วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เที่ยวแม่น้ำแม่กลอง

เที่ยวแม่น้ำแม่กลอง


จากการที่ได้ไปเที่ยวอัมพวาครั้งก่อนกับพ่อแม่และน้องเมื่อตอนสงกรานต์ คราวนั้นเป็นทริปที่เน้นไปทางอำเภออัมพวาซะมากกว่า มาคราวนี้ ได้กลับมาอีกครั้ง แต่มาคราวนี้กลับมาพร้อมพี่อ๊อดที่คราวที่แล้ว พากันไปตลุยดูน้ำท่วมพระนครเมื่อ 2-3อาทิตย์ก่อน คราวนี้เลยชวนพี่อ๊อดมาดูน้ำในแม่น้ำแม่กลองบ้างว่า จะสูงขนาดไหน เราดูตารางบินกันแล้วก็พบว่าเรามีเวลาเที่ยวเล่น 1วันในเดือนนี้ ตอนแรกหนิงเองยังนึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าจะไปไหน แต่ที่ใกล้กรุงเทพแล้วเรายังไปไม่ทั่วก็ที่เนี้ยละ สมุทรสงคราม เพราะที่นี้มีวัดวาอารามเก่าแก่เยอะ และเป็นเมืองที่มีแม่น้ำลำคลอง ดูเป็นเสน่ห์สำหรับเมืองนี้ทีเดียว

พี่อ๊อดนัดหนิง 10โมงเช้า โดยวันนี้พี่อ๊อดจะเป็นสารถีขับรถไปให้ เราออกตามกำหนดเวลา ขับกันไปเรื่อยมุ่งหน้าไปพระราม2 วันนี้ถนนค่อนข้างรถเยอะ เพราะมีอุบัติเหตุตลอดทาง ทั้งที่ความจริงแล้ว อุบัติเหตุก็ได้รับการเคลียร์แล้ว แต่ไทยมุงทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะชะลอรถดู

หนิงบอกพี่อ๊อดว่าจะพาไปหาข้าวทานก่อน ทั้งที่เวลานั้นก็ยังไม่เที่ยงดี โดยบอกให้พี่อ๊อดเลี้ยวเข้าเอกชัย พี่อ๊อดขับตามที่หนิงบอกจนถึงร้าน ร้านอาหารที่หนิงแนะนำ คือร้านคุณตุ่ม ที่คราวที่แล้วหนิงก็พา พ่อแม่ มาทานที่นี้เช่นกัน คราวนี้ก็พาพี่อ๊อดมาชิม จริงๆแล้วนอกจากร้านนี้ หนิงก็ไม่รู้จักร้านไหนแถวๆนั้นซักเท่าไหร่ ร้านนี้อาหารทะเลเขาสด สดจริงๆ เพราะเราเห็นน้องปลาว่ายน้ำเริงร่ากันก่อนจะอาบน้ำร้อนมานอนรอบนโต๊ะอาหาร

เราไปถึง 11โมง ลูกค้ายังไม่เยอะ ซึ่งวันนี้เป็นวันทำงาน นักท่องเที่ยวก็ไม่มากนัก ถ้าหากเป็นเสาร์ อาทิตย์ หรือ วันหยุดยาว ร้านนี้คนจะมาเยอะมาก

เราสั่งอาหารกันอย่างไม่รอช้า เพราะพี่อ๊อดเองก็เริ่มหิวแล้ว เราสั่งปลากระพงทอดน้ำปลา กุ้งผัดพริก ข้าวผัดปู และปลาทูต้มยำ อาหารมาเร็วกว่าที่คิด เพราะลูดค้ายังไม่เท่าไหร่ ปลากระพงเนื้อฟู สดมาก ในขณะที่กุ้งผัดพริก กุ้งตัวใหญ่ทีเดียว รสชาติกลมกล่อม ส่วนปลาทูต้มยำ ขอบอกว่าปลาอร่อยมากไม่คาวเลย และน้ำซุปรสจัดจ้าน ในขณะที่ข้าวผัดสิ้นคิด เอ๊ยข้าวผัดปู อร่อยมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนจะทานได้จนหมด ตอนแรกหนิงกับพี่อ๊อดยังคิดจะห่อกลับ ในตอนที่อาหารมาวางใหม่ๆ แต่ท้ายที่สุด ซากก็ยังพิสูจน์ไม่ได้

ตบท้ายของคาวด้วยของแถมจากร้าน ลอดช่องวัดเจษฯแสนอร่อย ของโปรดอีกเหมือนกัน

หลังอาหาร เราสองคนอยากนอนมากกว่าไปไหนเสียอีก แต่ถ้าจะกลับบ้านนอนก็คงเสียเที่ยว เราเลยเดินหน้าลุยต่อ พี่อ๊อดมีหนังสือนำเที่ยวเล่มเล็กมาให้หนิงดูว่าจะไปไหน หนิงเสนอวัดโกรกกราก เราะหนิงมักเห็นป้ายโฆษณาวัดตามริมถนน เป็นพระใส่แว่นดำ จนพาลอยากรู้ว่าทำไม วัดอยู่ในเมือง ขับรถตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึง โบสถ์เก่าที่มีพระใส่แว่น อยู่อีกด้านของฝั่งถนน เหมือนกับว่ามีถนนใหญ่มาผ่านกลางวัดอย่างนั้น เราเข้าไปในโบสถ์ไม้เก่า เห็นพระประธานใส่แว่นจริงๆ เดิมพระองค์นี้เป็นศิลาแลง อยู่มาวันหนึ่ง เกิดโรคระบาดตาแดงทั่วเมือง ผู้คนก็มากราบไหว้ บนบาน ปรากฎว่าหายจากโรคเลยมาปิดทองพระเต็มไปหมดจนไม่เห็นศิลาแลง โดยเฉพาะที่ตา ต่อมาเจ้าอาวาสในสมัยนั้นไม่อยากให้ชาวบ้านมาปิดทองที่ตาพระอีก เลยออกอุบาย นำเอาแว่นดำมาใส่ให้แทน

เสร็จจาการไหว้พระที่วัดโกรกกราก หนิงตกลงกับพี่อ๊อดว่าเราควรมุ่งหน้าสู่สมุทรสงครามเลยดีกว่า พราะที่นั้นวัดเก่าๆ แปลกๆมีมากมายให้เราเยี่ยมชมและถ่ายรูป

ไม่นานนักเราก็เข้าสู่อำเภอเมือง ความรู้ใหม่ที่หนิงได้จากมาเที่ยวหนนี้คือ สมุทรสงครามเป็นเมืองที่มีวัด ร้อยกว่าวัด แต่มีอำเภอแค่3อำเภอ คืออำเภอเมือง อำเภออัมพวา และอำเภอบางคนที เท่านั้น เป็นจังหวัด 1ใน 3จังหวัดที่มีแค่ 3อำเภอ และยังเป็นจังหวัดที่เล็กทีสุดด้วย วัดแรกที่เราตั้งใจจะไปวันนี้คือวัดบางกระพ้อม เป็นวัดที่คราวก่อนหนิงพาพ่อแม่พี่ย้องไปมาแล้ว และก็เป็นวัดที่หนิงชอบมากๆวัดนึง ด้วยว่ามีพระพุทธบาทจำลอง 4รอย ในวิหาร และจิตรกรรมฝาผนังเป็นปูนปั้หลังคาวิหารจะมีช่องสำหรับแสงเมื่อเวลาพระอาทิตย์ส่องแสงเข้ามาจะสวยมาก

หนิงกับพี่อ๊อดจัดการถ่ายรูปเป็นการใหญ่ ถึงแม้ว่าวันนี้แสงจะไม่เป็นใจมาก เพราะอากาศสลัวเหลือเกิน
เราเดินเล่นรอบๆวัด เห็นน้องหมาฝูงนึงนั่งคอยรักอยู่หน้าโบสถ์ หมากับวัดเป็นของคู่กันเหมือนช้อนกับซ้อมยังไงยังงั้น

จากนั้นเราก็เดินทางต่อ ตอนแรกตั้งใจจะไปวัดบางกุ้งก่อน แต่เนื่องจากเลี้ยวผิด ไปทางตลาดน้ำอัมพวา หนิงเลยบอกพี่อ๊อดว่างั้นเราเปลี่ยนแผนไปวัดฝรั่งก่อนแล้วกัน แต่ขณะที่เรากำลังตามรอยทางไปวัดฝรั่ง พี่อ๊อดก็เกิดอาการอยากกาแฟขึ้นมา หนิงนั่งมองระหว่างทางก็ไม่เห็นร้านกาแฟใด จนกระทั่งหันไปเห็นป้ายไปร้าน ปานากาแฟ หรือเรือนปานาลี ที่โฆษณาว่ามีทั้งก๋วยเตี๋ยวกับกาแฟ เราแอบขำกันว่าทำไมกาแฟต้องมาขายคู่ก๋วยเตี๋ยว แต่เราตกลงใจกันว่าหากาแฟกันก่อน แล้วค่อยเที่ยวต่อ หนิงบอกให้พี่อ๊อกขับตามป้ายไป ป้ายแล้วป้ายเล่า เราก็ยังไม่เห็นร้านซักที จนในที่สุดป้ายบอกใ้ห้เลี้ยวซ้าย ในตอนนั้นพี่อ๊อดกำลังจะถอดใจซื้อกาแฟ 7-11กินแทนแล้ว แต่หนิงบอกว่าช้าก่อนพี่อ๊อด เราควรเอา 7-11เป็นทางเลือกสุดท้าย พี่อ๊อดตัดสินใจตามป้ายต่อไป ตอนนี้เราข้ามสะพานข้ามแม่กลองกลับมาอีกฝั่ง แล้วมุ่งหน้าไปวัดบางกุ้งแทน หนิงเลยบอกว่าพี่อ๊อดงั้นเดี๋ยวดื่มกาแฟ แล้วต่อด้วยวัดบางกุ้งนะ เป็นอันตกลง พี่อ๊อดบ่นว่าขับมาตั้งไกลไม่ถึงสักที ขับจนจะครบรอบแล้ว ถ้ากาแฟไม่อร่อยจะเผาร้านซะเลย แต่เหมือนพรายไปกระซิบเจ้าของร้าน ทันทีที่เราเห็นป้ายร้าน เราดีใจกันออกนอกหน้า ไม่ถึงเสี้ยววินาที เราก็ร้องกันลั่นรถ "มันปิด" อย่างที่บอก พรายไปกระซิบเจ้าของร้านจริงๆละว่า "ปิดเถอะ เพราะถ้ากาแฟไม่ถูกปากนังองคนเนี้ย มันเผาร้านแน่" หนิงได้แต่ปลอบพี่อ๊อดว่ายังเหลือ 7-11เป็นทางเลือกน่ะ พี่อ๊อดเลยยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เราก็อดบ่นไม่ได้ว่า ไม่ขายก็ไม่บอกกันก่อน ติดป้ายอยู่นั้น จะว่าไปแล้ว ตลอดทาง หนิงว่าหาร้านกาแฟยากกว่าเมืองอื่นๆ เลยบอกพี่อ๊อดว่าเราน่าเปิดร้านกาแฟกันนะ คราวก่อนหนิงเองก็อยากเปิดGuest Houseแถวๆท่าเตียนมาทีแล้ว

เราเลยมุ่งตรงไปเยี่ยมชมวัดบางกุ้งก่อน วัดนี้อยู่ติดค่ายบางกุ้ง ซึ่งเป็นค่ายที่ฝึกทหารไปสู้รบสมัยก่อนกับพม่าสมัยอยุธยาโน่น แต่ที่โดดเด่นคือ โบสถ์เก่าของวัดนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่4ชนิด คือโพธ์ ไทร ไกร กร่าง จึงเรียกว่าโบสถ์ปกโพธิ์ เป็นโบสถ์สมัยอยุธยา ภายในโบสถ์ยังมีจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยา เกี่ยวกับพุทธประวัติด้วย

ต่อจากนั้นเราก็ขับรถออกมาหวังจะหากาแฟดื่ม เราก็เจอร้านทางกลับไปโบสถ์ฝรั่ง พร้อมทั้งได้ขนมสอดไส้มาแกล้ม โดยไม่ต้องไปพึ่งพา 7-11ให้เสียเชิง สิ่งที่น่าสั่งเกตุคือ ตลอดทางที่เข้ามาถนนเส้นใน เราจะ
เห็นชาวบ้านเขาขายสอดไส้กันเยอะ นัยว่าเป็นเมืองมะพร้าว อีกทั้งน้ำตาล ราคาก็ถูกแสนถูก ขอชิมยังให้ชิมฟรีซะอีก แต่ด้วยฐานะอย่างเราตอนนี้(ไม่มีจะกิน) เราก็ไม่อยากเอาเปรียบชาวบ้าน กินเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น หลังพี่อ๊อดเติมคาเฟอีน เรามุ่งหน้าไปวัดฝรั่งทันที วัดฝรั่งที่ว่ามีชื่อว่า อาสนวิหารแม่พระบังเกิด เป็นโบสถ์ที่สร้างมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว ภายในมีกระจกสีที่นำมาจากฝรั่งเศส เล่าเรื่องของพระแม่มารี แต่น่าเสียดายที่สุด เพราะโบสถ์ดันเปิดเฉพาะ พุธ ถึง อาทิตย์ หยุด จันทร์อังคาร

เราเดินเล่นรอบๆโบสถ์ มองเห็นว่าบริเวณดูสะอาดสอ้
านมาก โบสถ์ตั้งอยู่ริมแม่กลอง น้ำดูสะอาดตามาก
เวลาเริ่มคล้อยบ่ายลงเรื่อยๆ สงเดดที่วันนี้ก็ถูกบดบังอยู่แล้วจากเมฆ ก็ยิ่งลดแสงลงอีก แถมมีลมเย็นๆโชยมาปะทะใบหน้า ชวนให้เราปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปกับสายน้ำและสายลม เราตกลงใจจะไปนั่งเรือเล่นชมชีวิตริมน้ำ แต่ขอไม่ดูหิ่งห้อย เพราะดูกันมาหลายครั้งแล้ว

เราจัดแจงไปจอดรถที่วัดอัมพวัน เพราะ
ใกล้ท่าน้ำ เดินไปตลาดน้ำ พบว่าเงียบเหงาไร้ผู้คน แตกต่างกันอย่างส้ินเชิงในวันเสาร์อาทิตย์ หนิงกับพี่อ๊อดเดินไปหาเรือรับจ้าง ที่ป้ายบอกว่าเหมาเรือ600บาท แต่พอไปถามจริงๆ คนเรือบอก500บาท อาจเป็นเพราะวันธรรมดา คิดราคาถูกลงก้ได้ หนิงต่อราคาตามสัญชาตญาณของลูกผู้หญิง "400นะพี่" คนเรือบอกว่าครึ่งทาง 450 โอเคเป็นอันตกลง เราแอบได้ยินคนเรือเรียกเราน้อง พี่อ๊อดเลยแอบกระซิบว่า หนิงเดี๋ยวให้ไปเลยพันนึง ถูกใจเรียกน้อง คนเรือพาเราไปชมวัด5วัด วัดแรกคือวัดท้องคุ้ง หรือชื่อเดิมวัดราซบูรณะ วัดนี้มีหลวงพ่อองค์โตอยู่ในโบสถ์ ชาวบ้านบางทีก็เรียกหลวงพ่อดำ คนเรือบอกว่าเป็นหลวงพ่อที่โตที่สุดในคุ้งน้ำนี้

จากนั้นเขาก็ขับเรือพาเราเขาคลองบางแค ไปวัดบางแคกลาง เราลงไปสักการะพระเกตุ แต่ที่น่าแปลกใจเลยคือ เสียงเพลงลั่นวัด ถามพี่ผู้หญิงที่เดินตามเราจากท่าน้ำได้ความว่า เพลงดังเพราะพระทำงาน เอ๊ะแล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ?

เสียงเพลงหายหลังจากเราทัก อาจเพราะเกรงใจเรา เราพูดคุยเรื่องวัดกับพี่ผู้หญิง หนิงพาลมองไปเห็นว่าเขาห้อยเบี้ยทีคอก็เลยอดถามไม่ได้ว่ามาจากที่ไหน พี่เขาบอกว่าเป็นของที่วัด ศักดิ์สิทธ์มาก เห็นว่าเคยมีราชองค์รักษ์ใส่แล้วแคล้วคลาดจากภัยต่างๆ อันนี้ใครอยากได้ไว้ก็คงต้องมาขอกันทีนี้


ออกจากวัดบางแคกลาง เราก็มาบางแคใหญ่ หนิงถามว่าแล้ววัดบางแคน้อยอยู่ไหน คนเรือบอกว่าไปอีก เลยเป็นที่น่าสงสัยว่าทำไม
เขาไม่เรียงใหญ่ กลาง น้อย หรือ น้อย กลาง ใหญ่ ทำไมต้องเรียง กลาง ใหญ่ น้อย นเรือเองก็ตอบไม่ได้ เพราะเกิดไม่ทัน เพราะวัดแต่ละที่ที่ไป ล้วนแต่เก่าตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ทั้งนั้น

วัดบางแคใหญ่ดูจะเป็นวัดมีระดับ เพราะเป็นถึงวัดอารามหลวง เกิดมาหนิงก็เพิ่งจะรู้ว่า วัดอารามหลวงเขาจะมีใบเสมาเป็นคู่ วัดนี้มีจิตรกรรมฝาผนังที่กฎิสงฆ์ เป็นช่างในรัชกาลที่3 ก็เป้นที่หน้าเสียดายอีกว่า เราไม่มีโอกาสได้เยี่ยมชม เพราะพระท่านว่าเย็นแล้ว เขาปิดกุฏิไปแล้ว แต่หนิงกับพี่อ๊อดได้มีโอกาศนั่งสนทนากับหลวงพ่ออยู่พักใหญ่ ไม่ใช่เรื่องธรรมมะหรอก หากแต่เป็นเรื่องท่องเที่ยวอัมพวา ท่านแนะนำที่เที่ยวในฤดูต่างๆ อย่างหน้าผลไม้ ท่านว่าเราควรบุกสวนลิ้นจี่ แล้วซื้อจากสวนเลย ท่านยังเล่าว่าหน้าลิ้นจี่ ถ้าเรามากลางคืน เราจะเห็นไฟสว่างไสวในสวน เพราะชาวสวนจะติดไฟนีออนไว้ไล่ค้างคาว นี้เป้นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้ธรรมชาติสู้กับธรรมชาติจริงๆ เพราะค้างค้าวมันไม่ค่อยชอบแสงเท่าไหร

หลวงพ่อคุยสนุกมาก ทั้งยังแนะให้เราบอกคนเรือให้พาลัดเข้าคลองเล็กๆดูวิถีชาวบ้านอีก
เรากราบลาหลวงพ่อ บ
อกว่าขอแปะโป้งไว้ก่อน เราจะกลับมาอีกครั้ง เพราะยังไม่ได้เห็นของดี(จิตรกรรมฝาผนัง)

ตอนเดินออกมา หนิงบอกพี่อ๊อดว่าท่านเคยทำงานอยู่ ททท พี่อ๊อดหันมาบอกว่า เมาท์ จริงๆแล้วเราชื่นชอบหลวงพอมากที่ทำให้เราเห็นว่าท่านเองช่วยส่งเสริมชุมชนอย่างไร


จากนั้นคนเรือพาเรามาวัดบางแคน้อย จริงๆเรื่องวัดจะน้อย จะใหญ่ เนี้ยมีที่มา วัดบางแคใหญ่ เป็นวัดที่ภรรยาหลวงของสมุหกลาโหมในสมัยราชการที่2 มาทำบุญ ส่วนวัดบางแคน้อย ก็ภรรยาน้อยนั้นเองที่มาทำบุญ


ที่วัดนี้เขามีพระบรมสารีริกธาตุให้เราได้สักการะ โดยสร้างที่ตั้งสวยงาม ด้านในเราเจอกฏิไม้สักที่ยังสร้างไม่เสร็จ สำหรับเจ้าอาวาส แต่ท่านได้มรณะภาพไปก่อน โดยยังมีโลงอยู่ที่นั้น ที่วัดนี้เราเจอเด็กน้อยน่ารักชื่อก้องมาไหว้หลวงปู่ที่มรณะไปแล้ว โดยก้องบอกเราว่าหลวงปู่นอนหลับ เด็กหนอเด็ก ช่างไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้

เราออกจากวัดเกือบ5โมงเย็นแล้ว โดยวัดสุดท้ายที่เราไปคือวัดบางจาก ที่นี้มีโบสถ์เก่า ตอนหนิงกับพี่อ๊อดเข้าไป ไม่มีใครในโบสถ์ แถมโบสถ์ยังมืดเสียอีก หนิง
เลยแอบไปเปิดไฟ ก็มองเห็นความสวยงามในโบสถ์ ก่อนกลับ เราก็ไม่ลืมที่จะปิดไฟให้

เราขอให้คนเรือเข้าคลองบางจากเพื่อดูวิถีชาวบ้านก่อน
ทะลุออกอัมพวา เราตกลงใจจ่ายค่าเรือไป 500 เพราะคนเรือเขาก็ใจดี ขออะไรก็ไม่ขัด

วันนี้เรากลับกรุงเทพสบายๆแบบรถไม่ติด คงเพราะว่าไหว้พระมาเยอะกุศลเลยส่ง กลับมาหาอาหารง่ายทานข้างถนนแถวปากทางลาดพร้าว หนิงกับพี่อ๊อดเลยเข้าไปเดินเล่นที่Union Mall ก่อนกลับบ้าน เลยพบว่าของเขาดีจริงๆ ทั้งถูก ทั้งดี
เพราะคัดมาแล้วจากPlatinum อันนี้พี่เชอรี่กับพี่นก confirmมาอีกที คราวหน้า หนิงกับพี่อ๊อดเลยตั้งใจว่าจะนำเที่ยว Union Mall แทน

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่3 ไม่ใช่วันของเรา

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่3 ไม่ใช่วันของเรา

เช้านี้หนิงกับอยตื่นตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทยคือ ประมาณ 6โมงเช้า เพื่อเตรียมตัวที่จะปั่นในวันที่2 โดยพี่ต๋องทำการนัดในเวลา 8โมงเช้าตมเวลาบ้านเรา ในขณะที่เราสองคนกำลังแต่งตัว เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ก๊อก ก๊อก ออยวิ่งไปเปิดประตูหน้าก้อง เห็นพี่บี๋ยืนเท้าะเอว อยู่หน้าห้อง สายตาจับจ้องเข้ามา บ่งบอกว่าไม่พอใจอะไรสักอย่าง พี่บี๋เอ่ยออกมาว่า “ นี้เขานัดกันกี่โมงเนี้ย พวกหล่อนยังไม่เสร็จกันอีกเหร เนี้ยฉันลงไปข้างล่างไม่เจอใครเลย” หนิงกับออยมองหน้ากัน แล้วหันไปตอบพี่บี๋ว่า “พี่ เขานัดกัน 8โมง บ้านเรานะพี่

“เหรอ อะไรกัน ทำไมนัดเวลาไทย นี้เราอยู่เมืองจีนนะย่ะ แน่ใจเหรอว่าพี่ต๋องเขานัดเวลานี้” เสียงพี่บี๋ถามอย่างจิกกัดต่อไป เราสองคนหัวเราะกับอารของพี่บี๋อย่างแรง พี่บี๋เป็นผู้ชายแท้ๆ ที่บทีก็ชอบเล่นเป็นแต๊วนิดๆ ให้น้องๆขำเล่น

สักพักพี่ไกด์เดิตามเข้ามาสมทบเรื่องเวลาอีกที หนิงกับออยเลยรู้ว่า คนอื่นๆเขานัดกันเวลาท้องถิ่น จะมีก็หนิง ออย พี่ต๋งและพี่เยาที่นัดกันเวลาบ้านเรา

จะว่าไปเรื่องเวลา อย่างที่เล่าว่าเมืองจีนใหญ่มาก แต่เขาก็ใช้เวลาเดียวกัทั้งประเทศ คือ เวลาจะเร็วกว่าบ้านเรา 1ชม แต่ภูมิประเทศของยูนนานนั้น เป็นเส้นแวงเส้นเดียวกับบ้านเรา ดังนั้น แสงพระอาทิตย์ขึ้นลง จึงไม่ได้แตกต่าง หนิงเลยรู้สึกว่าเรอยู่ในเวลาบ้านเรามากกว่าจะเป็นเมืองอื่น

เราเคลียร์กันเรื่องเวลา จนทุกคนแน่ใจว่าพี่เยาจะมาเวลาบ้านเร เช้าวันนี้อากาศโดยรวมเหมาะแก่การลงเม็ดของฝนมาก เพราะมีเมฆหมอกลอยต่ำ อากาศเย็น พระทิตย์ส่องมาไม่ถึง หนิงกับพี่บี๋รออยู่ที่ล๊อบบี้โรงรม ที่โรงแรมมีบริการน้ำร้อนน้ำเย็นให้ฟรี หนิง ออย พี่บี๋เลย ชงเครื่องดื่มยามเช้าจิบกันไปเพลิน

ข้างๆโรงแรม มีตลาดเช้ นิงเลยเดินไดูเล่นๆ ตลาดที่นี้ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา เป็ตลาดสดที่ขายทั้งของสดและเสื้อผ้าราคาย่อมเยาว์ เดินออกมาปากทางเข้าตลาดก็เห็นรถเข็นผลไม้ เมืองจีนนี้มีผลไม้ทั้งปีจริงๆ นานาชนิด จากหลากหลายภูมิภาค หนิงเดินสำรวจเล่นๆ พอแก้เซ็ง ก็ลับมารอที่โรง พักใหญ่ๆ พี่พงษ์ พี่ชายก็เดิน เข้า ไม่นานรถบรรทุจักรยานก็มา พวกเราซึ่งเตรียมตัวอยู่แล้ว ก็พร้อมกันช่วยเอารถลง เก็บสัมภาระ สูบยาง เตรียมออกลุย

เรามองท้องฟ้าแล้วก็หยิบเอาเสื้อกันฝนออกมา ไม่รู้ว่าวันนี้เราจะเจอฝนขนาดไหน แต่เพื่อความปลอดภัย เราก็เตรียมตัวกันก่อน

เช้านี้พี่วัชเป็นนที่จะนำเราไปหาอาหารเช้า โดยพี่เยาไม่ร่วมปั่นกับเรา เห็นว่าจะต้องออกไปสำรวจที่พักและเส้นทาง ล่วงหน้าให้พวกเราก่อน พี่วัชนำทางพาพวกเราวนในเมืองซะ1รอบ เป็นการ warm up และชมเมืองไปในตัว เมืองเป็นเมืองไม่ใหญ่มาก แต่มีผู้คนเยอะแยะ เข้ามาขายของ ดูวุ่นวายดีเหมือนกัน เราเจอร้านขายก๋วยเตี๋ยวร้าหนึ่ง พี่วัชบอกให้เรากินร้านนี้ หน้าตามันดูดีทีเดียว แถมมีเรื่องปรุงนานาชนิด เช่นเต้าหู่ยี้ เกลือ ผักสับ ผงชูรส พูดเรื่องผงชูรส คนแถวเมืองจีน เวียดนาม ลาว เขาบริโภคผงชูรสกัันเป็นชีวิตจิตใจเลยทีเดียว เราสั่งเส้นตามใจที่ชอบ แต่น้ำซุปก็จะเป็นแบบดียวกัน ทันทีที่เราได้อาหารมาวางตรงหน้า กิจกรรมปรุงตามวัฒนรรมมไทยก็เริ่มขึ้น เราใส่เครื่องปรุงที่มีข้างหน้าอย่างละนิดอย่างละหน่อย ตามที่ต้องการ ออยวิ่งไปซื้อน้ำตาลมาชูรสอีก แต่ปรากฎว่า ที่เราปรุงกันนะ ไม่ได้เรื่องซักเท่าไร ในเวลานั้น เราไม่ค่อยรู้สึเท่าไร เพราะยังไม่มีข้อเปรียบเทียบเชิงพาณิชย์ เรามารู้ตัวกันทีหลังจากนั้นหลายวัน หลังจากมีของกินดีๆ เราจึงพบว่าไอ้ที่เราทั้งปรุง ทั้งกินไปนั้น ไม่ได้เรื่องเลย พี่ต๋อง โวยตั้งแต่ตนนั้นว่า เขาเห็นแม่ค้าเอาน้ำร้อนธรรมดาใส่เส้ แล้วก็ใส่หมูปรุงเท่านั้น ไม่ได้ใช้น้ำซุปใดๆทั้งสิ้น

หนิงได้ยินมาว่าพวกกองเชียร์ได้กินอร่อยกว่าเรา เพราะไปกันคนละร้าน กองเชียร์ออกเดินทางหลังจากพวกนักปั่นปั่นกันไปได้ไกลแล้ว

หลังจากอาหรเช้าถูกบรรจุลงกระเพาะกันแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทาง เริ่มต้นก็ขึ้นเขาเลย หนิงได้รับแจ้งจากพี่ต๋องหัวหน้าทีมว่า เราจะปั่นขึ้นไปก่อน หลังจากนั้นเราก็ปั่นลงเขาเข้าที่พักเลย แหมฟังดูดีทีเดียว แต่หนิงยังไม่รู้ว่า เส้นทางข้างหน้า มันไม่เหมาะกับหนิงอย่างแรง

หลังจากปั่นขึ้นกันมาไม่นาน กลุ่มก็แตกตามแรงของแต่ละคน หนิงรวมกลุ่มอยู่กับพี่ไกด์ พี่ชาย หลังสุด เราเลยพร้อมใจกันหยุดถ่ายรูปกันเป็นพักๆ หนิงเพิ่งรู้ว่าพี่ชายชอบถ่ายรูป ขนาดว่าเคยส่งประกวดแล้วได้รางวัลมาแล้วด้วย ถึงหนิงจะชอบถ่ายรูป ก็จะถ่ายเล่นเก็บไว้เองซะมากกว่า ประเภทถ่ายรูประบายอารมณ์ประมาณนั้น เราสามคนปั่นผ่านไร่ชาที่ปลูกบนเขาวันนั้นมากมาย ไร่ชาที่นี้ไม่มีข้อแตกต่างกับที่หนิงเคยเห็นที่ดอยแม่สลอง จะต่างกันก็ขนาดของใบชา อาจเป็นพราะอากาศหรือพันธุ์ชานั้นเอง

หนิงยังค้นพบอีกว่าการเข้าส้วมธรรมชาติที่ไร่ชานั้นแสนจะดี เพราะว่าเขาได้จัดทำเป็นช่องเป็นหลืบให้เรียบร้อย แถมแสงสว่างมากพอที่จะมองอะไรได้ถนัด ที่สำคัญไม่มีใครมาอุตริทำเรี่ยราดแถวนี้นอกจากพวกเราเท่านั้น

เส้นทางวันนี้ที่เห็นส่วนใหญ่เป็น ไร่ชาและนาขั้นบันไดบ้าง ไม่ขั้นบันไดบ้าง ที่ว่านาขั้นบันไดบ้างนั้น เพราะภูมิภาคที่เราปั่นผ่านวันนี้ยังคงเป็นเขาไม่จัดนัก1200เมตรจากระดับน้ำทะเลก็ตาม นาที่ำจึงมีทั้งทำตามไหล่เขาบ้าง พื้นราบบ้าง ทิวทัศน์วันนี้สวยเพราะไม่มีแดดเลย เราคงปั่นกันเรื่อยๆ ไม่โดนฝน ไม่โดนแดด ปั่นแบบสบายๆ จนรถบรรทุกกองเชียร์มาถึง มีการหยุดพักให้น้ำให้ท่าจากบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย เราได้กินของกินนิดหน่อยพอเป็นกระสัยแก้หิว แล้วพวกเราก็ออกปั่นต่อ หว่างทาง เราเจอเส้นทางที่เป็นเส้นทางเก่า คือทำจากหินวางเรียงกันเป็นตับ เส้นทางนะสวย แต่ที่ไม่สวย และทำให้หนิงกับพี่บี๋ถึงกับอึ้งไปเลยคือ เวลาเราปั่นมันจะกระเทือนมาก ถึงมากที่สุด ชนิดว่าเสียงร้องจะเป็นเสียง โอะ โอะ โอะ ตามแรงสะเทือน

พี่บี๋ถึงกับอุ้มรถในบางช่วง เพราะกระเทือนมากๆ แขก็เจ็บไปด้วย ยิ่งรถพี่บี๋มีหน้ายางที่หน้ายางเล็กกว่ารถหนิงแล้ว ยิ่งแย่ข้าไปใหญ่

พี่ชายแอบแซวว่า วันนี้เป็นวันของพี่ชาย แต่หนิงบอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันของหนิงเลยจริงๆ พี่ชายแซงลงเขาไปหน้าตาเฉย

ขณะที่เราผ่านถนนเส้นนี้ พี่วัชได้ทำการเก็บหนอไม้ไผ่มาจำนวนหนึ่ง ดูอ้วนพีทีเดียว ได้ยินว่าเอาของกินไปแลกกับหนอนมาจากเด็กๆแถวนั้น หนิงรับหน้าที่เป็นสารถีพาหนอนไปส่งกระทะร้อน โดยมีพี่ปันหยา และเหล่ากองเชียร์รอรับประทานกันอยู่ จากถนนเก่า เราเข้าสู่ถนนที่ทำแล้ว พี่วัชเล่าให้ฟังว่าถนนเก่าพวกนี้เป็นถนนที่ทำสมัยสงคราม แต่สภาพยังดีอยู่ทีเดียว ไม่เหมือนถนนสมัยนี้ที่เดี๋ยวทำตลอดเวลา

ไม่นานนักเราก็ปั่นมาถึงจุดทานข้าว เป็นหมู่บ้านที่อยู่บนเขา

เหนือระดับน้ำทะเล 1200 เมตร อาหารวันนี้อร่อยมาก ด้วยเพราะพวกเราปั่นขึ้นกันมาเหนื่อยก็เป็นได้ หนอนไม้ไผ่ถูกทอดที่นี้เอง หนิงพูดปนตลกคลุกความเศร้าว่า พี่วัชขอหนอนจากเด็กชาวบ้าน หนิงเป็นโชเฟอร์พามา ส่วนพี่ปันหยาลิ้มลอง ชาติหน้าพวกเราคงได้เกิดมาเจอกันอีกเป็นแน่ เขาเรียกว่ากรรมนำพา เฮ้อ เศร้า

หลังอาหารมื้อนี้ หนิงกับพี่บี๋ได้ยินข่าวร้ายว่า เราจะต้องปั่นผ่านถนนที่มีสภาพขรุขระ เป็นระยะทางตลอด 20กิโล เป็นทางลงเขา หนิงฟังอย่างนั้นแล้วอยากจะบอกว่าเซ็งสุดๆ เพราะไม่ได้เตรียมตัวกับการมาปั่นบนเส้นทางอย่างนี้เลย พี่บี๋ตัดสินใจขึ้นรถ ด้วยว่าสภาพรถพี่บี๋ไม่เอื้ออย่างแรง ส่วนหนิงขอเวลาคิดก่อน ขณะเดียวกันก็เดินไปดูรถ พี่คนอื่นๆว่ามีความแตกต่างอะไรบ้าง หนิงพบว่า ยางที่หนิงใช้คราวนี้มีขนาดไล่เลี่ย กับของพี่พงษ์เลย หนิงเลยตัดสินใจว่าจะปั่นต่อ ในขณะเดียวกัน พี่วัชก็เป็นกำลังใจให้ บอกว่า ปั่นได้ เคยมีคนปั่นกันแล้ว แต่อีกอย่างที่หนิงค่อนข้างกังวลคือ สภาพถนนอย่างนี้ไม่เอื้อสำหรับรถที่ไม่มีโช็ค รถของหนิงเป็นตะเกียบหน้า ไม่เหมาะกับถนนลูกรังแบบนี้ แต่ยังไง หนิงก็อยากลอง อย่างมากก็ขึ้นรถ อีกอย่างพี่วัชก็ยืนยันว่าถนนไม่ได้แย่มาก ไม่มีหลุมบ่อ แค่ทางไม่เรียบเท่านั้น

เราเริ่มทยอยกันออก ตอนนี้หนิงบอกให้ออยไปก่อน เพราะหนิงจะช้ามาก หนิงค่อยๆปล่อยเบรคให้รถไล่ไปช้าๆ แขนสองข้างงอให้เป็น โช็คธรรมชาติ เสียงร้องของหนิงสั่นตามจังหวะกระเทือนของรถ โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ มือหนิงกำแฮนด์ไว้แน่น ด้วยว่ากลัวจะหลุดจากมือ หนิงยังคงไหลลงช้าๆ โดยมีพี่วัชประกบหลังตลอ หนิงหันไปบอกพี่วัชว่า “ไปก่อนก็ได้นะพี่ หนูช้า” พี่วัชตอบมาว่า “ ไม่เป็นไรไปด้วยกัน เผื่อรถเป็นอะไร” ซึ่งพี่วัชน่ารักมาก พี่เขาจะปั่นห่างๆ ไม่มาใกล้ๆให้เรารู้สึกกังวล หนิงควบคุมรถไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ออกแรงถีบบ้าง บางช่วงที่รู้สึกว่าการสั่นสะเทือนมากจนมันบันทอนสุขภาพ หนิงก็จะหยุดพัก

หนิงนึกไปถึงว่าครั้งหนึ่งเคยมีหญิงสาวนางหนึ่งอยากจะมาปั่นจักรยานกับหนิงมาก แต่ครานั้นหนิงก็ได้บอกเธอไปว่าอย่าเลย เนื่องจากห่วงสุขภาพของเธอ เธอบอกว่าเธอแข็งแรงดี แต่หนิงยังคงยืนยัน เธอถามหาเหตุผลแห่งการห้ามปรามเธอครั้งนั้น หนิงก็เลยบอกไปตรงๆว่า กลัวว่าเธอจะเสียโฉม เธอกลับบอกว่า ไม่เป็นไร เธอไม่ล้มแน่นอน หนิงบอกเปล่าไม่ได้กลัวเธอล้ม แค่กลัวว่าเวลาปั่นทางขรุขระ เกิดแรงสั่นสะเทือนสะท้านเลื่อนลั่น จะทำให้สรีระของเธอไม่สามัคคีกัน พาลจะไปฟาดหน้าฟาดปากเธอเอาได้ เธอฟังอย่างนั้นเธอก็หัวเราะแทนที่จะโกรธ ก็ดีไป เพราเป็นคนอื่นก็คงไม่พูดกับหนิงไปแล้ว แซวแรงขนาดนั้น

แต่สำหรับหนิแล้ว หนิงจัดว่าโชคดีที่ไม่มีสรีระดั่งนางงามปานนั้น เลยทำให้เล่นอะไรแผลงๆได้ตลอดเวลา

หนิงยังคงกำเบรค ปล่อยเบรคเป็นบางช่วง ยังดีที่ว่ากระเป๋าที่เอามาด้วย ช่วยถ่วงน้ำหนัก ไม่ทำให้หลังกระดก อย่างน้อยก็หมดห่วงเรื่องถคว่ำรถหวายไได้บ้าง ตอนนั้นคิดแต่ว่า เมื่อไหร่จะถึงว่ะ เมือ่ยแขนสุดๆ

พวกพี่ๆเขาร่อนกันไปถึงไหนแล้ว

จนในที่สุด หนิงไหลลงมาจนถึงลำน้ำน้อยๆ พี่ๆรอกันอยู่ที่นั้น ตอนนั้นความรู้สึกคือโล่งใจที่ไม่เป็นอะไร แต่แขนล้าไปหมด เพราะหนิงต้องใช้แขนรับแรงกระเทือนมาตลอดทาง พี่วัชตามลงมาไม่ห่างนัก เราพักกันไม่นาน ก็ออกเดินทางต่อ ตอนนี้กองเชียร์ทั้งหลายมุ่งหน้าไปที่พักแล้ว แต่ต่อจากนี้ เราก็ไม่ต้องลงเขาแบบทรหดอีกแล้ว แต่ที่เราผจญต่อ คือทางที่เป็นดิน แล้วบี้บดไปด้วยล้อรถใหญ่ๆ จนเกิดร่อง ไม่พอคะ ร่องพวกนั้น เต็มไปด้วยน้ำ ทำให้เกิดขี้โคลน เริ่มเห็นภาพไหมค แล้ว ล้อจักรยานน้อยๆ ก็ลงไปร่วมบดด้วย งานนี้รถเยินไม่เหลือสภาพ เวลาพวกเราผ่านโคลนกันที ก็หา น้ำล้างล้อที เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆอย่างทุลักทุเล รถคันอื่นๆที่หน้ายางใหญ่ ก็จะลุยโคลนไปได้ดีกว่า หน้ายางเล็กอย่างหนิง แต่มาขนาดนี้ไม่ถอยละ อีกอย่างถอยไม่ได้แล้ว เพราะรถขนรถแซงไปก่อนแล้ว

พวกเราต้องปั่ผ่านแม่น้ำแดง แม่น้ำแดงเป็นแม่น้ำที่จะไหลลงสู่เวียดนามตอนเหนือ และลงสู่อ่าวตังเกี๋ยในที่สุด น้ำในแม่น้ำมันแดงจริงๆสมชื่อ ต้นกำเนิดของแม่น้ำอยู่ในประเทศจีน โดยไหลจากอำเภอ งุยเซิน ยูนนาน ไหลผ่านเขตไทลื้อ ผ่านเขตปกครองตนเองชนชาติอาข่าและอี้หงเหอ เข้าสู่เวียดนามที่หล่าวกาย(ลาวไก) และเข้าสู่ที่ลุ่มในเวียดนาม ตะวันออกของนครฮานอย ก่อนจะไหลออกสู่อ่าวตังเกี๋ยที่ปากน้ำบาหลาต แม่น้ำแดงมีความยาวทั้งสิ้น 1,149กิโลเมตร ส่วนแม่น้ำที่ยาวที่สุดในมณฑลยูนนาน คือแม่น้ำแยงซีเกียง โดยยาวถึง 6,300กิโลเมตร แม่น้ำแดงดูไม่ได้หน้ากลัวมาก เหมือนแม่น้ำแยงซี หรืออื่นๆที่เราเห็นในสารคดี เป็นแม่น้ำที่มีสีค่อนไปทางแดง ตอนแรกหนิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่น้ำชื่ออะไร พี่ๆ มาบอกกันทีหลัง

เราปั่นเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็เจอถนนปูนที่ไม่ต้องเลอะเทอะอีก ขณะเดียวกัน เม็ดฝนฝอยๆเล็กๆก็หล่นลงมาบางๆ พอให้ตื่นเต้นที่จะเปียกฝนขึ้นมาได้บ้าง เราเริ่มตั้งหน้าตั้งตาปั่นหนีฝน แบบตัวใครตัวมัน ฝนลงแค่โปรยปราย ไม่ได้ทำให้เราเปียกเท่าไร เราปั่นไปจนถึงโรงแรม ซึ่งไม่ได้อยู่ไกลเท่าไร

น้องมุกวิ่งหน้าตั้งลงมาตอนรับ พร้อมบอกว่า “พี่หนิง ห้องน้ำที่นี้แย่มากแย่กว่าโรงแรมเมื่อคืนอีก” หนิงออกอาการเหวอนิดๆ เพราะเหนื่อยมาแล้วยังจะมาเจออะไรเข้าอีก หนิงไม่เห็นสีหน้าออย แต่ก็คงไม่แพ้กันเท่าไร เราจัดการจอดจักรยาน พี่หมียืนรออยู่แถวๆนั้น เลยเข้ามานวดแขนให้หนิง เพราะหนิงล้ามากๆ จากการลงเขายาว 20กิโลแบบ ทรหดอย่างนั้น พี่หมีนวดดีมาก ทำให้หนิงคิดถึงพี่ซุป เมื่อคราวที่แล้ว พี่ซุปเป็นมือนวด คราวนี้ได้พี่หมี พี่หมีบอกว่าพี่หมูเส้นแข็งมาก เวลานวดพี่หมูต้องใช้แรงมาก หนิงเพิ่งรู้เคล็ดลับของพี่หมูนี้เอง ว่ามีบริการส่วนตัว หนิงขอใช้บริการพี่หมีบ้างพอให้เส้นสายมันคลายจากความเมื่อยล้า หลังจากนั้นหนิงกับออยก็ต้องไปผจญกับโรงเตี้ยมเมืองจีนกันซะหน่อย

ห้องน้ำที่เราเจอ แย่จริงๆ แย่กว่าเมื่อคืนมาก ห้องน้ำเป็นห้อง ขนาดประมาณใหญ่กว่า เมตรคูณเมตรหน่อย โถส้วมไม่มี มีแต่หลุมให้ และหลุมกับที่ยืนอาบน้ำ อยู่ห่างกัน 1ฝ่าเท้า หากอาบเพลิน เดินก้าวพลาด ก็ตกหลุมได้ อ่างล่างหน้าก็อยู่ แค่หันหลังให้เท่านั้น ถ้าเป็นคนอ้วนระดับชาติ เข้าไปก็ติดในนั้นต้องเรียกดับเพลิงมาเอาตัวออกไปเป็นแน่แท้

แค่เห็นห้องน้ำเราก็ขำแล้ว หนิงเดินสำรวจที่นอน ดูสะอาดดี แต่เตียงที่หนิงได้ติดกับหน้าต่าง หนิงดันเตียงให้ห่างออกจากผ้าม่านผืนใหญ่ ก็พบว่า มีทั้งขี้แมลง ขี้ฝุ่น จับอยู่ที่ผ้าม่าน หนิงได้แต่เอามือปัดๆ ให้มันไปพ้นตา จากนั้นหนิงก็หันไปวุ่นวายกับหน้าต่าง แต่เมื่อเปิดออกไป ก็พบว่า วิวจากมุมนั้นมันสวยดี มองเห็น ท้องฟ้ากับขุนเขา เส้นทางที่เราปั่นผ่านมาเมื่อกี้ อย่างน้อยในความแย่ ก็ยังมีดีปน เหมือนอย่างที่บอกไว้เมื่อคราวที่แล้ว ชีวิตที่แย่ ยังมีเรื่องดีๆเสมอ ส่วนชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ ก็กรุณาเดินอย่างระมัดระวัง อย่าเพลินมากนัก

หนิงกับออยนั่งพักทอดน่องอย่างอารมณ์ดี เพราะวันนี้สำหรับออย ก็เรียกว่าสาหัส เพราะออยเองก็ไม่ชอบที่จะปั่นลงเขา เพราะกลัวล้ม แต่สำหรับหนิงมันแย่ยิ่งกว่าที่เอาจักรยานผิดประเภทมาปั่นอย่างนี้ แต่สำหรับการ touring เราจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเส้นทางจะเป็นอย่างไร เพราะอย่างนั้น เราต้องแกร่งพอดูทั้งกายและใจ

เรื่องห้องพักยังเป็นที่โจทย์ขานกันไม่เลิกโดยเฉพาะกิ๊ฟ กิ๊ฟเล่าให้ฟังว่าห้องที่พี่บี๋ สามีที่รักของกิ๊ฟได้ เหมือนห้องที่คุณโสตบตีกับแขกอย่างไงอย่างงั้น เพราะทั้งโคมไฟหัวเตียงก็หักพัง รอยเท้าที่กำแพงก็มีเพี๊ยบ อย่างกับว่า ตกลงราคาไม่ได้เลยลงมือกันซะอย่างนั้น หนิงตามไปดูแล้วอดขำไม่ได้ มันเหมือนอย่างนั้นจริงๆ พวกเราเลยเรียกที่นี้ว่าโรงเตี้ยม ทั้งสภาพห้องนอนและห้องน้ำ

แต่ถึงยังไง ในเมืองนี้ก็มีที่นี้ที่เดียวแล้ว

คืนนั้นเราออกไปทานข้าวอร่อยๆกัน พูดเรื่องอาหาร อย่างน้อยที่เมืองจีนการกินก็ไม่มีอดตาย อาหารที่จัดขึ้นโต๊ะมีไม่น้อยกว่า 5อย่าง และแต่ละจาน ก็มาแบบจานเปล ใหญ่มาก กินกันไม่เคยหมด ทั้งที่พวกเราก็เหนื่อยกันแทบตาย อาหารส่วนใหญ่จะออกมันๆ และออกเค็มนำ แต่ที่แปลกใจเราๆท่านๆคือ อาหารที่นี้มีรสเผ็ด ได้ความจาก Lilyว่า คนทางใต้ทานอาหารรสจัด(แต่ไม่แย่) แต่ที่ฮากว่านั้น ร้านเนี้ย เอากาละมังพลาสติกสีชมพูมาใส่ข้าวสวยแทนหม้อ เห็นแล้วก็ขำอีก เพราะไอ้กาละมังอย่างเนี้ย บ้านเราเอาไว้ซักกางเกงใน ฮ่ะ ฮ่ะ

หลังอาหารคืนนั้น หนิงทำการพิสูจน์ส้วมหลุมก่อนนอน ตอนเข้าส้วม หนิงก็ว่าไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรานี้นา ก็ลงหลุมเหมือนกัน แต่เมื่อเสร็จกิจ จัดการชักโครก หนิงก็มองลงไปในหลุม ก็เห็นของส่วนตัวนอนลอยคออยู่ตรงนั้น หนิงก็เริ่มสงสัยว่า แล้วมันจะมีชักโครกทำไมว่ะ ชักหรือไม่ชักมันก็ลอยคอนอนยิ้มอยู่ตรงนั้น หรือว่าตอนเช้ามันจะดูดจากบ่อพักไปทีเดียวเลย แต่ไม่ทันได้สงสัยนาน ออยก็บุกเข้าห้องมาพร้อมอุปกรณ์ล้างส้วม ออยบอกว่าทนไม่ได้เลยของทำบุญด้วยอุปกรณ์ล้างส้วม เกิดมาชาติหน้าฉันใด ออยขอเจอแต่ห้องน้ำสะอาดกลิ่นหอมๆ ฉันนั้น ฮ่ะ ฮ่ะ

หนิงจัดการล้างส้วมแล้วเลยส่งต่ออุปกรณ์ไปให้ห้องอื่นๆด้วย ก่อนนอนคืนนั้นเราออกกำลังสมองกันนิดหน่อย ด้วยไพ่สล๊าฟ มองในแง่ดีอย่างน้อย แอร์ในห้องก็เย็น แมลงใดๆที่กังวลก็ไม่มารบกวน หลับฝันดี

แล้วเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หนิงทำการพิสูจน์อีกครั้ง คราวนี้พิสูจน์ว่าของส่วนตัวเมื่อคืนยังอยู่หรือไปแล้ว ที่ไหนได้ มันยังนอนยิ้มโบกมือให้จากก้นบ้ึงของกองทองเลย อี๊……


เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า