วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ถนนสาย13...จากหลวงพระบาง สู่เวียงจันทน์

-->
ถนนสาย 13… จากหลวงพระบาง สู่เวียงจันทน์

ตอนที่ 1  ผ่านแดนจากไทยสู่ลาว..


กลับมาอีกครั้งกับการเดินทางด้วย2ล้อในต่างแดน  ครั้งนี้ไปกับกลุ่มเดิมคือกลุ่มการบินไทย แต่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย หลังจากที่ถูกล่อหลอกจากภาพถ่ายและเรื่องราว  หลายคนก็อยากมาสัมผัสกับเส้นทางหฤโหดที่โค้ชต๋องสรรหามาให้  แต่คราวนี้ โหดทั้งทาง และอากาศที่ร้อนแสนร้อน 

โค้ชต๋องจอมโหด
ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวละครที่ร่วมเดินทางกับเราครั้งนี้เลย  คนแรกโค้ชต๋อง คนที่น้องๆฝากผีฝากไข้ว่าจะพาไปทรมานกันแบบถึงไหนถึงกัน อาซีพหลักคือIn Flight Manager ของการบินไทย อาชีพรองคือนักกีฬาที่เล่นกีฬาเป็นบ้าเป็นหลังโดยเฉพาะ ไตรกีฬา   ต่อมาคือพี่หมู พี่หมี คู่สามีภรรยาที่น่ารัก หนที่แล้วพี่หมีเป็นแค่ผู้ติดตาม หนนี้เจ๊ขอปั่นตาม ด้วยเหตุผลว่านั่งรถต่อไปไม่ไหวแล้ว มันน่าเบื่อ และอันที่จริง พี่หมีได้ประลองฝีมือไปหลายทริปแล้ว และนี้คือการเปิดตัวนักปั่นหญิงพี่หมีอย่างเป็นทางการในบันทึก2ล้อในตอนนี้  ส่วนพี่หมู IM เหมือนพี่ต๋อง นักไตรกีฬาที่พยายามมานานที่จะให้ภรรยาที่รักมาปั่นจักรยานด้วยกัน  และในที่สุด  พี่หมีก็มาปั่นจนได้  ได้ยินว่าพี่หมูกำลังจัดหารถทัวร์ริ่งสวยๆสักคันให้พี่หมี เมื่อเวลาเดินทางออกทริปแบบ Full Option จะได้ไปแบบสบายหายห่่วง 

หนิง พี่แอนโทนี่และพี่โม่
พี่แอนโทนี่ หรือพี่แอน โกแอน โกจ้วง ชิมจัง และอีกสารพัดชื่อ พี่แอนเป็น IM เพื่อนพี่ต๋องที่ขี่จักรยานมาด้วยกันนานแสนนาน เคยแข่งไตรกีฬามาแล้ว และเราเคยไปทริปด้วยกันมาหลายครั้ง นับตั้งแต่เมื่อ10ปีที่แล้ว  ช่วงหลังพี่แอนหายไปพักใหญ่ เพราะติดภาระกิจเลี้ยงลูกน้อย(ลูกสาวสวย พ่อหวง) บัดนี้ลูกเริ่มเติบใหญ(พ่อยิ่งต้องหวง) พี่แอนเลยกลับมาปั่นด้วยกันอีกครั้ง  เมื่อหลายปีก่อนพี่แอนก็ปั่นไปสิบสองปันนาด้วยกัน  และยังมีทริปเฉลิมพระเกีตริ์ตอีก พี่แอนถือเป็นสีสันของกลุ่มทีเดียว ไม่ว่าลีลาการปั่น หรือการอำคนอื่น เรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งวัน
พี่ไก่ Air Purserคู่ซี้พี่แอน พี่ไก่เป็นหนึ่งในสิงห์นักปั่นที่กลับมาปั่นอีกครั้ง หลังจากหายไปนานหลายปีทีเดียว ถึงแม้ว่าพี่ไก่จะตัวใหญ่ไปหน่อย  แต่ลีลาการปั่นไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเท่าไหร่  จะมีถอยบ้างก็ตามอายุอานาม ที่กล่าวแนะนำมาข้างต้นเป็นเสือรุ่นใหญ่  ลงมาดูเสือรุ่นกลางกันบ้าง  หน้าเดิมๆ สจ๊วตหนุ่มการบินไทย ก็มีพี่พงษ์ พี่ไกด์  พี่บี๋ คราวนี้พี่บี๋พาศรีภรรยามาแค่ 3-4วัน เพราะช่วงหลังจากหลวงพระบางเราจะปั่นกันทั้งวัน  เกรงว่ากิ๊ฟจะเบื่อซะก่อน แต่คราวนี้พี่ไกด์ไม่ได้พาพี่แคทมา เพราะลูกโตแล้วต้องเรียนหนังสือ เลยฉายเดี่ยวให้เหงาใจ ส่วนกิ๊ฟจะไปกระโดดกอดพี่ไกด์เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสามีตน หนนี้ก็ไม่มีแล้ว เป็นอันว่าพี่แคทสบายใจได้ ส่วนพี่พงษ์ก็ฟิตเหมือนเดิม  เมื่อปีก่อนเจอน้ำท่วม แต่ก็ไม่ทำให้พี่พงษ์เลิกปั่นจักรยานไปได้  เห็นว่าเอาจักรยานหนีน้ำก่อนสิ่งอื่นใดในบ้าน 3คนนี้จัดเป็น3ทหารเสือ ไปไหนไปกันตลอดทริปทีเดียว

ถัดมาถึงเสือสาว  พี่เอ๋ พี่ก้อย และออย  ออยไม่ต้องห่วง เพราะเป็นศิษย์มีครู(ต๋อง) ถึงบางครั้งศิษย์คิดจะล้างครู  แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ  ไม่งั้นพี่ต๋องคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่ ส่วนพี่ก้อยเคยออกทริปปั่นไปสิบสองปันนาด้วยกัน และเมื่อปีก่อนยังร่วมทริปเฉลิมพระเกียริ์ตด้วยกันอีกในช่วงปั่นจากปีนัง สู่ตรัง ซึ่งพี่ก้อยสามารถปั่นได้สบาย  ส่วนพี่เอ๋ สิงห์เก่าแบบเดียวกับพี่ไก่  สมัยก่อนเธอจัดว่าเป็นนักปั่นหญิงแนวหน้าของทีมลูกเรือการบินไทยทีเดียว ถึงแม้จะล้างจากวงการปั่นไปนาน  แต่ด้วยความที่พี่เอ๋คือนักวิ่งแนวหน้วของบริษัท แรงพี่เอ๋จึงมีมากมาย

กัปตันโทนและพี่ยอด
อีกคู่ที่มาร่วมทางกับเราเป็นครั้งแรกคือกัปตันโทนหรือน้าโทนและพี่ยอด  มันเริ่มมาจากพี่ยอดมาร่วมแข่งทวิกีฬากับพวกเรา และพี่ยอดเองเป็นนักวิ่งรัฐวิสาหกิจของบริษัทด้วย เป็นแอร์รุ่นพี่ จะว่าไปคราวนี้พี่ยอดถือว่าเป็นแอร์ซีเนียร์สุดในกลุ่มสาวๆ พี่ยอดได้รับการชักชวนจากพี่ต๋อง จนทำให้พี่ยอดไปถอย Trek 520 เอามาเป็นพาหนะคู่กาย  ในขณะที่คนข้างกายพี่ยอดจะไม่ยอมเปลี่ยนรถ จะใช้ Mongooseท่าเดียวซึ่งหนักมาก  ดีแต่ว่าหนิงพอจะนึกได้ว่า เฟรมตัวหนึ่งที่ทำให้การปั่นของกัปตันน่าจะสะดวกสบายขึ้น หนิงเลยจัด Long Hual Trucker Disk ให้ก่อนมาลาวไม่กี่อาทิตย์ และเป็นที่ถูกอกถูกใจกัปตันมาก นอกจากจัดรถให้แล้ว เลยต้องเป็นพี่เลี้ยง พาออกทริปให้รู้จักจักรยานกันมากขึ้น อย่างน้อยให้รู้ว่าขึ้นเขาใช้เฟืองยังไง ใช้แรงแบบไหน โชคดีที่ว่าทั้งกัปตันและพี่ยอดเป็นนักกีฬาทั้งคู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หนิงเลยค่อยเบาใจไปเยอะ

ส่วน 2คนสุดท้ายในทีม ก็คือพี่โม่กับหนิง พี่โม่หลายคนอาจรู้จักจากทัวร์เป็ดน้อยกับพ่อห่าน แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จัก ข้อแนะนำเลยว่าเป็นคนข้างกายหนิงที่รักชอบและหลงรักจักรยานvintageมาก หลังจากหลงรักจักรยานเก่ามานาน เมื่อเจอหนิง  หนิงเลยพาให้ปั่นไกลมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้แก็งค์ vintageของพี่โม่ ปั่นไปไกลและเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ คราวก่อนตอนเที่ยวจีนพี่โม่ไม่ได้ไป  แต่ทริปเฉลิมพระเกียริ์ตพี่โม่ไปแจมด้วยช่วงเมืองจีน ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดี สร้างความแข็งแรงมากขึ้น  ปีนี้พี่โม่เลยติดใจ ยอมลางานสอนมาปั่นด้วยอีก และคนสุดท้ายในก๊วนนี้คือหนิงข้าพเจ้าเอง ผู้หลงใหลจักรยานเป็นนักหนา ให้ปั่นไปไหนก็ได้ ทางราบ ทางเขา ชันมากก็เข็น ลงเขาก็ไหลลงอ้าปากรับลมกันไป ปล่อยและรับสิ่งรอบกายที่เข้ามาผ่านไปอย่างเป็นจังหวะ

ในกลุ่มเรามีพี่วัชหรือเสือเทาเจ้าเก่าเป็นคนนำทาง  ปีที่แล้วพี่วัชเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดการปั่นเฉลิมพระเกียริ์ตที่พวกเราชาวการบินไทยไป ร่วมแจมอยู่2รอบ นอกจากพี่วัชที่ขาดไม่ได้เลยคือพี่พเยาว์หรือน้าเยาว์ ผู้ชำนาญทางในลาวมาก และพี่ทอง มือขวาของพี่เยาว์  พี่เยาว์และพี่ทอง มีหน้าที่ขับรถตาม (ตามเก็บขาอ่อน) พวกเราตลอดเส้นทาง และเป็นคนจัดหาที่พักให้เราอีกด้วย

พี่วัชหรือเสือเทา  เจ้าแห่งการท่องเที่ยวด้วยจักรยาน
เส้นทางถูกกำหนดโดยหัวหน้าต๋องและพี่วัช  แรกเริ่มเดิมที่พี่ต๋องอยากจะปั่นในพม่า ซึ่งพวกเราทุกคนก็อยากไป  แต่เมื่อการปั่นในพม่าเป็นไปได้ยาก เพราะต้องมีทหารติดตาม เราเลยต้องยกเลิกกันไป  หลายคนเสนอลาว เพราะเป็นเส้นทางที่น่าปั่นมาก ในที่สุดพี่ต๋องเลยยอมตามนั้น แผนการณ์ถูกกำหนดให้พวกเราต้องปั่นข้ามแดนที่จังหวัดน่าน เป็นด่านที่หลายคนไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ แล้วเราก็ต้องไปล่องเรือในแม่น้ำโขงต่อไปยังหลวงพระบาง  เส้นทางที่ได้รับข้อมูลมาคือทางดี ไม่มีหลุม ไม่มีบ่อ หลายคนออกจะสบายใจ เพราะระยะที่ให้มาก็ประมาณ 45กิโลในวันแรก
รถตู้พี่กิจที่พามาส่งถึงน่าน

การเดินทางของเราเริ่งตันที่Crew Center หลักสี่  พวกเราต้องจ้างรถขนจักรยาน1คัน โดยเป็นกระบะแบบมีหลังคาปิดมิดชิด แต่ข้อเสียคือ กระบะแบบนี้บังคับให้จักรยานทุกคันอยู่ในกรอบ จักรยานสิบกว่าคันเบียดเสียดยัดเยียดแบบไม่ใยดี  แต่ความเป็นจริงแล้วการpackจักรยานที่ดี ควรใช้เชือกที่มีความยืดหยุ่น เพื่อการให้ตัวเวลาจักรยานถูกโยนเหวี่ยงในรถ  รถตู้อีก2คันขนคน แต่ความโชคดีของ2หนุ่มที่มาขึ้นรถที่crew center จักรยาน3คันเลยถูกจับใส่รถตู้แทน วันนั้นพวกเรานั่งรถกันยาวตั้งแต่เช้าจดเย็น  ผ่านอยุธยา มุ่งหน้าไปนครสวรรค์ ผ่านพิษณุโลก แพร่ น่าน ตามลำดับ  พี่แอนจัดแจงหาร้านอาหารให้กินกันอร่อยๆ  ตอนแรก เราดูจากเวลา แล้วพบว่าน่าจะไปทันด่านปิดตอนเย็น  หากเป็นเช่นนั้น เราจะข้ามไปนอนลาวกันเลย  แต่เส้นทางจากน่านไปด่านห้วยโกร๋น  ไม่ได้ง่ายอย่างใจคิด  เส้นทางที่เป็นขุนเขา กับทางที่คดเคี้ยว  แล้วเราก็พลาดการข้ามด่านวันนั้นไป 

แต่หนิงกลับเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี  เราได้เห็นสิ่งที่มันไม่มีมานานในสังคมเมือง  ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่ง พวกเราคนรุ่นด้อยพัฒนาเคยได้รับการสั่งสอนให้ปฏิบัติอย่างนั้น

รถขนจักรยานที่ยังไม่เป็นงาน
เย็นนั้น เราเอารถลงตรงด่าน  ที่พักของเราคือโรงเรียนด่านห้วยโกร๋น  เป็นโรงเรียนชายแดนจริงๆ โรงเรียนเล็กๆที่มีครูแค่8คน กับนักเรียนแค่ 100กว่าคน  เหมาะเป็นโรงเรียนเศษฐกิจพอเพียง มีที่พักสำหรับแขกของโรงเรียนและเราจะไปพักกันที่นั้นในคืนนี้ พวกเรากินข้าวเย็นที่ด่าน ก่อนจะปั่นกันไปที่พัก  แล้วผลของการPackจักรยานผิดวิธีก็สำแดงเดช  รถพี่โม่เกิดโซ่ขาด  โดยไม่รู้ว่าอะไรทำให้ขาด พวกเราช่วยกันซ่อม โดยมีช่างใหญ่อย่างพี่วัช,พี่หมูและพี่โม่ช่วยกันสุดชีวิต  ไม่นานก็ซ่อมเสร็จ  การปั่นจักรยานท่องเที่ยว สิ่งหนึ่งที่เราควรจะทำให้เป็นคือการตัด ต่อ โซ่ หนิงลองทำก่อนมา พบว่าตัดนั้นง่ายมาก  แต่ต่อเนี้ยสิ ยากแสนยาก  เพราะถ้าตัดเกิน ก็ต่อไม่ได้  งานนี้เลยไม่ได้แสดงฝีมือ  ปล่อยช่างใหญ่ทำน่าจะดีกว่า

ค่ำนั้น เราปั่นไปที่พัก ท่ามกลางความมืดสนิท มีเพียงแสงไฟหน้ารถของแต่ละคนส่องนำทาง แสงจากรถใหญ่ของพี่ทองที่ขนสัมภาระ ส่องช่วยบ้างในบางครั้ง  เราไหลลงเนินเล็กๆ  ถึงจะมองไม่เห็นทาง  แต่ก็รู้สึกได้ว่าเรากำลังไหลลงแบบเบาๆ ในใจนั้นรู้สึกว่าแสนสบาย  แต่เมื่อมองถึงอนาคตในวันพรุ่งนี้ เราต้องปั่นขึ้นกันมางั้นเหรอ  หนิงไม่อยากจะคิด  ได้แต่สะบัดหัวให้ความคิดนั้นมันปลิวตกลงไปข้างทาง แต่ก่อนที่จะถึงที่พัก ความสบายก็หายไป เมื่อพบว่ายิ่งปั่นยิ่งหนืด เรากำลังปั่นขึ้นเนินชันๆ  หลายคนไม่ทันตั้งตัวก็ลงไปเข็นตามระเบียบ 

กว่าจะถึงที่พักได้ ก็เล่นซะพวกเราหอบตามๆกัน  เราเจอคุณครูที่คอยต้อนรับเรา และห้องพักที่สะอาดเตรียมรอเราอย่างเรียบร้อย  ตอนแรกหนิงนึกว่าจะต้องเอาโต๊ะนักเรียนมาวางต่อกันแล้วนอนซะอีก  คิดให้อนาถไว้ก่อน พอเจอของดีแล้วก็ยิ้มแฉ่ง

พวกเราแยกนอนหญิงชาย เหมือนเด็กประจำเลย  ก่อนนอนพี่ๆหลายคนจัดการเช็ครถจักรยาน  ก่อนที่พรุ่งนี้จะออกรบ  รถพี่โม่ดูจะเจอปัญหาหนัก  เพราะถูกจับหงายท้องมา นอกจากโซ่ขาดแล้ว สับจานหน้ายังบิดอีก  แถมตอนเช้าถึงเห็นว่าคอจักรยานร้าว แต่โชคดีว่าไม่ได้ถึงกับแตก พี่โม่เลยเอาสายเคเบิลรัดไม่ใช้มันแตกมากกว่านี้อีก

คืนแรกไม่ได้ยาวนาน  ไม่มีคนหน้าแปลกมานั่งหรือนอนข้างๆให้ใจหวั่นไหว  มีแต่เสียงกรน และละเมอเป็นช่วงๆ  ตุ๊กแกที่มันแอบหลบซ่อน ซ่อนตัวอย่างมิดชิด ไม่ยอมส่งเสียงร้องใดๆ  และแล้วราตรีก็ผ่านไป แสงอรุณส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา

อรุณแรกที่ห้วยโก๋น
พวกเราตื่นกันก่อนตะวันแยงก้น  เพราะโค้ชต๋องสั่งว่า 7โมงเช้า ต้องไปกินข้าวเช้าแล้ว  ใครจะรอช้าเล่าในเมื่อเมื่อคืนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเช้านี้อาหารยังไม่ถึงท้อง  ก็ต้องปั่นขึ้นเนินชันกันซะแล้ว สาวๆตื่นมาพร้อมกับเถียงกันว่าใครละเมอ หลังจากพี่เอ๋โยนมาว่าเป็นหนิงแน่ๆ แต่ที่สุดแล้ว หลายคนลงความเห็นว่าเป็นพี่หมี  ท่าทางพี่หมีจะตื่นเต้นมากกับทริปนี้เลยเก็บไปฝันซะเลย พวกเราใครเสร็จก่อนก็ทยอยกันออก  ดูเช้านี้อากาศเป็นใจไร้เมฆฝน  ก่อนจะมาพี่บี๋แจ้งให้ทราบทั่วกันว่าเราจะเจอพายุฝนฟ้าคะนอง  เป็นที่หวั่นใจพวกเรานัก แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แล้วจะเล่าให้ฟังต่อ
พี่หมีและพี่ก้อย 2สาวนักปั่น

หนิงออกมาพร้อมพี่ก้อย และพี่หมี  เราค่อยๆไหลลงไปก่อน  ระหว่างทางเราผ่านกลุ่มนักเรียนที่กำลังจะเข้าเรียนเช้านั้น  และสิ่งที่หนิงบอกว่ามันหายไปจากสังคมเมืองหลวงคือการทักทายด้วยการไหว้แต่เด็กๆที่นี้แสดงมันออกมาด้วยความนอบน้อม  เด็กๆสวัสดีพวกเราทุกคนด้วยการไหว้และทักทายว่าสวัสดีคะ  มันไม่ได้แปลกสำหรับพวกเรา  แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมเมืองหลวง  เราเป็นแค่คนแปลกหน้าปั่นจักรยานผ่านมา  แต่เด็กๆรับรู้ว่าเราคือแขกที่มาพักในโรงเรียนของพวกเขา การทักทายของเด็กๆไม่มีอาการเขอะเขิน มันเป็นภาพที่น่ารักและประทับใจมาก  ไม่ใช่ว่านานๆอยากจะเห็นที  แต่ภาพเล่านั้นอยากจะเห็นทุกวันเลยทีเดียว

ทานอาหารเช้าก่อนเจอโลกกว้าง
กำลังถอดตีนผีจักรยานพี่เอ๋
เมื่อคืน เราใช้ความรู้สึกในการปั่น แต่เช้านี้แสงนำทางให้เราเห็นเส้นทางอย่างแจ่มชัด สองข้างทางไม่มีบ้านเรือน มีแต่ต้นไม้ ไม่ใช่ป่าทึบ แต่ก็ไม่ใช่เรือกสวนไร่นา สายหมอกวิ่งผ่านช้าๆ อากาศเย็นชื้นๆปะทะหน้าเวลาจักรยานไหลลงเนิน แต่ยามเราออกแรงปั่นขึ้นเนิน เหงื่อไคลก็ไม่ได้ไหลย้อยออกมา ระยะทาง3-4กิโลที่เราปั่นชมความงาม ก็ช่วยให้สร้างแรงกระตุ้นให้เราหลายคน  แต่แล้วข่าวร้ายก็ตามมา  เป็นข่าวร้ายของพี่เอ๋  เมื่อพี่เอ๋พบว่า ตีนผีจักรยานของเธอ หักคาเท้า  เสียงวิพากษ์ต่างๆก็เกิดขึ้น  พี่เอ๋ปั่นยังไงให้ ตีนผีหัก  ข้อสรุปมีต่างๆนาๆ  แต่ที่น่าเป็นไปได้คือ การขนส่งอาจเกิดการกระแทกแล้วเกิดรอยร้าว  บวกกับแรงมหาศาลของพี่เอ๋ ที่กดเอาเต็มๆแรงขณะเปลี่ยนเกียร์ เลยพาลให้หักซะนี้  พี่เอ๋ทำท่าจะอดปั่นเป็นแน่  แต่หลายคนก็เสนอให้พี่เอ๋ปั่นแบบ single speed ซะแทน โดยการถอดตีนผีทิ้ง แล้วให้โซ่อยู่เฟืองหลังตัวใดตัวหนึ่ง โดยเลือกตัวที่น่าจะเหมาะกับเส้นทาง Rolling พี่เอ๋ดูจะอิดออด เพราะก็ไม่เคยลองปั่นแบบนั้น แต่พวกเราก็ให้กำลังใจว่าพี่เอ๋ทำได้แน่  ครั้งหนึ่งในการปั่นออกทัวร์แบบนี้ พี่พงษ์เคยประสบแบบเดียวกับพี่เอ๋  และพี่พงษ์ก็สามารถปั่นขึ้นเขาสูงชันที่เวียดนามด้วย Single Speedมาแล้ว  แต่จะว่าไปเพราะพี่พงษ์เป็นผู้ชาย ด้วยแรง และความรู้เรื่องจักรยานมีมากกว่าพี่เอ๋นัก หนนั้นพี่พงษ์จะเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้งก็ต้องลงมาใช้มือ manualทุกครั้งไป
ผ่านด่านไทยแล้ว

จอดรอหน้าที่ทำการ ตม.ของลาว
8โมงเช้า พวกเราได้ข้ามแดนจากฝั่งไทยเรียบร้อยดี แต่พวกเราก็ไปติดอยู่ฝั่งลาวนานเป็นชั่วโมง  กว่าจะหลุดมาได้ก็9โมงกว่า ตะวันเริ่มตั้งชัน ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ลาวไม่ปล่อยผ่านด้วยการมาเป็นกลุ่มต้องมีตำรวจท่องเที่ยวลาวติดตาม ไปด้วย  แต่พวกเราไม่มี จึงเสียเวลาเลี้ยงน้ำชาเจรจากับเจ้าหน้าที่นานหน่อย  ที่ชายแดน เราเห็นพี่น้องชาวไทยของเราข้ามฝั่งที่จุดผ่านแดนนี้เหมือนกันกับเรา ทุกคนล้วนเดินทางไปหลวงพระบางด้วยเส้นทางนี้เช่นกัน  การเดินทางไปหลวงพระบางทางน้ำเป็นที่นิยมมาก จนทำให้ชาวลาวเกิดอาชีพเดินเรือโดยสารแม่น้ำโขงมากมาย  มากจนแย่งงานกันทำ ทำให้เดือนๆหนึ่ง ออกทำงานกันได้น้อย เพราะต้องต่อคิวการเดินเรือ  มันคงไม่ต่างจากบ้านเราที่อาชีพไหนใครทำแล้วได้ดี  ก็แห่กันไปเรียน ไปทำแบบนั้น จนในที่สุด ก็กลายเป็นแย่งงานกัน  หากินลำบากเข้าไปอีก

แต่กว่าเราจะได้ไปขึ้นเรือก็เที่ยงไปแล้ว  พี่วัชกำหนดให้พวกเราไปถึงก่อนเที่ยง เพื่อจะลงเรือไปทานอาหารกลางวันในเรือ และจะได้ไม่ถึงหลวงพระบางค่ำนัก พวกเราดูจะสบายๆกันทั้งนั้น กับระยะแค่ 45กิโล กับเวลา 3ชั่วโมง 
ออกตัวจากด่านลาว
หลังจากผ่านด่านที่ลาว ชีวิตการเดินทางก็เริ่มขึ้นจริงๆ  พี่เอ๋โดนบังคับให้ปั่น Single Speed โดยมีแก็งค์3หนุ่มตามประกบ 

หนิงออกมาพร้อมพี่โม่  แน่นอนว่าการปั่นท่องเที่ยวแบบนี้ ควรหาคนที่ฝีเท้าไล่เลี่ยกันและปั่นไปด้วยกัน  หรือถ้าจะปั่นไปกับคนรัก  คนหนึ่งจะต้องหัดที่จะรออีกคน  หนิงเลือกที่จะปั่นกับคนรักและเดินทางไปพร้อมกัน เพื่อที่จะประสบพบเห็นในสิ่งเดียวกัน จะได้พูดคุยและแชร์ประสบการณ์ด้วยกัน  พี่ยอดออกตัวไปกับกัปตัน และแซงเราไป พี่หมี พี่หมูอยู่ข้างหน้า  พี่ไก่ปั่นไปไกลอยู่หน้าหนิง  เราปั่นกันไปเรื่อยๆ  บ้านเมืองทางลาวไม่ต่างไปจากทางไทย ฝั่งลาวที่เราข้ามมามีชื่อว่าเมืองเงิน  พี่วัชเล่าให้ฟังว่า เมื่อนานมากแล้วพี่วัชและเพื่อนเคยปั่นผ่านเมืองนี้  เจ้าเมืองแสนจะใจดี ถึงขั้นขับรถมากินข้าวด้วยถึงที่พัก  เพราะเมื่อก่อนเส้นทางนี้ไม่เป็นที่นิยมของนักเดินทาง  ผิดกับปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เจ้าเมืองเองก็คงไม่มีปัญญาไปกินข้าวกับนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะเยอะมาเหลือเกิน หนิงเห็นที่พักรายทางจะเยอะกว่าทางไทยมาก หลักกิโลบอกเราว่าเรากำลังมุ่งหน้าปากแบง เมืองท่าเรือที่พักสำหรับคนไปหลวงพระบาง การใช้ถนนที่ลาวต่างจากบ้านเรา  ลาวขับรถเลนขวา โชคดีว่าถนนรถไม่เยอะ เพราะกว่าแต่ละคนจะบอกตัวเองได้ว่า ขวานะ ขวานะ ก็ใช้เวลาปรับตัวกันหน่อย 

จากแผ่นที่ วันนี้เราต้องขึ้นเขา 3ลูก  ลูกแรกเป็นลูกที่ใหญ่มาก ตามมาด้วยลูกน้อยๆ 2ลูก  หนิงกับพี่โม่บอกว่า สบายมาก เพราะเราเคยเจอเขาใหญ่ที่เมืองจีนมาแล้ว  แค่นี้สบาย 
พี่ไก่กับเสือcannondale
เราสองคนปั่นแบบชิล ชิล มีเพลงฟังให้สบายอารมณ์  ตอนหนิงปั่นผ่านพี่ไก่  พี่ไก่ ยังงงๆกับการเปลี่ยนเกียร์อยู่เลย  เพราะนานมากแล้วที่พี่ไก่ปั่นจักรยาน  ครั้งสุดท้าย น่าจะมี5-6ปี  แต่พอปรับตัวในการเปลี่ยนเกียร์ได้  พี่ไก่ก็ต้องปรับตัวกับการขึ้นเนิน แล้วในที่สุด พี่ไก่ก็โบกรถ ขึ้นไปพร้อมพี่เอ๋  เพราะsingle speedทำให้พี่เอ๋ปั่นไม่ออกเลยทีเดียว  2คนนั้นเลยวางแผนว่า ขึ้นไปปล่อยตัวลงมาจากยอดเขาลูกแรกเห็นจะดีกว่า 

หนิงกับพี่โม่ได้แต่มองพวกพี่ที่ผ่านไป  เพราะอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น แล้วยางหนิงก็โดนเจาะ  มีการเปลี่ยนยางกันเล็กน้อย และได้รับความช่วยเหลือจากพี่วัช และแก็งค์สามทหารเสือ เมื่อเปลี่ยนเสร็จ หนุ่มๆ ก็ทิ้งเราไปเลย  เหลือแต่พี่วัชให้ดูต่างหน้า พี่วัชออกจะชอบที่ปั่นไปกับเราสองคน  เพราะมีเพลงฟังตลอดทาง  แต่ทุกโค้งที่หนิงเห็นพี่วัชนำไปนั้น  หนิงจะได้ยินพี่วัชร้องเสียงหลงออกมาทุกครั้ง  ในตอนแรกหนิงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องร้อง  แต่เมื่อหนิงเข้าโค้งไปอย่างช้าๆ เพราะขุนเขานั้นช่างชันนัก  หนิงก็เข้าใจความหมายได้ทันที  ก็แหม ทางโค้งลาดลงนิดหน่อย  เห็นตอนแรกเป็นใครก็คงดีใจ นึกว่าทางลง แต่พอเข้าโค้งแล้วพบว่าทางลาดลงนั้นมันหลอก ลาดนิดเดียว แล้วขึ้นอีก  แหมมันช่างชันจับใจอะไรอย่างนี้  หนิงต้องทั้งปลอบทั้งขู่ตัวเองและพี่โม่ไปพลางๆ  เพราะยิ่งปั่นก็ยิ่งไม่เห็นทางลงเขา ทำให้นึกถึงคำที่ว่า ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน  ตอนชั่วเนี้ย มันสาหัสซะจริง

เรา3คนปั่นไป ปั่นมา จนพี่วัชรอไม่ไหว เลื้อยเป็นงูหนีไปซะก่อน  กอ่นที่หนิงจะพบความสุข หนิงพบพี่ยอดกับพี่หมูยืนลับๆล่อๆอยู่ใต้ร่มเงาไม้  หนิงกับพี่โม่เลยขอหยุดด้วย เลยได้ความว่า พี่หมูเป็นตะคริว  อากาศตอนนั้นร้อนมาก  ร้อนกว่าเมืองจีนหลายเท่า แถมต้นไม้ข้างทางแทบจะไม่มี  หาได้สักต้นก็เก่งมากแล้ว  พี่หมูบอกให้เรา2คนไปก่อน  พี่ยอดอาสาอยู่เป็นเพื่อนพี่หมู  พอเราปั่นออกมาไม่นาน เราก็เห็นจักรยานจอดซุกอยู่ใต้หญ้าคาอีก 2คัน  หนิงกับพี่โม่ค่อยๆปั่นขึ้นไปดู  เห็นกัปตันโทนนั่งอยู่ในร่มของหญ้าคาที่ชูช่ออยู่ซัก10ใบ เห็นจะได้  ถัดไปด้านใน เห็นพี่หมีซุกตัวอยู่  เสียงกัปตันหัวเราะร่า บอกว่ามี swingingกันเกิดขึ้น  แถมต้องมาหลบแดดใต้หญ้าคา  ดูน่าสงสารอย่างไรไม่รู้ แต่กัปตันก็ช่างคิดนะ ใบหญ้าคาดูๆไปมันก็ให้ร่มจริงๆละ  เพียงแต่ต้องอยู่ให้ต่ำกว่ามันเท่านั้นเอง
ร่าเริงหลังจากได้น้ำเย็น

หนิงกับพี่โม่มองดูแล้วท่าทางจะหยุดพักด้วยไม่ได้ เลยไปกันต่อ  ยิ่งปั่นขึ้นเขา ก็ยิ่งร้อน  ยิ่งเหนื่อย  น้ำกระปุกเดียวที่เอามา ไม่ได้ทำให้ชื่นใจขึ้นเลย  energy barที่พกมาก็ต้องควักมากินแล้ว เกือบ11โมงแล้วในตอนนั้น  แต่ทำไมแดดมันแรงอย่างนี้
ด้วยความอนาถของเส้นทาง เราจะพักกินน้ำก็ต้องกินกันกลางแดด  กินเสร็จก็ต้องปั่นกันต่อ  จะยืนหลบแดดก็ไม่มีที่ เรา2คนปั่นกันไปจนถึงยอดของเขาลูกแรก  แล้วเราก็เจอขุมทรัพย์  น้าเยาว์และกิ๊ฟดักรอบนนั้น  มีน้ำเย็นน้ำแข็งรอเราอยู่  ถึงจะไม่ร่ม  แต่อย่างน้อยก็มีน้ำเย็น มันก็ช่วยเราได้มากทีเดียว  จูดนั้นเป็นจุดชมวิวถ่ายรูปที่สวยทีเดียว เราเห็นเส้นทางลงแล้วมีกำลังใจขึ้นมาก  พี่วัชรอเราอยู่ตรงนั้น  ชี้ชวนให้เราดูเขาอีก2ลูก  โอ๊ยสบายมาก  เล็กกว่านี้ตั้งเยอะ  เราเติมความเย็นกันเต็มที่ ก็ไหลตามพี่วัชลงไปไม่ช้า  อย่างที่เคยบอกหลายหนแล้วว่า เวลาลมปะทะหน้า มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ  แต่ดีเจ็ดหน มันช่างสั้นอะไรอย่างนี้  แล้วเราก็ต้องออกแรงกันอีกครั้ง  พี่วัชหนีเราไปไม่ไกล  ก็ต้องมาฟังเพลงด้วยกันอีก  เรา3คนเลื้อยเป็นงูอยู่กลางถนน  ดีที่ว่ารถน้อย  ไม่งั้นคงเลื้อยไม่ได้  การปั่นจักรยานเลื้อยๆ  ใครไม่ปั่นคงนึกไม่ออก  เวลาเราเจอเขาชัน  เราจะไม่ปั่นขึ้นตรงๆ เพราะจะทำให้เราใช้แรงมาก แต่ถ้าเราเลื้อยแบบงู จะทำให้เราออกแรงกดน้อยลง  แต่ระยะอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่นักปั่นเลือกแล้ว 

เราเลื้อยกันไปซักพัก  พี่วัชก็ทิ้งเรา2คนอีกครั้ง  หนิงกับพี่โม่เริ่มปั่นไปบ่นไป  ว่าทำไมมันไม่ถึงซักที พี่ทองขับรถย้อนกลับมาดู แล้วก็เลยเราไป ปล่อยให้เรา2คนปั่นท่ามกลางแสงแดดแผดเผา 

โดนเก็บกันทั่วหน้า
ในขณะที่หนิงกับพี่โม่ออกแรงปั่นขึ้นเขา  หนิงก็ได้ยินเสียงแตรรถดังมาข้างหลัง หนิงหันไปบอกพี่โม่ว่า “พี่ทองมารับแล้ว  เขามาเก็บเราแล้ว” พี่โม่ตอบทันควันเลยว่า “ไม่ เค้าไม่ขึ้น” นั่นไง เกิดอยากปั่นอะไรกันตอนนี้พ่อคู้ณ  แต่ไม่ทันได้ต่อรองกับพี่ทอง  เสียงหนุ่มใหญ่ก็ออกคำสั่งตามมาว่า “ขึ้น ขึ้น ขึ้น ..ขึ้นไปให้หมด”  แล้วเราก็พบว่าบนรถพี่ทอง มีพี่หมี พี่หมู น้าโทน และพี่ยอด นั่งกันเรียบร้อย เราขึ้นเป็นคู่ที่3 ทั้งที่ยังอยากปั่น  แต่เวลาไม่อำนวยเราแล้ว  ในตอนนั้นเอง เราได้ยินเสียงวอมาจากพี่วัชว่า “ เฮ้ยทอง ทอง  เดี๋ยวมารับด้วย  … ไม่มารับจะฆ่าให้”  พวกเราแอบขำกัน เพราะรู้แล้วว่าพี่วัชไม่ไหวแล้ว  แล้วพี่วัชก็ขึ้นรถตามเรามาติดๆ

รถออกตัวมาอีกไม่กี่เนิน  ริมทางข้างซ้าย มีหนุ่มใหญ่ กับสาวน้อยลงไปทำลึกลับกันข้างทาง  เสื้อแดงทั้งคู่ จะวางเพลิงหรือดักยิงใครกัน แต่เมื่อมองดูก็เป็นพี่ก้อยและพี่ไก่  จับมือกับหลบร่มใต้หญ้าคาอีกคู่ ใครจะเชื่อละว่ายามนี้ หญ้าคาช่างมีประโยชน์มากมาย
พี่ไก่ กับพี่ก้อยมอบตัวแต่โดยดีไม่มีอิดออด  จากนั้นไม่นานเราก็ได้ตัวเชลยอีกคู่นึง  พี่พงษ์กับพี่เอ๋ นี้ก็กำลังหลบแดดอยู่เหมือนกัน  พี่พงษ์แอบมาสารภาพว่า  คิดว่าระยะ45กิโลมันกระจอก  เลยไม่เติมเกลือแร่อะไรมาเลย  แถม 3ทหารเสือมีเงาะพกหลังมา 5ลูก แบ่งกันกินไปแล้ว  ช่างน่าอนาถอะไรอย่างนี้
รอขึ้นเรือ
และคู่สุดท้ายที่เราสอยมาได้ คือพี่แอนกับพี่ไกด์  พี่แอนนี้อย่างฮา  เธอส่งรถให้พี่วัชได้ เธอก็สะบัดก้นไปขึ้นรถน้าเยาว์เลย  อย่างไม่ใยดีในจักรยานของตัวเอง  ได้ยินทีหลังว่าตะคริวขึ้นจนหมดอารมณ์ปั่น  ส่วนผู้ที่รอดจากการโดนพี่ทองสอยก็มีออยและพี่บี๋  ตอนที่พวกเราไปเจอ  2คนกำลังปั่นกันอย่างดุเดือด  แต่ที่ไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง  เห็นจะเป็นพี่ต๋อง  เธอมานั่งรอที่ท่าเรือเรียบร้อย  โดยมีเด็กๆล้อมหน้า ล้อมหลัง และเราก็ถึงเรือกันจนได้

พาจักรยานลงเรือ
เรือที่มารับเป็นเรือใหญ่  พวกเราเคยขึ้นกันครั้งหนึ่งจากห้วยแก้วมาปากแบงเมื่อครั้งปั่นไป สิบสองปันนา  แต่คราวนี้พิเศษตรงที่มีอาหารกลางวันรอท่าอยู่  พวกเราที่หิวกันตาลาย  เจออาหารที่รอท่าอยู่มีเหรอที่จะทนไหว  น้ำพริกชาวลาวอร่อยจัดจ้าน แถมส้มตำที่หน้าตาแสนจะซีดเซียว  แต่รสชาติรุนแรง ก้าวร้าวได้ที่ทีเดียว 

การนั่งเรือ เป็นการพักผ่อนที่ดี พี่ๆหลายคนถือโอกาสชาร์ตแบต หนิงมีโอกาศได้คุยเรื่องต่างๆจากพี่วัช  และเรื่องที่น่าสนใจอย่างการปั่นไปพม่า และเรื่องราวต่างๆในปีที่ผ่านมา พี่วัชเล่าว่าการปั่นเฉลิมพระเกียริ์ตมีเงินเหลือจาการจัดเพื่อถวายในหลวงถึงแปดหมื่น บาท เป็นเรื่องที่เรายินดีกันมาก  เพราะพี่วัชเล่าว่า ช่วงที่ปั่นเมืองจีนใช้เงินเยอะมาก เพราะตัวหารน้อย  แต่เมื่อชาวการบินไทยไปแจม ตัวหารมากขึ้นทำให้รายจ่ายลดลง เงินจึงเหลือมากขึ้น 
พวกเราพักผ่อนหย่อนใจกันหลายรูปแบบ ถ่ายรูป นอนเล่น รวมไปถึงเล่นไพ่ด้วย  กองไพ่ดูจะสนุกกว่าใคร เพราะเสียงเฮมีได้ตลอด เสียงกิ๊ฟดูจะดังกว่าใครๆ  เพราะเธอคือผู้ที่วนเวียนกับการเป็นslaveอยู่ร่ำไป  แต่พอพี่เอ๋มาเล่น ยิ่งเฮหนักกว่าเก่า เพราะความโก๊ะของพี่เอ๋ ตอนแรกก็เล่นเป็น Kingดีๆ  เล่นไปเล่นมา พอหนิงเดินออกไม่ช่วยดู เท่านั้นแหละ  พี่เอ๋ก็กลายเป็น slaveทันที  เรียกเสียงฮาไปตรึมเพราะจากการคาดเดา  คาดว่าไพ่อาจจะดี  แต่พี่เอ๋ชอบเดินไพ่แบบ ลองดู ก็ไม่รู้ว่าจะลองอะไร  เลยเป็น slaveซะเลย
พี่ก้อยกับออยรอปั่นรอบเย็น
เส้นทางโปรดที่พี่เอ๋ชอบ  ทางลูกรัง
เรือล่องแม่น้ำโขงกว่าจะมาถึงท่าใกล้หลวงพระบางก็เกือบ6โมงเย็น เราต้องยกเลิกการไปถ้ำพระ ไม่เช่นนั้นจะปั่นถึงเมืองมืดค่ำ  เราเลยเริ่มปั่นกันอีกครั้งหลังจากพักกันมานาน ยกเว้นพี่บี๋ที่ถวายตัวอยู่เป็นเพื่อนภรรยารัก ร่องเรือขนสัมภาระที่เหลือเข้าเมืองหลวงพระบางให้พวกเรา เส้นทางช่วงแรก พี่เอ๋ถึงกับออกปากว่าชอบเลย เพราะเป็นทางลูกรัง rollingเล็กๆ  เห็นปั่นปลิวหายวับไปทันที  พี่ก้อยกับพี่ไก่ก็ใช่ย่อย ปั่นหาย ปั่นหาย  หนิงไล่จะไม่ทันเอา  ทั้งที่พี่ก้อยใช้ยาง 700cเส้นน้อย กลับไม่ได้กลัวหินลอย หรือลูกรังใดๆ  สมแล้วที่เป็นเสือเก่า เส้นทางเป็นทางเลาะแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ  ปั่นๆไป ก็แอบหันไปมองสายน้ำ ที่ไหลเชี่ยวสะท้อนกับแดดสุดท้ายของวัน กว่าจะถึงถนนใหญ่ แสงแดดก็เริ่มหมดพอดี 

เราต้องใช้ไฟจักรยานกันอีกครั้ง หนิงจับกลุ่มกับพี่โม่ พี่หมี พี่ยอด และน้าโทน เราผลัดกันนำเป็นช่วงๆ  โดยช่วงสุดท้าย ก่อนถึงเมืองรถราจอแจให้น่าหวาดเสียว แต่พี่หมีก็นำยาวไปจนเจอกลุ่มแรกที่รอเราอยู่อย่างปลอดภัย  เรารอจนครบคน พี่วัชก็นำปั่นเข้าเมือง เราแวะทานข้าวก่อน โดยมีพี่บี๋และกิ๊ฟตามมาแจม หลังอาหาร เราเข้าที่พักที่ดีใช้ได้เลย ชื่อ สาลาหลวงพระบาง ออยเป็นคนแนะนำ ห้องดี สะอาด และน่ารักดี คืนนั้นเราได้พัก หลังจากเสียแรงกันมามาก รวมๆแล้วเราปั่นกัน 60-70กิโล  ขึ้นอยู่กับช่วงแรกว่าใครปั่นได้มากแค่ไหน  คืนนั้นเป็นคืนแรกในลาว และเป็นคืนแรกที่หลวงพระบาง กับน้ำอุ่นและที่นอนแสนสบาย และเสียงกรนก็ดังขึ้นอีกครั้ง