรรยายก็ปรากฎตรงหน้า มาธาดอร์หนุ่มล่อวัวจนหน่ำใจ ก็ใช้จังหวะที่วัวอ่อนแรง ปักมีดลง โหนกวัว ซึ่งคิดว่าตรงกับหัวใจ จนมิดด้าม วัวยืนนิ่งเหมือนงง เลือดทะลักจากปาก ขาหน้าทรุดลง สายตาลอย วัวนอนกับพื้น หายใจรวยริน มาธาดอร์ผู้ช่วย พยายามที่จะให้วัว ตายโดยเร็ว โดย พยายามที่จะ ย้ำมีด เพื่อไม่ให้วัวทรมานนัก เวลานี้ น้ำตาเอ่อที่ตาสองข้างของหนิง หนิงมองไปรอบๆ คนสเปนตบมือแสดงความดีใจ แต่เห็นเอเชีย 2คน
หน้าตาไม่สู้ดี หนิงเองก็เหมือนกัน ตอนนั้นเศร้าสุดๆ สับสนว่ามาทำไม กำลังงงไม่นาน เห็น เขาแห่ขบวนมารับ วัวตัวนั้นไป หันไปมอง โอ๋ โอ๋ดูไม่โศกสลดเท่าเรา ไม่นานเกินกว่าจะคิดฟุ้งซ่านไปได้นาน การต่อสู้คู่่สองก็เริ่มขึ้น วิธีการเหมือนครั้งแรกเลย เรียกว่าดูหนังซำ้ วัวตัวที่สองเนี้ย ตัวใหญ่กว่าตัวแรก เราก็ได้แต่เชียร์วัว ก็ไม่ได้เชียร์ให้มันขวิดใครตายหรอก แต่แค่บอกมันว่าอย่าเดินไปให้เขาแทง แต่อย่างว่า สัญชาตญาณดิบ
ของสัตว์นักสู้ มันไม่สนหรอกว่าเขาจะแทงมันด้วยอะไร อย่างไงมันก็วิ่งเข้าใส่เขาเหมือนกัน

ตัวที่สองร้ายกว่าตัวแรกอีก เพราะเมื่อถึงเวลาที่ถูกแทง มันล้มตายในทันที แรกว่ามาธาดอร์ดังไปเลย มีสัมภาษณ์ ผู้คนทั่วสนามตบมือ โบกผ้าขาวให้เสียงดัง ยิ่งเห็นลุงหัวล้านข้างๆ ดีใจเกินกว่าเหตุ ยิ่งอยากเอาพัดตีหัวลุงเลย แต่อย่างว่าได้แต่คิด ขืนทำจริงคงโดนลุงและพวก ลากลงไปให้วัวขวิดแหงๆ

หนิงงอแงขนาดว่าจะขอไปนั่งรอที่บาร์ข้างล่าง บอยเลยบอกว่า'พี่ดูตัวเนี้ยแล้วกลับกัน'
ตัวที่สาม เราเริ่มมีลุ้น เพราะหนุ่มมาธาดอร์ ไม่สามารถแทงวัวได้ง่ายๆ เหมือน 2คนแรก
พวกเรามีลุ้นว่าวัวตัวนี้อาจจะรอดก็ได้ เพราะบอยเล่าว่าคราวก่อนวัวตัวนึงรอด เพราะมาธาดอร์ล้มไม่ได้ เลยใช้วิธีปล่อยวัวตัวเมียมารับวัวโชคดีตัวไหนกลับไป แต่ก็มีคนว่า มันก็คงถูกเสียบเข้าสักวัน กลับมาที่ตัวที่3นี้ มาธาดอร์พยายามจนเสียงปี่กลอง ระดมตี เพื่อจะบอกกับมาธาดอร์ว่า
ท่านได้ใช้เวลามากไปแล้ว แต่สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้าง วัวหนุ่มก็ถูกเสียบจนได้ แต่มัน
ทุรนทุราย เพราะไม่ได้ถูกจุดสำคัญ จนมีผู้ช่วยทั้งหลายต้องวิ่งไป ย้ำมีดจนสุดท้าย วิญญาณ
วัวก็ออกจากร่าง เราตกลงใจออกกัน เรียกว่าเดินคอตกกลับบ้าน ก่อนออก บอยกับโอ๋เดินไปดู
เขาส่งวัวเขาไปชำแหละ โอ่บอก พี่หนิงอย่าดูเลย

ขากลับเจอกลุ่มพี่ๆและครอบครัว พวกเขาดูเท่าเราคือ 3ตัว ความคิดเห็นก็น่าๆจิตตัง
เรากลับมาเกือบ 5ทุ่ม น้องผึ้งโทรมาหา เล่าว่าไปดูเหมือนกัน
ก่อนนอนหนิงสวดมนต์ไหว้พระแต่ก็ไม่ได้มีภาพติดตาเท่าไร แค่คิดในใจว่าสงสัยชาตินี้คงไม่ ทานเนื้อแล้ว แต่ที่ไหนได้ กลับกรุงเทพ 2 วัน ชวนพ่อไปกิน หม้อไฟเนื้อซะงั้น เฮ้อ

วันที่3 วันจันทร์ ไม่ร้อนมาก

วันนี้ตื่นมาเจอพี่ชาตินั่งรอที่โต๊ะแล้ว เห็นโอ๋ลงมาก่อน สมาชิกbreak fast เริ่มทยอยกันมา มาถึง หนิงก็เล่าเรื่องวัวเป็นชุดๆ ตามด้วยตลาดวันอาทิตย์ วันนี้พี่ๆส่วนใหญ่จะ shopping เพราะยังไม่ได้ซื้ออะไร
แต่สำหรับแก๊งเด็ก กะว่าจะไป museum ก่อนแล้วไปเก็บตก แต่ขณะที่นั่งคุยไปคุยมา โอ๋ก็เกิดอาการง่วง อาจจะเพลียจากเมื่อวาน และเครียดจากการดูสู้วัว ส่วนหนิงชายยังเพลียจากอาการขาดน้ำไม่หาย ก็เลยเหลือบอย ถามบอยว่าโอเคไหม บอยบอกโอเคครับพี่

หนิงจัดการถามทาง front บอกให้นั่งรถเมล์ไป Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofia สาย 27
แต่มองหน้าบอย เห็นแววตา ก็รู้ว่าไปใต้ดินดีกว่า เลยนั่งไปลงสถานีAtocha โดยเปลี่ยนรถที่ Tribunal
ออกจากใต้ดินไม่ไกลนักก้ถึง ค่าเข้าถูกแสนถูก แค่ 6 ยูโรเอง

เหตุที่มาที่นี้เพราะ ที่นี้มีรูปภาพของศิลปินชาวสเปนชื่อดังนามว่า Pablo Picasso
ใครไม่รู้จักก็เรียกว่าเชยสุดๆ เพราะพ่อหนุ่มคนนี้ เป็นศิลปินในยุค post impressionist ต่อ modern ในศตวรรษที่20นี้ละ และลูกสาวของเขาก็เป็น designerชื่อดัง Paloma Picasso

Picassoเกิดที่เมือง มาลากา ที่สเปน เขาเริ่มเรียนวาดภาพจากพ่อของเขาเอง ซึ่งพ่อเขาเป็นครูสอนศิลปะ ตัวเขาได้พัฒนาการวาดมาเรื่อยๆ จนโด่งดังและเป็นต้นแบบ ของลัทธิCubism นอกจากนี้ เขายังคงมีรูปแบบในการเขียนที่ได้อิทธิพลจากที่อื่นๆเช่น แบบAfrican หรือ โทนสีฟ้า โทนสีแดง

ภาพที่โด ่งดังของ Picasso ชื่อภาพ Guernica เป็นภาพเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองของ สเปน ในภาพ เป็นสัญลักษณ์ของความขมขื่นที่เกิดขึ้น Picasso เอง เคยบอกว่า ‘มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนวาดที่จะนิยามสัญลักษณ์ในรูปได้’ พูดง่ายๆคือ คนเสพศิลปะ มีมุมมองของแต่ละคน จะชอบหรือไม่ชอบ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ขึ้นอยู่กับความรู้ที่มีอยู่ในตัวแต่ละคน
ดังนั้น การวิจารณ์ศิลปะของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป

ภาพGuernicaนี้ถ้ามองเผินๆ ก็คือภาพขาวดำ แต่ถ้ามอง ดีๆ จะเห็นสี เหลืองและชมพูอ่อนๆ ปนอยู่ในภาพ ครั้งหนึ่งภาพนี้ถูกนำไปแสดงที่New York เพิ่งจะกลับมาแสดงที่สเปนอีกครั้งในปี 1981 และย้ายมาที่ Reina Sofia Museamในปี 1992นี้เอง ครั้งหนึ่งหนิงต้องศึกษาภาพนี้ก่อนที่จะเรียนจบ ต้องดูหนังสือ เรียกว่าดูกันตาแฉะ ภาพในหนังสือแต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน เมื่อมาดูภาพจริง สีที่ว่านอกจากขาว-ดำ ต้องพิจารณากันทีเดียว นับเวลาก้เกือบ 20ปีที่มีโอกาสได้ดูของจริงๆ

นอกเหนือภาพของ Picasso แล้ว ศิลปินอีกคนที่น่าสนใจ คือ Salvado Dali
เจ้าพ่อ Surrealist ภาพเขียนของคนน ี้หลายคนคงเคยเห็น ที่เป็นนาฬิกาละลาย แต่ไม่ได้อยู่ในmuseumนี้
นอกจากนั้นยังมีผลงานของศิลปินชื่อ Miro ซึ่งก็เป็นหนึ่งในศิลปินสเปนที่มีชื่อเสียง เราจะเห็นผลงานของMiroตามสถานที่ต่างใน Madrid

นอกจากนี้ก็มีผลงานร่วมสมัยมาร่วมจัดแสดงด้วย ไม่ว่าจะเป็นงาน Mix media หรือภาพถ่าย

หนิงกับบอยเสพงานศิลป์กันสุดๆ กว่าจะออกกันมาก็บ่าย2แล้ว เราหาของง่ายๆลองท้อง ก่อนเดินทางไปดูชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนบอยฝากซื้อ ก้ไม่ไกล ไปลงรถไฟที่สถานีที่เราดูกระทิง เดินต่อไปหน่อย ทำให้เราได้เห็นว่าร้านอาหารรอบๆtorosติดประกาศโฆษณาสู้วัวสำหรับอาทิตย์ถัดไปแล้ว ดีไม่ดี ร้านพวกนี้ก็ซื้อเนื้อวัวที่แพ้การต่อสู้มาขายเราแน่ๆ

ร้านน้องบอยปิดบ่าย เพราะเขานอนกัน บอยบอกแค่ดูเฉยๆก็ได้ ไม่นานนัก เราก็เดินกลับ เวลาใกล้ 4โมงแล้ว แดดยังแรงอยู่ แต่ว่าเราใช้เวลาทั้งวันใน museum เลยไม่รู้สึกเท่าไร เราตัดสินใจกลับ โรงแรม โดยแวะ super market ก่อน

tripนี้ ถือเป็น trip ที่ตั้งใจไว้อีก trip และก็ทำสำเร็จ คราวหน้า ถ้าได้ไปสเปนอีก ก็จะพยายามออกเดินทาง เพื่อจะรู้จักเมืองนี้ให้มากขึ้นให้ได้

ก่อนกลับบ้าน พวกเรายังคงพูดคุยสนุกสนาน น้องๆร่วม trip น่ารักทุกคน พร้อมลุย และหวังว่าเราจะได้ไปด้วยกันอีก

นางฟ้า