วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ถนนสาย13... จากหลวงพระบางสู่เวียงจันทน์ตอนที่2 1ขีดที่หลวงพระบาง



-->            ถนนสาย 13…จากหลวงพระบางสู่เวียงจันทน์ตอนที่2   1ขีดที่หลวงพระบาง


หลังจากนอนหลับกันเป็นตายมา1คืน กับศึกแรกในการปั่นผ่านด่านน่านสู่หลวงพระบาง  พวกเราลงความเห็นกันว่าถนนช่วงจากด่านผ่านเมืองเงินมาที่ปากแบงมันช่างชันอะไรอย่างนี้  น่าจะเป็นการตัดถนนของช่างชาวไทย  และก็จริงอย่างคาดเมื่อพี่วัชยืนยันว่าถนนช่วงนั้น บริษัทชาติไทยรับสัมประทาน การตัดถนนจึงไม่คำนึงถึงองศาการทำถนน  ต่างจากถนนที่จีน หรือฝรั่งเศสตัดทิ้งไว้ในอดีต  องศาการชันไม่มาก เพราะใช้วิธิอ้อมเขาเอา ซึ่งทำให้การปั่นจักรยานราบรื่นกว่าถนนของชาวไทยมาก

แต่นอกจากถนนที่ชันสาหัสที่เราเจอมาวันแรก  พี่แอนเสนอว่าเราควรกลับมาปั่นเส้นเดิมกันอีกครั้ง  แต่คราวนี้ปั่นไปปลูกต้นไม้ข้างทางไป เพื่อว่าในอนาคต หากใครไปมาบนถนนเส้นนี้ จะได้มีที่หลบแดดมากกว่าจะไปหาหลบใต้หญ้าคากันอีก หรือเราควรปลูกหญ้าคาให้มันหนักกว่านี้ จะได้หลบอยู่ใต้ใบมากกว่า10ใบ

บ้านเรือนที่ถูกอนุรักษ์ไว้
ข้าวเหนียวและกล้วย ขนมสำหรับใส่บาตรยามเช้า
เช้านี้ พวกเราหลายคนตื่นแต่เช้าเพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียว หนิงจัดการสั่งจองข้าวเหนียวให้คนละกระติ๊บ แถมด้วยพี่ๆหลายคนจัดขนมลูกอมมาใส่บาตรให้เณรน้อยอีกด้วย  พูดถึงวัฒนธรรมในการตักบาตรของชาวลาวแล้ว มีความแตกต่างกับชาวไทยพอสมควร  คนที่นี้จะใส่แต่ปั้นข้าวเหนียวลงบาตรพระ  ไม่ใส่กับข้าวคาวหวานเหมือนคนไทย และไม่มีการให้พรเมื่อใส่บาตรเสร็จ  พระที่นี้จะเดินยาวเป็นแถว  มาจากหลายวัดในเมืองหลวงพระบาง หลังจากชาวบ้านใส่ข้าวเหนียวจนเสร็จ หากมีข้าวเหนียวเหลือจากการใส่บาตร ก็ปั้นเป็นก้อนๆวางบนกำแพงวัด เป็นทานกันสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้น ส่วนกับข้าว ชาวบ้านจะนำไปถวายพระที่วัดก่อนที่พระจะฉันมื้อเช้า การใส่บาตรที่นี้ต้องมีสไบห่ม เป็นประเพณีของแม่หญิงลาวที่สืบต่อมา  พวกเราแม่หญิงชาวไทย ได้รับแจกกันคนละผืนห่มแล้วก็ดูดีทีเดียว

หลังการใส่บาตรเสร็จ พวกเราก็ไปทานอาหารเช้าที่โรงแรม เขาจัดให้เรากินกันริมโขง แต่โดยปรกติ ทัวร์คนไทยนิยมไปทานอาหารเช้าที่ร้านประชานิยม ซึ่งไม่ห่างจากที่พักเราไปเท่าไหร่  ร้านนี้มีทั้งโจ๊ก เฝอ ขนมปังฝรั่งเศส ชา กาแฟ เป็นที่ถูกใจชาวไทยทั้งรสชาติ และความหลากหลายของอาหาร

สิ่งหนึ่งที่พวกเรามักไม่พลาดเมื่อข้ามฝั่งจากไทยมาเสมอคือ เฝอ ทั้งที่เฝอในสายตาของหนิงคือก๋วยเตี๋ยวน้ำใสแบบบ้านเราดีๆนี้เอง เพียงแต่ที่นี้จะใส่ผักลงไปเยอะ และผักที่หลวงพระบางอร่อยมาก ทั้งที่หน้าตาดูไม่สวยงาม  แต่ด้วยความที่ไม่ได้ใส่สารเคมีต่างๆ ความสดกรอบของผักมีอยู่มากมายขนาดเคี้ยวๆไปยังได้รู้สึกถึงความสดนั้นเลย
แต่อาหารจานโปรดที่ทุกครั้งหนิงมักจะสั่งเสมอคือข้าวซอย  แต่หนิงจะสั่งแบบแห้ง รสชาติเข้มข้น  ข้าวซอยลาวต่างกับข้าวซอยไทยอย่างสิ้นเชิง หนิงว่ามันคล้ายน้ำพริกอ่องผสมน้ำเงี้ยวอย่างไงบอกไม่ถูก  รสชาติที่เข้มข้น เมื่อใส่ผักลงไป คลุกให้ทั่ว มันจะอร่อยพอดีแบบไม่ต้องปรุง
สบายๆที่โรงแรม

ทั้งเฝอทั้งข้าวซอย เราได้มีโอกาสทานเป็นมื้อสายๆหลังจากออกจากวัดเชียงทอง เป็นร้านอร่อยที่คนท้องถิ่นนิยม และเป็นร้านที่ครั้งหนึ่ง หนิงได้บังเอิญมาทานเมื่อหลายปีก่อน  ตอนที่มาเยือนหลวงพระบางครั้งแรก ร้านนี้ชื่อร้านส้มจันทร์ อยู่ตรงข้ามวัดแสน  ร้านนี้เปิดมา30ปีแล้ว ถ้าเห็นหม้อที่ป้าเขาใช้ ก็จะรู้ว่าร้านเก่าแก่จริง ตอนแรกพวกเราจะกินกันตอนเที่ยง แต่พอเดินผ่าน เจ้าของร้านบอก 11โมงก็หมดแล้วจ้า  เป็นเหตุให้พวกเราตกลงกินกันเลย  และก็เป็นจริงอย่างป้าว่า พอ11โมงกว่า ป้าก็ขึ้นป้านว่าหมดแล้ว พูดถึงเฝอต่อ กินเฝอที่นี้ เครื่องปรุงมากมายกว่าบ้านเรา นอกจากเครื่องปรุงพื้นฐานแล้ว ยังมีกะปิอีกด้วย พี่โม่ลองละลายลงในเฝอ ก็ได้ความว่าอร่อยดีเหมือนกัน  แต่คงไม่ใส่กันเยอะเป็นแน่  ไม่งั้นรสคงเข้มเค็มพิลึก  ร้านนี้นอกจากอาหารอร่อย  น้ำผลไม้คั้นสดยังอร่อย  น้ำที่ว่าคือน้ำส้มเช้ง  อร่อยมาก เพราะคั้นทีละแก้ว  ไม่เหมือนบ้านเรา สั่งปุ๊บมาปั๊บ แบบผสมไว้แล้ว  บ้านเรากินน้ำผลไม้แล้วไม่สดชื่น ปรุงแต่งเยอะไปหน่อย  อันนี้สั่งน้ำส้มเช้ง  ต้องนั่งเตร็งเตร๊งไปอีกพักใหญ่  แต่พอดื่มไปอึกแรก  แหมมันชื่นใจซะนี้กระไร  เล่นเอาพวกเราสั่งกันคนละแก้ว เรียกว่าสั่งจนหมดร้านกันเลย  น้ำอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือน้ำมะนาว มันก็อีหรอบเดียวกันคือ ของมันสด ไม่ได้เจือปนปรุงแต่งแต่อย่างใด เรานั่งรอการมาของเธอ  พอมาถึงอึกแรกก็ชื่นใจ  เรียกว่าการกินที่หลวงพระบาง เป็นการกินที่อุดมไปด้วยรสชาติและคุณภาพมากมาย

พูดเรื่องกินมาพอหอมปากหอมคอ มาดูที่เที่ยวของหลวงพระบางดีกว่า  หนิงมีแผนการณ์มากมายที่จะพาพี่ๆเที่ยว  แต่ด้วยว่าหลวงพระบาง1ขีดคงไม่พอเป็นแน่ เลยเลือกเฉพาะที่สำคัญๆ  ที่พลาดไม่ได้แน่คือวัดที่มีความสำคัญมายาวนานต่อหลวงพระบาง
วัดหลวงเชียงทอง
วัดหลวงเชียงทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงไกลจากปากน้ำคานลงทางใต้ประมาณ 300 เมตร ถือเป็นวัดเก่าแก่และโดดเด่นที่สุดบนแผ่นดินลาว เป็นประตูเมืองหลวงพระบาง และเป็นท่าเทียบเรือของกษัตริย์ทุกยุคทุกสมัย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช มีฐานะเป็นวัดหลวง แต่ประชาชนสามารถเข้าไหว้พระในพระอารามได้ โดยไม่มีการปิดกั้นแยกเจ้าแยกราษฎร์ออกจากกัน ในวัดมีสถาปัตยกรรมแบบหลวงพระบางที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดหลายอย่าง เช่น อารามแบบสถาปัตยกรรมล้านช้างขนานแท้ หอไหว้ หอราชโกศพระเจ้าสีสะหว่างวงศ์ หอกลอง และองค์เจดีย์เป็นต้น



เมื่อปี พ.ศ. 2428 สมัยที่โจรฮ่อธงดำก่อกบฏบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง ทัพฮ่อนั้นนำโดย คำฮูมลูกเจ้าเมืองไล ได้ยึดเอาวัดเชียงทองเป็นที่ตั้งค่าย เนื่องจากว่าคำฮูมนั้นเคยบวชเป็นจัว (เณร) อยู่ที่วัดนี้ จึงรู้จักเส้นทางในเมือง และชัยภูมิของแถบบ้านเชียงทองเป็นอย่างดี พวกโจรฮ่อเผาทำลายเมืองหลวงพระบางทั้งหมด ยกเว้นที่วัดเชียงทองแห่งเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายในศึกครั้งนั้น ชาวลาวว่าเป็นเพราะคำฮูมรู้สำนึกบุญคุณวัดเชียงทองสมัยที่มาบวชเรียนอยู่จึง เว้นไม่เผา แต่บางคนก็ว่ากองทัพฮ่อใช้วัดเชียงทองเป็นที่ตั้งค่ายจึงไม่ได้เผาทิ้ง

โบสถ์หรือสิมวัดเชียงทอง
ที่สำคัญอีกอย่างของวัด คือโบสถ์ หรือสิมที่วัดหลวงเชียงทอง  วัดนี้ถูกยกย่องให้เป็นวัดที่สวยที่สุดในหลวงพระบางและเป็นศิลปะแบบหลวงพระบาง หลังคาแอ่นโค้ง ลดหลั่นกัน3ชั้น โบสถ์ที่นี้มีช่อฟ้าถึง 17ช่อ ซึ่งหมายถึงผู้สร้างเป็นกษัตริย์ เพราะคนธรรมดาสร้างวัดจะมีช่อฟ้าแค่เพียง 1-7ช่อเท่านั้น ตรงกลางช่อฟ้าจะมีช่องเหลียมๆเล็กๆ เชื่อกันว่ามีของมีค่าซุกซ่อนอยู่ในนั้น  ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่ มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงาม ที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน – มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ

เท่าที่หนิงเคยอ่านหนังสือเจอ สถาปัตยกรรมแบบนี้มีให้เห็นในภาคอีสานบ้านเรา  แต่ความงดงามสู้ไม่ได้กับที่วัดแห่งนี้เลย

พี่ไก่มาคู่พี่ก้อย
พ่อหมูมากับแม่หมี
นอกจากสิมแล้ว ยังมีวิหารน้อยอีก2หลัง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากสิมเท่าไหร
วิหารน้อย ด้านข้างและ ด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารสองหลังนี้ จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้น บ้าน บนพื้นสีชมพู ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจักแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474 และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507 ที่วิหารน้อยนี้เอง พี่หมู หนิง พี่ก้อย ได้ทำการเสี่ยงทายในการยกพระ  พี่หมูอธิษฐานแล้วยกก่อน ยกลอยท่วมหัวทีเดียว  หนิงเป็นคนต่อมา อธิษฐานเสร็จแล้วยก  ยกไม่ขึ้นคะ  ตอนแรกใจเสียเลย  เสียงพี่หมีบอกให้ยกอีกรอบ  คราวนี้คนรอบข้างเงียบกริบ  หนิงตั้งใจอีกรอบแล้วยก ถึงจะไม่ท่วมหัว  แต่ก็ลอยจากพื้นมาได้สักคืบ คราวนี้ตาพี่ก้อย  พี่ก้อยตั้งใจแนวแน่ ว่าแล้วก็ยก พระท่านเหมือนติดกาวไว้กับพื้นยังไงอย่างนั้น พี่ก้อยขออีกรอบ  แล้วก็เหมือนเดิม  เอาแล้วสิ พี่ก้อยขออะไรนะ  หนิงแอบถามพี่หมู พี่หมูบอกว่าขอให้ได้เกษียณอายุ60จากบริษัท  หนิงเลยถามว่าอีกกี่ปีพี่  พี่หมูว่าอีก6ปี  หนิงถึงกับเฮ  อย่างน้อยบริษัทน่าจะมีอายุยืนต่อไปอีก6ปี 555 ส่วนคำขอของหนิง  หนิงขอให้ทุกคนเดินทางโดยปลอดภัย   ตอนแรกที่ยกไม่ขึ้น ถึงกับใจเสีย  แต่ตอนยกขึ้นรอบสอง ในใจก็คิดว่า คงมีเหตุเล็กๆน้อยๆเป็นแน่  ส่วนพี่ก้อย หนิงแอบถามว่าขออะไร  พี่ก้อยหัวเราะเบาๆแล้วบอกว่า ขอเจอเนื้อคู่  แต่ถึงพี่ก้อยจะไม่ได้เจอชาตินี้ก็ตาม  พี่ก้อยก็บอกหนิงภายหลังว่า ชาติหน้าอาจได้เจอ  เพราะที่อธิษฐานนั้น ขอแค่ชาตินี้เท่านั้น  นี้แหละคือแรงผลักดันที่ทำให้พี่ก้อยไม่เคยท้อถอยท้อแท้้เลยสักครั้ง555

ลวดลายวิจิตรบรรจงที่บานประตูสิมวัดเชียงทอง
 ส่วนวิหารอีกหลังที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถคือ วิหารพระม่าน ผนังวิหารด้านนอกมีลักษณะคล้ายกับวิหารองค์แรก ภายในวิหารนี้ประดิษฐาน พระม่าน ในช่วงวันขึ้นปีใหม่จะมีการอันเชิญมาให้ประชาชนสรงน้ำและกราบไหว้เป็นประจำ ทุกปี ผนังด้านหลังวิหารทาด้วยสีชมพูประดับด้วยกระจกสีแสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คน สร้างขึ้นใน พ.ศ.2493 เพื่อเฉลิมฉลองที่โลกก้าวสู่ยุคกึ่งพระพุทธกาล
ด้านหลังของวิหารพระม่านจะเป็นพระธาตุศรีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นโขงเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งหอกลองมีลวดลายลงรักปิดทองสวยงาม

คู่หลังหรือคู่หน้า  คู่ไหนหวานกว่ากัน
นอกจากนี้ยังมีโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกได้เพื่อให้สามารถ เคลื่อนราชรถออกมาได้
กลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศสามองค์ตรงกลางเป็นองค์ใหญ่ของเจ้าสว่างศรีวัฒนา ด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเก็บราชรถนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และใช้ช่างชาวหลวงพระบางชื่อ เพียตัน นับว่าเป็นช่างฝีมือดีประจำพระองค์ มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก 

ตรงโรงเก็บนี้ดูเหมือนพวกเราจะชื่นชอบกันเป็นพิเศษ เพราะว่าอากาศที่ถ่ายเท ทำให้เย็นสบายกว่าไปยืนตากแดดเป็นไหนๆ

พามาดูวัดเชียงทองกันจนทั่วแล้ว ก็อดที่จะเล่าให้ฟังไม่ได้ว่า เดิมทีชื่อนครเชียงทองก็คือชื่อเดิมของหลวงพระบาง  แต่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการอัญเชิญพระบางเพื่อมาประดิษฐานที่เมืองนี้  แต่ด้วยมีเหตุเกิดระหว่างอัญเชิญพระบาง  ทำให้พระบางต้องประดิษฐานที่เมืองเวียงคำแทน ต่อมาจึงสามารถอัญเชิญมายังนครเชียงทองได้ในภายหลัง ทำให้นครเชียงทองถูกเรียกว่าหลวงพระบางนับแต่นั้นมา

กับเสาที่บอกว่าเป็นมรดกโลกจาก Unesco
ภาคบ่ายหลังจากทุกคนกลับจากวัดและอิ่มท้องพอประมาณ บางคนก็หลับพักผ่อนยามบ่าย  บางคนก็ออกไปปั่นจักรยานเล่น หนิงกับพี่โม่ปั่นจักรยานเล่นรอบเมือง และที่เห็นว่าเมืองนี้สมควรเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆเพราะว่าถึงเขาจะมีการก่อสร้างใหม่  แต่ก็ไม่ได้ทำให้รูปแบบของเมืองเก่าเสียหายไป  เพราะแบบที่สร้างไม่แปลกแตกต่างจากของเดิม ส่วนเมืองใหม่ที่ขยายออกก็อยู่รอบนอก เป็นที่น่าสังเกตุว่า หลวงพระบางหรือลาวได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสอย่างมากมาย  โดยจะเห็นว่าป้ายๆต่างๆที่เป็นของราชการ จะถูกกำกับด้วยภาษาฝรั่งเศสเกือบทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นป้ายโรงเรียน หรือพิพิธภัณฑ์ เขาว่ากันว่า คนลาวรุ่นเก่า สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดีทีเดียว แต่ก็น่าสนใจที่ในความเป็นเมืองขึ้น เขากลับยังรักษาประเพณีต่างๆไว้ ไม่ว่าการแต่งกาย หรือความเป็นอยู่ ได้ดีมากเสียกว่าคนไทย ที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร แต่แทบจะหาประเพณีและวัฒนธรรมไทยแท้ไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมืองใหญ่

มันทำให้หนิงคิดถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกประเทศที่หนิงชื่นชมมากกับการรักษาวัฒนธรรมของ เขาไว้อย่างดี นั้นคือพม่า ที่พม่า ผู้ชายและผู้หญิงประมาณ80%ยังแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำประเทศ  มันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนภายนอกอยากเข้าไปดูใกล้ๆ

โรงเรียนประถมที่หน้าโรงเรียนเขียนบอกด้วยภาษาฝรั่งเศส
ตอนหนิงเด็กๆ ยังจำได้ว่าเห็นคุณยายบางคนนุ่งโจงกระเบนด้วยซ้ำ  น่ารักดี แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า เข้าห้องน้ำห้องท่าคงจะลำบากน่าดู แต่ตอนนี้จะเห็นคนเดินนุ่งซิ่นออกนอกบ้านก็ไม่มีให้เห็นแล้ว จะเห็นมากหน่อยก็คงการแต่งผ้าใหม่ในวันศุกร์ ในส่วนของราชการ เรื่องแต่งกายประจำชาติ  ครั้งหนึ่งบ้านเราฮิตการนุ่งซิ่นไหมของเก่ากันมาก แถมคาดเข็มขัดเงินของแท้เสียอีก  หนึ่งในนั้นมีแม่ของหนิงฮิตไปกับเขาด้วย  ทุกวันนี้ ผ้าซิ่นลายสวยๆของแม่ยังถูกเก็บไว้อย่างดี แต่ถ้าจะให้ดี น่ากลับเอามาใส่อีกคงจะดีไม่เบา

กลับมาเที่ยวหลวงพระบางกันต่อ  หลังจากหนิงกับพี่โม่สำรวจเมืองเสร็จ ไม่นานก็ได้เวลาที่พวกเราจะไปเที่ยวน้ำตกกัน บางคนไม่ได้ตามเรามา อย่างกิ๊ฟกับพี่บี๋ คู่สามีภรรยาคู่นี้เลยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน2คน
น้ำตกที่ว่าชื่อน้ำตก กวงสี หรือกวางสี แล้วแต่จะออกเสียง กวงก็หมายถึงกวางนั้นเอง  เขาว่ากันว่าที่นี้เคยมีกวางอาศัยอยู่มากมาย  หนิงเสนอให้มาน้ำตก เพราะหนิงจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่มาที่นี้น้ำตกสีสวยมาก ใส สะอาด
เราเลือกที่จะนั่งรถไป เพราะได้ยินว่าไป กลับก็60กิโล  เราเลยขอให้วันขีดของเราเป็นวันสบายๆ  ที่น้ำตกเราต้องเสียค่าเข้าคนละ80 บาท หนิงได้ยินพี่ไก่บ่นว่าจ่ายค่าเข้าแล้วต้องเที่ยวให้คุ้ม

น้ำตกกวงสี
ว่าแล้วพี่ไก่ก็เดินตัวปลิวนำลิ่วขึ้นไปเลย  เราใช้ทางลัดเพื่อที่จะขึ้นให้ถึงหน้าผาที่น้ำตกตกลงมา  กระแสน้ำแรง เพราะน้ำเยอะ ละอองน้ำฟุ้งไปหมด  พี่ไก่เดินข้ามสะพานนำลิ่วหายไปในป่า พวกเราเลยต้องเดินตาม และเมื่อรู้ตัวก็พบว่าเรากำลังปีนป่าย ไต่ขึ้นไปยังบริเวณต้นน้ำ ทางขึ้นดูไม่ยาก  แต่ขาลงน่ากลัวจะลำบาก มีนักท่องเที่ยวสวนเราลงไปหลายคน กว่าเราจะขึ้นถึง  พี่โม่ก็บ่นว่าขึ้นมาทำไมกัน  ก็นั้นสิขึ้นมาทำไม  ด้วยความที่น้ำเยอะ  เหมือนน้ำนองกระจายเต็มพื้นที่ชั้นบน เมื่อเดินเข้าไปหน่อย ก็จะพบแอ่งน้ำ  น้ำเย็นจับใจมาก  พี่ไก่ไม่พูดมาก หาที่วางของได้ ก็ลงไปลอยขอในแอ่งน้ำเลย  ตามไปติดๆก็พี่หมู พี่แอน น้าโทน และพี่หมี  สุดท้ายพี่ก้อยทนไม่ได้  ไปลอยคออยู่อีกคน  ส่วนที่เหลือ ขอยืนเอาเท้าแช่น้ำแทน รอจนพวกพี่ๆเล่นกันจนหน่ำใจ แถมมาบอกว่าจัดการปล่อยน้ำเสียทิ้งลงไปด้วย  ประมาณว่าเอาให้คุ้ม แล้วก็ขึ้นจากน้ำ  ขาลงอย่างที่บอก ดูจะลำบากมา  แต่ออยกลับลงไปอย่างว่องไว  ประมาณว่าเห็นฝรั่งตามหลังมา แล้วกลัวจะถูกแซงเลยรีบพรวดพลาดลงไปก่อน

หลังจากปีนลงมาอย่างปลอดภัยกันทุกคน  เราถึงได้รู้กันว่า เราไม่จำเป็นต้องปีนไปถึงขนาดนั้นเลย เพราะมีที่เล่นน้ำข้างล่างให้เราเล่นได้แสนจะสบาย  นักท่องเที่ยวฝรั่งมากันพอสมควร  ดูเขาช่างจะชอบกับการกระโดดน้ำเล่นมาก 

น้ำตกที่นี้มีการจัดการที่ดีกว่าบ้านเรามาก ทั้งเก้าอี้นั่ง ถังขยะ จุดเล่นน้ำ  เรียกว่าคิดก่อนทำทีเดียว ไม่มีร้านอาหารมาขายเกะกะ  แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกขี้เมาที่ถือขวดเบียร์แล้วหาที่ทิ้งไม่ได้ หรือไม่มีความรับผิดชอบกับสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่เขาทำถังขยะให้เห็นเด่นชัด  สรุปง่ายๆว่า หนิงว่าน้ำตกเขาดีกว่าบ้านเรา

หลังจากสรุปอะไรง่ายๆแล้ว หนิงก็พาลคิดไปว่าเวลาเราดูถูกคนอื่นแล้วไปว่าเขาไอ้ลาวเห็นจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง  หนิงว่าน่าจะว่าเขาว่าไอ้ไทยดูจะเหมาะมากกว่า  เพราะหลายอย่างเท่าที่เห็น เขาทำได้ดีกว่าเราด้วยซ้ำ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยควรหันมามองตัวเองได้แล้ว

หลังจากกลับจากน้ำตก ตอนแรกว่าจะพาพี่ๆไปดูวิวพระอาทิตย์ตกที่ดอยพูสี  แต่พี่หลายคนตัวเปียกปอน เกรงจะป่วยได้ เลยบอกให้พี่ทองพากลับโรงแรมดีกว่า พูดถึงดอยพูสี เป็นดอยน้อยๆ เดินขึ้นไปได้ สูงไม่กี่ร้อยเมตร แต่จะเห็นวิวแม่น้ำโขง และจะเห็นพระอาทิตย์ตกสวยงามได้ บนนั้นนอกจากเป็นจุดชมวิวแล้ว ก็ยังมีพระธาตุจอมสีตั้งอยู่  จนพอเรียกกันไปเรียกกันมา เลยกลายเป็นพระธาตุพูสีไปซะงั้น

ความที่ยอดดอยไม่ได้สูงมากนัก  มีช่างถ่ายภาพหลายคน วิ่งขึ้นวิ่งลงเพื่อเก็บภาพมุมสูงของหลวงพระบาง โดยพี่ๆเขาใช้เวลาวิ่งขึ้นวิ่งลงในแต่ละครั้ง ครั้งละ5นาที  จะว่าไปแล้ว  น่าให้พี่ต๋องมาซ้อมวิ่งขึ้นลงตอนเช้า  น่าจะเหมาะมากสำหรับพี่ต๋อง

เย็นคล้อยมาเรื่อยๆ หนิงเลยพาสาวๆไปนั่งร้าน Joma ร้านของคนไทยที่ไปเปิดที่นั้น ก่อนที่จะไปทานอาหารเย็นกัน  เป็นที่น่าเสียดายอย่าง ที่ทริปนี้เราไม่ได้กินแจ่วบอง อาหารพื้นบ้านเมืองลาวอาหารอีกอย่างที่แนะนำ  แจ่วบองเป็นน้ำพริกของลาว มีส่วนผสมของพริกลาว ข่า สมุนไพร และบางตำรับใส่หนังควายเข้าไปด้วย จิ้มกับผักหรือข้าวเหนียว หรือบางทีก็จิ้มกับไคแผ่น หรือสาหร่ายน้ำจืดอาหารท้องถิ่นอีกเช่นกัน

พอใกล้เวลาอาหาร หนิงก็พาลอดนึกถึงอาหารที่อยากกินไม่ได้  แล้วเย็นนั้นหนิงก็พลาดจากแจ่วบอง ต้องมากินข้าวซอยแห้งอีกรอบ คราวนี้เรามีแคปหมูจากเมืองเหนือลงไปคลุกด้วย อร่อยหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า ในเวลานั้น โกจ้วงหรือพี่แอนโทนี่ ก็เดิมเอาตะเกียบมาคีบข้าวสอยของหนิงไปชิม พี่แกเล่นเดินชิมไปหมดของทุกคน  สุดท้ายก็ไปตกลงที่ก๋วยเดี๋ยวเป็ด  แล้วจะมาชิมของคนอื่นเขาทำไมแต่แรก สั่งก๋วยเตี๋ยวของตัวเองซะก็หมดเรื่อง

หลังอาหารพวกเราได้มาเดินย่อยกันที่ถนนคนเดินของหลวงพระบาง  ที่นี้ไม่ต่างจากปาย หรือเชียงใหม่เลย ไม่ว่าสินค้า หรือบรรยากาศ จะมีของพื้นบ้านอย่างยาดอง หรือผ้าทอที่แตกต่างไปบ้าง เราเดินย่อยพร้อมซื้อของติดไม้ติดมือก่อนที่จะกลับไปนอนพักผ่อน  เพราะวันรุ่งขึ้น จะเป็นศึกใหญ่ที่เราต้องไปให้ถึงให้ได้…กิ่วกะจำ

นางฟ้า

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ถนนสาย13...จากหลวงพระบาง สู่เวียงจันทน์

-->
ถนนสาย 13… จากหลวงพระบาง สู่เวียงจันทน์

ตอนที่ 1  ผ่านแดนจากไทยสู่ลาว..


กลับมาอีกครั้งกับการเดินทางด้วย2ล้อในต่างแดน  ครั้งนี้ไปกับกลุ่มเดิมคือกลุ่มการบินไทย แต่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย หลังจากที่ถูกล่อหลอกจากภาพถ่ายและเรื่องราว  หลายคนก็อยากมาสัมผัสกับเส้นทางหฤโหดที่โค้ชต๋องสรรหามาให้  แต่คราวนี้ โหดทั้งทาง และอากาศที่ร้อนแสนร้อน 

โค้ชต๋องจอมโหด
ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวละครที่ร่วมเดินทางกับเราครั้งนี้เลย  คนแรกโค้ชต๋อง คนที่น้องๆฝากผีฝากไข้ว่าจะพาไปทรมานกันแบบถึงไหนถึงกัน อาซีพหลักคือIn Flight Manager ของการบินไทย อาชีพรองคือนักกีฬาที่เล่นกีฬาเป็นบ้าเป็นหลังโดยเฉพาะ ไตรกีฬา   ต่อมาคือพี่หมู พี่หมี คู่สามีภรรยาที่น่ารัก หนที่แล้วพี่หมีเป็นแค่ผู้ติดตาม หนนี้เจ๊ขอปั่นตาม ด้วยเหตุผลว่านั่งรถต่อไปไม่ไหวแล้ว มันน่าเบื่อ และอันที่จริง พี่หมีได้ประลองฝีมือไปหลายทริปแล้ว และนี้คือการเปิดตัวนักปั่นหญิงพี่หมีอย่างเป็นทางการในบันทึก2ล้อในตอนนี้  ส่วนพี่หมู IM เหมือนพี่ต๋อง นักไตรกีฬาที่พยายามมานานที่จะให้ภรรยาที่รักมาปั่นจักรยานด้วยกัน  และในที่สุด  พี่หมีก็มาปั่นจนได้  ได้ยินว่าพี่หมูกำลังจัดหารถทัวร์ริ่งสวยๆสักคันให้พี่หมี เมื่อเวลาเดินทางออกทริปแบบ Full Option จะได้ไปแบบสบายหายห่่วง 

หนิง พี่แอนโทนี่และพี่โม่
พี่แอนโทนี่ หรือพี่แอน โกแอน โกจ้วง ชิมจัง และอีกสารพัดชื่อ พี่แอนเป็น IM เพื่อนพี่ต๋องที่ขี่จักรยานมาด้วยกันนานแสนนาน เคยแข่งไตรกีฬามาแล้ว และเราเคยไปทริปด้วยกันมาหลายครั้ง นับตั้งแต่เมื่อ10ปีที่แล้ว  ช่วงหลังพี่แอนหายไปพักใหญ่ เพราะติดภาระกิจเลี้ยงลูกน้อย(ลูกสาวสวย พ่อหวง) บัดนี้ลูกเริ่มเติบใหญ(พ่อยิ่งต้องหวง) พี่แอนเลยกลับมาปั่นด้วยกันอีกครั้ง  เมื่อหลายปีก่อนพี่แอนก็ปั่นไปสิบสองปันนาด้วยกัน  และยังมีทริปเฉลิมพระเกีตริ์ตอีก พี่แอนถือเป็นสีสันของกลุ่มทีเดียว ไม่ว่าลีลาการปั่น หรือการอำคนอื่น เรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งวัน
พี่ไก่ Air Purserคู่ซี้พี่แอน พี่ไก่เป็นหนึ่งในสิงห์นักปั่นที่กลับมาปั่นอีกครั้ง หลังจากหายไปนานหลายปีทีเดียว ถึงแม้ว่าพี่ไก่จะตัวใหญ่ไปหน่อย  แต่ลีลาการปั่นไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเท่าไหร่  จะมีถอยบ้างก็ตามอายุอานาม ที่กล่าวแนะนำมาข้างต้นเป็นเสือรุ่นใหญ่  ลงมาดูเสือรุ่นกลางกันบ้าง  หน้าเดิมๆ สจ๊วตหนุ่มการบินไทย ก็มีพี่พงษ์ พี่ไกด์  พี่บี๋ คราวนี้พี่บี๋พาศรีภรรยามาแค่ 3-4วัน เพราะช่วงหลังจากหลวงพระบางเราจะปั่นกันทั้งวัน  เกรงว่ากิ๊ฟจะเบื่อซะก่อน แต่คราวนี้พี่ไกด์ไม่ได้พาพี่แคทมา เพราะลูกโตแล้วต้องเรียนหนังสือ เลยฉายเดี่ยวให้เหงาใจ ส่วนกิ๊ฟจะไปกระโดดกอดพี่ไกด์เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสามีตน หนนี้ก็ไม่มีแล้ว เป็นอันว่าพี่แคทสบายใจได้ ส่วนพี่พงษ์ก็ฟิตเหมือนเดิม  เมื่อปีก่อนเจอน้ำท่วม แต่ก็ไม่ทำให้พี่พงษ์เลิกปั่นจักรยานไปได้  เห็นว่าเอาจักรยานหนีน้ำก่อนสิ่งอื่นใดในบ้าน 3คนนี้จัดเป็น3ทหารเสือ ไปไหนไปกันตลอดทริปทีเดียว

ถัดมาถึงเสือสาว  พี่เอ๋ พี่ก้อย และออย  ออยไม่ต้องห่วง เพราะเป็นศิษย์มีครู(ต๋อง) ถึงบางครั้งศิษย์คิดจะล้างครู  แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ  ไม่งั้นพี่ต๋องคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่ ส่วนพี่ก้อยเคยออกทริปปั่นไปสิบสองปันนาด้วยกัน และเมื่อปีก่อนยังร่วมทริปเฉลิมพระเกียริ์ตด้วยกันอีกในช่วงปั่นจากปีนัง สู่ตรัง ซึ่งพี่ก้อยสามารถปั่นได้สบาย  ส่วนพี่เอ๋ สิงห์เก่าแบบเดียวกับพี่ไก่  สมัยก่อนเธอจัดว่าเป็นนักปั่นหญิงแนวหน้าของทีมลูกเรือการบินไทยทีเดียว ถึงแม้จะล้างจากวงการปั่นไปนาน  แต่ด้วยความที่พี่เอ๋คือนักวิ่งแนวหน้วของบริษัท แรงพี่เอ๋จึงมีมากมาย

กัปตันโทนและพี่ยอด
อีกคู่ที่มาร่วมทางกับเราเป็นครั้งแรกคือกัปตันโทนหรือน้าโทนและพี่ยอด  มันเริ่มมาจากพี่ยอดมาร่วมแข่งทวิกีฬากับพวกเรา และพี่ยอดเองเป็นนักวิ่งรัฐวิสาหกิจของบริษัทด้วย เป็นแอร์รุ่นพี่ จะว่าไปคราวนี้พี่ยอดถือว่าเป็นแอร์ซีเนียร์สุดในกลุ่มสาวๆ พี่ยอดได้รับการชักชวนจากพี่ต๋อง จนทำให้พี่ยอดไปถอย Trek 520 เอามาเป็นพาหนะคู่กาย  ในขณะที่คนข้างกายพี่ยอดจะไม่ยอมเปลี่ยนรถ จะใช้ Mongooseท่าเดียวซึ่งหนักมาก  ดีแต่ว่าหนิงพอจะนึกได้ว่า เฟรมตัวหนึ่งที่ทำให้การปั่นของกัปตันน่าจะสะดวกสบายขึ้น หนิงเลยจัด Long Hual Trucker Disk ให้ก่อนมาลาวไม่กี่อาทิตย์ และเป็นที่ถูกอกถูกใจกัปตันมาก นอกจากจัดรถให้แล้ว เลยต้องเป็นพี่เลี้ยง พาออกทริปให้รู้จักจักรยานกันมากขึ้น อย่างน้อยให้รู้ว่าขึ้นเขาใช้เฟืองยังไง ใช้แรงแบบไหน โชคดีที่ว่าทั้งกัปตันและพี่ยอดเป็นนักกีฬาทั้งคู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หนิงเลยค่อยเบาใจไปเยอะ

ส่วน 2คนสุดท้ายในทีม ก็คือพี่โม่กับหนิง พี่โม่หลายคนอาจรู้จักจากทัวร์เป็ดน้อยกับพ่อห่าน แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จัก ข้อแนะนำเลยว่าเป็นคนข้างกายหนิงที่รักชอบและหลงรักจักรยานvintageมาก หลังจากหลงรักจักรยานเก่ามานาน เมื่อเจอหนิง  หนิงเลยพาให้ปั่นไกลมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้แก็งค์ vintageของพี่โม่ ปั่นไปไกลและเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ คราวก่อนตอนเที่ยวจีนพี่โม่ไม่ได้ไป  แต่ทริปเฉลิมพระเกียริ์ตพี่โม่ไปแจมด้วยช่วงเมืองจีน ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดี สร้างความแข็งแรงมากขึ้น  ปีนี้พี่โม่เลยติดใจ ยอมลางานสอนมาปั่นด้วยอีก และคนสุดท้ายในก๊วนนี้คือหนิงข้าพเจ้าเอง ผู้หลงใหลจักรยานเป็นนักหนา ให้ปั่นไปไหนก็ได้ ทางราบ ทางเขา ชันมากก็เข็น ลงเขาก็ไหลลงอ้าปากรับลมกันไป ปล่อยและรับสิ่งรอบกายที่เข้ามาผ่านไปอย่างเป็นจังหวะ

ในกลุ่มเรามีพี่วัชหรือเสือเทาเจ้าเก่าเป็นคนนำทาง  ปีที่แล้วพี่วัชเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดการปั่นเฉลิมพระเกียริ์ตที่พวกเราชาวการบินไทยไป ร่วมแจมอยู่2รอบ นอกจากพี่วัชที่ขาดไม่ได้เลยคือพี่พเยาว์หรือน้าเยาว์ ผู้ชำนาญทางในลาวมาก และพี่ทอง มือขวาของพี่เยาว์  พี่เยาว์และพี่ทอง มีหน้าที่ขับรถตาม (ตามเก็บขาอ่อน) พวกเราตลอดเส้นทาง และเป็นคนจัดหาที่พักให้เราอีกด้วย

พี่วัชหรือเสือเทา  เจ้าแห่งการท่องเที่ยวด้วยจักรยาน
เส้นทางถูกกำหนดโดยหัวหน้าต๋องและพี่วัช  แรกเริ่มเดิมที่พี่ต๋องอยากจะปั่นในพม่า ซึ่งพวกเราทุกคนก็อยากไป  แต่เมื่อการปั่นในพม่าเป็นไปได้ยาก เพราะต้องมีทหารติดตาม เราเลยต้องยกเลิกกันไป  หลายคนเสนอลาว เพราะเป็นเส้นทางที่น่าปั่นมาก ในที่สุดพี่ต๋องเลยยอมตามนั้น แผนการณ์ถูกกำหนดให้พวกเราต้องปั่นข้ามแดนที่จังหวัดน่าน เป็นด่านที่หลายคนไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ แล้วเราก็ต้องไปล่องเรือในแม่น้ำโขงต่อไปยังหลวงพระบาง  เส้นทางที่ได้รับข้อมูลมาคือทางดี ไม่มีหลุม ไม่มีบ่อ หลายคนออกจะสบายใจ เพราะระยะที่ให้มาก็ประมาณ 45กิโลในวันแรก
รถตู้พี่กิจที่พามาส่งถึงน่าน

การเดินทางของเราเริ่งตันที่Crew Center หลักสี่  พวกเราต้องจ้างรถขนจักรยาน1คัน โดยเป็นกระบะแบบมีหลังคาปิดมิดชิด แต่ข้อเสียคือ กระบะแบบนี้บังคับให้จักรยานทุกคันอยู่ในกรอบ จักรยานสิบกว่าคันเบียดเสียดยัดเยียดแบบไม่ใยดี  แต่ความเป็นจริงแล้วการpackจักรยานที่ดี ควรใช้เชือกที่มีความยืดหยุ่น เพื่อการให้ตัวเวลาจักรยานถูกโยนเหวี่ยงในรถ  รถตู้อีก2คันขนคน แต่ความโชคดีของ2หนุ่มที่มาขึ้นรถที่crew center จักรยาน3คันเลยถูกจับใส่รถตู้แทน วันนั้นพวกเรานั่งรถกันยาวตั้งแต่เช้าจดเย็น  ผ่านอยุธยา มุ่งหน้าไปนครสวรรค์ ผ่านพิษณุโลก แพร่ น่าน ตามลำดับ  พี่แอนจัดแจงหาร้านอาหารให้กินกันอร่อยๆ  ตอนแรก เราดูจากเวลา แล้วพบว่าน่าจะไปทันด่านปิดตอนเย็น  หากเป็นเช่นนั้น เราจะข้ามไปนอนลาวกันเลย  แต่เส้นทางจากน่านไปด่านห้วยโกร๋น  ไม่ได้ง่ายอย่างใจคิด  เส้นทางที่เป็นขุนเขา กับทางที่คดเคี้ยว  แล้วเราก็พลาดการข้ามด่านวันนั้นไป 

แต่หนิงกลับเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี  เราได้เห็นสิ่งที่มันไม่มีมานานในสังคมเมือง  ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่ง พวกเราคนรุ่นด้อยพัฒนาเคยได้รับการสั่งสอนให้ปฏิบัติอย่างนั้น

รถขนจักรยานที่ยังไม่เป็นงาน
เย็นนั้น เราเอารถลงตรงด่าน  ที่พักของเราคือโรงเรียนด่านห้วยโกร๋น  เป็นโรงเรียนชายแดนจริงๆ โรงเรียนเล็กๆที่มีครูแค่8คน กับนักเรียนแค่ 100กว่าคน  เหมาะเป็นโรงเรียนเศษฐกิจพอเพียง มีที่พักสำหรับแขกของโรงเรียนและเราจะไปพักกันที่นั้นในคืนนี้ พวกเรากินข้าวเย็นที่ด่าน ก่อนจะปั่นกันไปที่พัก  แล้วผลของการPackจักรยานผิดวิธีก็สำแดงเดช  รถพี่โม่เกิดโซ่ขาด  โดยไม่รู้ว่าอะไรทำให้ขาด พวกเราช่วยกันซ่อม โดยมีช่างใหญ่อย่างพี่วัช,พี่หมูและพี่โม่ช่วยกันสุดชีวิต  ไม่นานก็ซ่อมเสร็จ  การปั่นจักรยานท่องเที่ยว สิ่งหนึ่งที่เราควรจะทำให้เป็นคือการตัด ต่อ โซ่ หนิงลองทำก่อนมา พบว่าตัดนั้นง่ายมาก  แต่ต่อเนี้ยสิ ยากแสนยาก  เพราะถ้าตัดเกิน ก็ต่อไม่ได้  งานนี้เลยไม่ได้แสดงฝีมือ  ปล่อยช่างใหญ่ทำน่าจะดีกว่า

ค่ำนั้น เราปั่นไปที่พัก ท่ามกลางความมืดสนิท มีเพียงแสงไฟหน้ารถของแต่ละคนส่องนำทาง แสงจากรถใหญ่ของพี่ทองที่ขนสัมภาระ ส่องช่วยบ้างในบางครั้ง  เราไหลลงเนินเล็กๆ  ถึงจะมองไม่เห็นทาง  แต่ก็รู้สึกได้ว่าเรากำลังไหลลงแบบเบาๆ ในใจนั้นรู้สึกว่าแสนสบาย  แต่เมื่อมองถึงอนาคตในวันพรุ่งนี้ เราต้องปั่นขึ้นกันมางั้นเหรอ  หนิงไม่อยากจะคิด  ได้แต่สะบัดหัวให้ความคิดนั้นมันปลิวตกลงไปข้างทาง แต่ก่อนที่จะถึงที่พัก ความสบายก็หายไป เมื่อพบว่ายิ่งปั่นยิ่งหนืด เรากำลังปั่นขึ้นเนินชันๆ  หลายคนไม่ทันตั้งตัวก็ลงไปเข็นตามระเบียบ 

กว่าจะถึงที่พักได้ ก็เล่นซะพวกเราหอบตามๆกัน  เราเจอคุณครูที่คอยต้อนรับเรา และห้องพักที่สะอาดเตรียมรอเราอย่างเรียบร้อย  ตอนแรกหนิงนึกว่าจะต้องเอาโต๊ะนักเรียนมาวางต่อกันแล้วนอนซะอีก  คิดให้อนาถไว้ก่อน พอเจอของดีแล้วก็ยิ้มแฉ่ง

พวกเราแยกนอนหญิงชาย เหมือนเด็กประจำเลย  ก่อนนอนพี่ๆหลายคนจัดการเช็ครถจักรยาน  ก่อนที่พรุ่งนี้จะออกรบ  รถพี่โม่ดูจะเจอปัญหาหนัก  เพราะถูกจับหงายท้องมา นอกจากโซ่ขาดแล้ว สับจานหน้ายังบิดอีก  แถมตอนเช้าถึงเห็นว่าคอจักรยานร้าว แต่โชคดีว่าไม่ได้ถึงกับแตก พี่โม่เลยเอาสายเคเบิลรัดไม่ใช้มันแตกมากกว่านี้อีก

คืนแรกไม่ได้ยาวนาน  ไม่มีคนหน้าแปลกมานั่งหรือนอนข้างๆให้ใจหวั่นไหว  มีแต่เสียงกรน และละเมอเป็นช่วงๆ  ตุ๊กแกที่มันแอบหลบซ่อน ซ่อนตัวอย่างมิดชิด ไม่ยอมส่งเสียงร้องใดๆ  และแล้วราตรีก็ผ่านไป แสงอรุณส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา

อรุณแรกที่ห้วยโก๋น
พวกเราตื่นกันก่อนตะวันแยงก้น  เพราะโค้ชต๋องสั่งว่า 7โมงเช้า ต้องไปกินข้าวเช้าแล้ว  ใครจะรอช้าเล่าในเมื่อเมื่อคืนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเช้านี้อาหารยังไม่ถึงท้อง  ก็ต้องปั่นขึ้นเนินชันกันซะแล้ว สาวๆตื่นมาพร้อมกับเถียงกันว่าใครละเมอ หลังจากพี่เอ๋โยนมาว่าเป็นหนิงแน่ๆ แต่ที่สุดแล้ว หลายคนลงความเห็นว่าเป็นพี่หมี  ท่าทางพี่หมีจะตื่นเต้นมากกับทริปนี้เลยเก็บไปฝันซะเลย พวกเราใครเสร็จก่อนก็ทยอยกันออก  ดูเช้านี้อากาศเป็นใจไร้เมฆฝน  ก่อนจะมาพี่บี๋แจ้งให้ทราบทั่วกันว่าเราจะเจอพายุฝนฟ้าคะนอง  เป็นที่หวั่นใจพวกเรานัก แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แล้วจะเล่าให้ฟังต่อ
พี่หมีและพี่ก้อย 2สาวนักปั่น

หนิงออกมาพร้อมพี่ก้อย และพี่หมี  เราค่อยๆไหลลงไปก่อน  ระหว่างทางเราผ่านกลุ่มนักเรียนที่กำลังจะเข้าเรียนเช้านั้น  และสิ่งที่หนิงบอกว่ามันหายไปจากสังคมเมืองหลวงคือการทักทายด้วยการไหว้แต่เด็กๆที่นี้แสดงมันออกมาด้วยความนอบน้อม  เด็กๆสวัสดีพวกเราทุกคนด้วยการไหว้และทักทายว่าสวัสดีคะ  มันไม่ได้แปลกสำหรับพวกเรา  แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมเมืองหลวง  เราเป็นแค่คนแปลกหน้าปั่นจักรยานผ่านมา  แต่เด็กๆรับรู้ว่าเราคือแขกที่มาพักในโรงเรียนของพวกเขา การทักทายของเด็กๆไม่มีอาการเขอะเขิน มันเป็นภาพที่น่ารักและประทับใจมาก  ไม่ใช่ว่านานๆอยากจะเห็นที  แต่ภาพเล่านั้นอยากจะเห็นทุกวันเลยทีเดียว

ทานอาหารเช้าก่อนเจอโลกกว้าง
กำลังถอดตีนผีจักรยานพี่เอ๋
เมื่อคืน เราใช้ความรู้สึกในการปั่น แต่เช้านี้แสงนำทางให้เราเห็นเส้นทางอย่างแจ่มชัด สองข้างทางไม่มีบ้านเรือน มีแต่ต้นไม้ ไม่ใช่ป่าทึบ แต่ก็ไม่ใช่เรือกสวนไร่นา สายหมอกวิ่งผ่านช้าๆ อากาศเย็นชื้นๆปะทะหน้าเวลาจักรยานไหลลงเนิน แต่ยามเราออกแรงปั่นขึ้นเนิน เหงื่อไคลก็ไม่ได้ไหลย้อยออกมา ระยะทาง3-4กิโลที่เราปั่นชมความงาม ก็ช่วยให้สร้างแรงกระตุ้นให้เราหลายคน  แต่แล้วข่าวร้ายก็ตามมา  เป็นข่าวร้ายของพี่เอ๋  เมื่อพี่เอ๋พบว่า ตีนผีจักรยานของเธอ หักคาเท้า  เสียงวิพากษ์ต่างๆก็เกิดขึ้น  พี่เอ๋ปั่นยังไงให้ ตีนผีหัก  ข้อสรุปมีต่างๆนาๆ  แต่ที่น่าเป็นไปได้คือ การขนส่งอาจเกิดการกระแทกแล้วเกิดรอยร้าว  บวกกับแรงมหาศาลของพี่เอ๋ ที่กดเอาเต็มๆแรงขณะเปลี่ยนเกียร์ เลยพาลให้หักซะนี้  พี่เอ๋ทำท่าจะอดปั่นเป็นแน่  แต่หลายคนก็เสนอให้พี่เอ๋ปั่นแบบ single speed ซะแทน โดยการถอดตีนผีทิ้ง แล้วให้โซ่อยู่เฟืองหลังตัวใดตัวหนึ่ง โดยเลือกตัวที่น่าจะเหมาะกับเส้นทาง Rolling พี่เอ๋ดูจะอิดออด เพราะก็ไม่เคยลองปั่นแบบนั้น แต่พวกเราก็ให้กำลังใจว่าพี่เอ๋ทำได้แน่  ครั้งหนึ่งในการปั่นออกทัวร์แบบนี้ พี่พงษ์เคยประสบแบบเดียวกับพี่เอ๋  และพี่พงษ์ก็สามารถปั่นขึ้นเขาสูงชันที่เวียดนามด้วย Single Speedมาแล้ว  แต่จะว่าไปเพราะพี่พงษ์เป็นผู้ชาย ด้วยแรง และความรู้เรื่องจักรยานมีมากกว่าพี่เอ๋นัก หนนั้นพี่พงษ์จะเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้งก็ต้องลงมาใช้มือ manualทุกครั้งไป
ผ่านด่านไทยแล้ว

จอดรอหน้าที่ทำการ ตม.ของลาว
8โมงเช้า พวกเราได้ข้ามแดนจากฝั่งไทยเรียบร้อยดี แต่พวกเราก็ไปติดอยู่ฝั่งลาวนานเป็นชั่วโมง  กว่าจะหลุดมาได้ก็9โมงกว่า ตะวันเริ่มตั้งชัน ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ลาวไม่ปล่อยผ่านด้วยการมาเป็นกลุ่มต้องมีตำรวจท่องเที่ยวลาวติดตาม ไปด้วย  แต่พวกเราไม่มี จึงเสียเวลาเลี้ยงน้ำชาเจรจากับเจ้าหน้าที่นานหน่อย  ที่ชายแดน เราเห็นพี่น้องชาวไทยของเราข้ามฝั่งที่จุดผ่านแดนนี้เหมือนกันกับเรา ทุกคนล้วนเดินทางไปหลวงพระบางด้วยเส้นทางนี้เช่นกัน  การเดินทางไปหลวงพระบางทางน้ำเป็นที่นิยมมาก จนทำให้ชาวลาวเกิดอาชีพเดินเรือโดยสารแม่น้ำโขงมากมาย  มากจนแย่งงานกันทำ ทำให้เดือนๆหนึ่ง ออกทำงานกันได้น้อย เพราะต้องต่อคิวการเดินเรือ  มันคงไม่ต่างจากบ้านเราที่อาชีพไหนใครทำแล้วได้ดี  ก็แห่กันไปเรียน ไปทำแบบนั้น จนในที่สุด ก็กลายเป็นแย่งงานกัน  หากินลำบากเข้าไปอีก

แต่กว่าเราจะได้ไปขึ้นเรือก็เที่ยงไปแล้ว  พี่วัชกำหนดให้พวกเราไปถึงก่อนเที่ยง เพื่อจะลงเรือไปทานอาหารกลางวันในเรือ และจะได้ไม่ถึงหลวงพระบางค่ำนัก พวกเราดูจะสบายๆกันทั้งนั้น กับระยะแค่ 45กิโล กับเวลา 3ชั่วโมง 
ออกตัวจากด่านลาว
หลังจากผ่านด่านที่ลาว ชีวิตการเดินทางก็เริ่มขึ้นจริงๆ  พี่เอ๋โดนบังคับให้ปั่น Single Speed โดยมีแก็งค์3หนุ่มตามประกบ 

หนิงออกมาพร้อมพี่โม่  แน่นอนว่าการปั่นท่องเที่ยวแบบนี้ ควรหาคนที่ฝีเท้าไล่เลี่ยกันและปั่นไปด้วยกัน  หรือถ้าจะปั่นไปกับคนรัก  คนหนึ่งจะต้องหัดที่จะรออีกคน  หนิงเลือกที่จะปั่นกับคนรักและเดินทางไปพร้อมกัน เพื่อที่จะประสบพบเห็นในสิ่งเดียวกัน จะได้พูดคุยและแชร์ประสบการณ์ด้วยกัน  พี่ยอดออกตัวไปกับกัปตัน และแซงเราไป พี่หมี พี่หมูอยู่ข้างหน้า  พี่ไก่ปั่นไปไกลอยู่หน้าหนิง  เราปั่นกันไปเรื่อยๆ  บ้านเมืองทางลาวไม่ต่างไปจากทางไทย ฝั่งลาวที่เราข้ามมามีชื่อว่าเมืองเงิน  พี่วัชเล่าให้ฟังว่า เมื่อนานมากแล้วพี่วัชและเพื่อนเคยปั่นผ่านเมืองนี้  เจ้าเมืองแสนจะใจดี ถึงขั้นขับรถมากินข้าวด้วยถึงที่พัก  เพราะเมื่อก่อนเส้นทางนี้ไม่เป็นที่นิยมของนักเดินทาง  ผิดกับปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เจ้าเมืองเองก็คงไม่มีปัญญาไปกินข้าวกับนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะเยอะมาเหลือเกิน หนิงเห็นที่พักรายทางจะเยอะกว่าทางไทยมาก หลักกิโลบอกเราว่าเรากำลังมุ่งหน้าปากแบง เมืองท่าเรือที่พักสำหรับคนไปหลวงพระบาง การใช้ถนนที่ลาวต่างจากบ้านเรา  ลาวขับรถเลนขวา โชคดีว่าถนนรถไม่เยอะ เพราะกว่าแต่ละคนจะบอกตัวเองได้ว่า ขวานะ ขวานะ ก็ใช้เวลาปรับตัวกันหน่อย 

จากแผ่นที่ วันนี้เราต้องขึ้นเขา 3ลูก  ลูกแรกเป็นลูกที่ใหญ่มาก ตามมาด้วยลูกน้อยๆ 2ลูก  หนิงกับพี่โม่บอกว่า สบายมาก เพราะเราเคยเจอเขาใหญ่ที่เมืองจีนมาแล้ว  แค่นี้สบาย 
พี่ไก่กับเสือcannondale
เราสองคนปั่นแบบชิล ชิล มีเพลงฟังให้สบายอารมณ์  ตอนหนิงปั่นผ่านพี่ไก่  พี่ไก่ ยังงงๆกับการเปลี่ยนเกียร์อยู่เลย  เพราะนานมากแล้วที่พี่ไก่ปั่นจักรยาน  ครั้งสุดท้าย น่าจะมี5-6ปี  แต่พอปรับตัวในการเปลี่ยนเกียร์ได้  พี่ไก่ก็ต้องปรับตัวกับการขึ้นเนิน แล้วในที่สุด พี่ไก่ก็โบกรถ ขึ้นไปพร้อมพี่เอ๋  เพราะsingle speedทำให้พี่เอ๋ปั่นไม่ออกเลยทีเดียว  2คนนั้นเลยวางแผนว่า ขึ้นไปปล่อยตัวลงมาจากยอดเขาลูกแรกเห็นจะดีกว่า 

หนิงกับพี่โม่ได้แต่มองพวกพี่ที่ผ่านไป  เพราะอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น แล้วยางหนิงก็โดนเจาะ  มีการเปลี่ยนยางกันเล็กน้อย และได้รับความช่วยเหลือจากพี่วัช และแก็งค์สามทหารเสือ เมื่อเปลี่ยนเสร็จ หนุ่มๆ ก็ทิ้งเราไปเลย  เหลือแต่พี่วัชให้ดูต่างหน้า พี่วัชออกจะชอบที่ปั่นไปกับเราสองคน  เพราะมีเพลงฟังตลอดทาง  แต่ทุกโค้งที่หนิงเห็นพี่วัชนำไปนั้น  หนิงจะได้ยินพี่วัชร้องเสียงหลงออกมาทุกครั้ง  ในตอนแรกหนิงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องร้อง  แต่เมื่อหนิงเข้าโค้งไปอย่างช้าๆ เพราะขุนเขานั้นช่างชันนัก  หนิงก็เข้าใจความหมายได้ทันที  ก็แหม ทางโค้งลาดลงนิดหน่อย  เห็นตอนแรกเป็นใครก็คงดีใจ นึกว่าทางลง แต่พอเข้าโค้งแล้วพบว่าทางลาดลงนั้นมันหลอก ลาดนิดเดียว แล้วขึ้นอีก  แหมมันช่างชันจับใจอะไรอย่างนี้  หนิงต้องทั้งปลอบทั้งขู่ตัวเองและพี่โม่ไปพลางๆ  เพราะยิ่งปั่นก็ยิ่งไม่เห็นทางลงเขา ทำให้นึกถึงคำที่ว่า ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน  ตอนชั่วเนี้ย มันสาหัสซะจริง

เรา3คนปั่นไป ปั่นมา จนพี่วัชรอไม่ไหว เลื้อยเป็นงูหนีไปซะก่อน  กอ่นที่หนิงจะพบความสุข หนิงพบพี่ยอดกับพี่หมูยืนลับๆล่อๆอยู่ใต้ร่มเงาไม้  หนิงกับพี่โม่เลยขอหยุดด้วย เลยได้ความว่า พี่หมูเป็นตะคริว  อากาศตอนนั้นร้อนมาก  ร้อนกว่าเมืองจีนหลายเท่า แถมต้นไม้ข้างทางแทบจะไม่มี  หาได้สักต้นก็เก่งมากแล้ว  พี่หมูบอกให้เรา2คนไปก่อน  พี่ยอดอาสาอยู่เป็นเพื่อนพี่หมู  พอเราปั่นออกมาไม่นาน เราก็เห็นจักรยานจอดซุกอยู่ใต้หญ้าคาอีก 2คัน  หนิงกับพี่โม่ค่อยๆปั่นขึ้นไปดู  เห็นกัปตันโทนนั่งอยู่ในร่มของหญ้าคาที่ชูช่ออยู่ซัก10ใบ เห็นจะได้  ถัดไปด้านใน เห็นพี่หมีซุกตัวอยู่  เสียงกัปตันหัวเราะร่า บอกว่ามี swingingกันเกิดขึ้น  แถมต้องมาหลบแดดใต้หญ้าคา  ดูน่าสงสารอย่างไรไม่รู้ แต่กัปตันก็ช่างคิดนะ ใบหญ้าคาดูๆไปมันก็ให้ร่มจริงๆละ  เพียงแต่ต้องอยู่ให้ต่ำกว่ามันเท่านั้นเอง
ร่าเริงหลังจากได้น้ำเย็น

หนิงกับพี่โม่มองดูแล้วท่าทางจะหยุดพักด้วยไม่ได้ เลยไปกันต่อ  ยิ่งปั่นขึ้นเขา ก็ยิ่งร้อน  ยิ่งเหนื่อย  น้ำกระปุกเดียวที่เอามา ไม่ได้ทำให้ชื่นใจขึ้นเลย  energy barที่พกมาก็ต้องควักมากินแล้ว เกือบ11โมงแล้วในตอนนั้น  แต่ทำไมแดดมันแรงอย่างนี้
ด้วยความอนาถของเส้นทาง เราจะพักกินน้ำก็ต้องกินกันกลางแดด  กินเสร็จก็ต้องปั่นกันต่อ  จะยืนหลบแดดก็ไม่มีที่ เรา2คนปั่นกันไปจนถึงยอดของเขาลูกแรก  แล้วเราก็เจอขุมทรัพย์  น้าเยาว์และกิ๊ฟดักรอบนนั้น  มีน้ำเย็นน้ำแข็งรอเราอยู่  ถึงจะไม่ร่ม  แต่อย่างน้อยก็มีน้ำเย็น มันก็ช่วยเราได้มากทีเดียว  จูดนั้นเป็นจุดชมวิวถ่ายรูปที่สวยทีเดียว เราเห็นเส้นทางลงแล้วมีกำลังใจขึ้นมาก  พี่วัชรอเราอยู่ตรงนั้น  ชี้ชวนให้เราดูเขาอีก2ลูก  โอ๊ยสบายมาก  เล็กกว่านี้ตั้งเยอะ  เราเติมความเย็นกันเต็มที่ ก็ไหลตามพี่วัชลงไปไม่ช้า  อย่างที่เคยบอกหลายหนแล้วว่า เวลาลมปะทะหน้า มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ  แต่ดีเจ็ดหน มันช่างสั้นอะไรอย่างนี้  แล้วเราก็ต้องออกแรงกันอีกครั้ง  พี่วัชหนีเราไปไม่ไกล  ก็ต้องมาฟังเพลงด้วยกันอีก  เรา3คนเลื้อยเป็นงูอยู่กลางถนน  ดีที่ว่ารถน้อย  ไม่งั้นคงเลื้อยไม่ได้  การปั่นจักรยานเลื้อยๆ  ใครไม่ปั่นคงนึกไม่ออก  เวลาเราเจอเขาชัน  เราจะไม่ปั่นขึ้นตรงๆ เพราะจะทำให้เราใช้แรงมาก แต่ถ้าเราเลื้อยแบบงู จะทำให้เราออกแรงกดน้อยลง  แต่ระยะอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่นักปั่นเลือกแล้ว 

เราเลื้อยกันไปซักพัก  พี่วัชก็ทิ้งเรา2คนอีกครั้ง  หนิงกับพี่โม่เริ่มปั่นไปบ่นไป  ว่าทำไมมันไม่ถึงซักที พี่ทองขับรถย้อนกลับมาดู แล้วก็เลยเราไป ปล่อยให้เรา2คนปั่นท่ามกลางแสงแดดแผดเผา 

โดนเก็บกันทั่วหน้า
ในขณะที่หนิงกับพี่โม่ออกแรงปั่นขึ้นเขา  หนิงก็ได้ยินเสียงแตรรถดังมาข้างหลัง หนิงหันไปบอกพี่โม่ว่า “พี่ทองมารับแล้ว  เขามาเก็บเราแล้ว” พี่โม่ตอบทันควันเลยว่า “ไม่ เค้าไม่ขึ้น” นั่นไง เกิดอยากปั่นอะไรกันตอนนี้พ่อคู้ณ  แต่ไม่ทันได้ต่อรองกับพี่ทอง  เสียงหนุ่มใหญ่ก็ออกคำสั่งตามมาว่า “ขึ้น ขึ้น ขึ้น ..ขึ้นไปให้หมด”  แล้วเราก็พบว่าบนรถพี่ทอง มีพี่หมี พี่หมู น้าโทน และพี่ยอด นั่งกันเรียบร้อย เราขึ้นเป็นคู่ที่3 ทั้งที่ยังอยากปั่น  แต่เวลาไม่อำนวยเราแล้ว  ในตอนนั้นเอง เราได้ยินเสียงวอมาจากพี่วัชว่า “ เฮ้ยทอง ทอง  เดี๋ยวมารับด้วย  … ไม่มารับจะฆ่าให้”  พวกเราแอบขำกัน เพราะรู้แล้วว่าพี่วัชไม่ไหวแล้ว  แล้วพี่วัชก็ขึ้นรถตามเรามาติดๆ

รถออกตัวมาอีกไม่กี่เนิน  ริมทางข้างซ้าย มีหนุ่มใหญ่ กับสาวน้อยลงไปทำลึกลับกันข้างทาง  เสื้อแดงทั้งคู่ จะวางเพลิงหรือดักยิงใครกัน แต่เมื่อมองดูก็เป็นพี่ก้อยและพี่ไก่  จับมือกับหลบร่มใต้หญ้าคาอีกคู่ ใครจะเชื่อละว่ายามนี้ หญ้าคาช่างมีประโยชน์มากมาย
พี่ไก่ กับพี่ก้อยมอบตัวแต่โดยดีไม่มีอิดออด  จากนั้นไม่นานเราก็ได้ตัวเชลยอีกคู่นึง  พี่พงษ์กับพี่เอ๋ นี้ก็กำลังหลบแดดอยู่เหมือนกัน  พี่พงษ์แอบมาสารภาพว่า  คิดว่าระยะ45กิโลมันกระจอก  เลยไม่เติมเกลือแร่อะไรมาเลย  แถม 3ทหารเสือมีเงาะพกหลังมา 5ลูก แบ่งกันกินไปแล้ว  ช่างน่าอนาถอะไรอย่างนี้
รอขึ้นเรือ
และคู่สุดท้ายที่เราสอยมาได้ คือพี่แอนกับพี่ไกด์  พี่แอนนี้อย่างฮา  เธอส่งรถให้พี่วัชได้ เธอก็สะบัดก้นไปขึ้นรถน้าเยาว์เลย  อย่างไม่ใยดีในจักรยานของตัวเอง  ได้ยินทีหลังว่าตะคริวขึ้นจนหมดอารมณ์ปั่น  ส่วนผู้ที่รอดจากการโดนพี่ทองสอยก็มีออยและพี่บี๋  ตอนที่พวกเราไปเจอ  2คนกำลังปั่นกันอย่างดุเดือด  แต่ที่ไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง  เห็นจะเป็นพี่ต๋อง  เธอมานั่งรอที่ท่าเรือเรียบร้อย  โดยมีเด็กๆล้อมหน้า ล้อมหลัง และเราก็ถึงเรือกันจนได้

พาจักรยานลงเรือ
เรือที่มารับเป็นเรือใหญ่  พวกเราเคยขึ้นกันครั้งหนึ่งจากห้วยแก้วมาปากแบงเมื่อครั้งปั่นไป สิบสองปันนา  แต่คราวนี้พิเศษตรงที่มีอาหารกลางวันรอท่าอยู่  พวกเราที่หิวกันตาลาย  เจออาหารที่รอท่าอยู่มีเหรอที่จะทนไหว  น้ำพริกชาวลาวอร่อยจัดจ้าน แถมส้มตำที่หน้าตาแสนจะซีดเซียว  แต่รสชาติรุนแรง ก้าวร้าวได้ที่ทีเดียว 

การนั่งเรือ เป็นการพักผ่อนที่ดี พี่ๆหลายคนถือโอกาสชาร์ตแบต หนิงมีโอกาศได้คุยเรื่องต่างๆจากพี่วัช  และเรื่องที่น่าสนใจอย่างการปั่นไปพม่า และเรื่องราวต่างๆในปีที่ผ่านมา พี่วัชเล่าว่าการปั่นเฉลิมพระเกียริ์ตมีเงินเหลือจาการจัดเพื่อถวายในหลวงถึงแปดหมื่น บาท เป็นเรื่องที่เรายินดีกันมาก  เพราะพี่วัชเล่าว่า ช่วงที่ปั่นเมืองจีนใช้เงินเยอะมาก เพราะตัวหารน้อย  แต่เมื่อชาวการบินไทยไปแจม ตัวหารมากขึ้นทำให้รายจ่ายลดลง เงินจึงเหลือมากขึ้น 
พวกเราพักผ่อนหย่อนใจกันหลายรูปแบบ ถ่ายรูป นอนเล่น รวมไปถึงเล่นไพ่ด้วย  กองไพ่ดูจะสนุกกว่าใคร เพราะเสียงเฮมีได้ตลอด เสียงกิ๊ฟดูจะดังกว่าใครๆ  เพราะเธอคือผู้ที่วนเวียนกับการเป็นslaveอยู่ร่ำไป  แต่พอพี่เอ๋มาเล่น ยิ่งเฮหนักกว่าเก่า เพราะความโก๊ะของพี่เอ๋ ตอนแรกก็เล่นเป็น Kingดีๆ  เล่นไปเล่นมา พอหนิงเดินออกไม่ช่วยดู เท่านั้นแหละ  พี่เอ๋ก็กลายเป็น slaveทันที  เรียกเสียงฮาไปตรึมเพราะจากการคาดเดา  คาดว่าไพ่อาจจะดี  แต่พี่เอ๋ชอบเดินไพ่แบบ ลองดู ก็ไม่รู้ว่าจะลองอะไร  เลยเป็น slaveซะเลย
พี่ก้อยกับออยรอปั่นรอบเย็น
เส้นทางโปรดที่พี่เอ๋ชอบ  ทางลูกรัง
เรือล่องแม่น้ำโขงกว่าจะมาถึงท่าใกล้หลวงพระบางก็เกือบ6โมงเย็น เราต้องยกเลิกการไปถ้ำพระ ไม่เช่นนั้นจะปั่นถึงเมืองมืดค่ำ  เราเลยเริ่มปั่นกันอีกครั้งหลังจากพักกันมานาน ยกเว้นพี่บี๋ที่ถวายตัวอยู่เป็นเพื่อนภรรยารัก ร่องเรือขนสัมภาระที่เหลือเข้าเมืองหลวงพระบางให้พวกเรา เส้นทางช่วงแรก พี่เอ๋ถึงกับออกปากว่าชอบเลย เพราะเป็นทางลูกรัง rollingเล็กๆ  เห็นปั่นปลิวหายวับไปทันที  พี่ก้อยกับพี่ไก่ก็ใช่ย่อย ปั่นหาย ปั่นหาย  หนิงไล่จะไม่ทันเอา  ทั้งที่พี่ก้อยใช้ยาง 700cเส้นน้อย กลับไม่ได้กลัวหินลอย หรือลูกรังใดๆ  สมแล้วที่เป็นเสือเก่า เส้นทางเป็นทางเลาะแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ  ปั่นๆไป ก็แอบหันไปมองสายน้ำ ที่ไหลเชี่ยวสะท้อนกับแดดสุดท้ายของวัน กว่าจะถึงถนนใหญ่ แสงแดดก็เริ่มหมดพอดี 

เราต้องใช้ไฟจักรยานกันอีกครั้ง หนิงจับกลุ่มกับพี่โม่ พี่หมี พี่ยอด และน้าโทน เราผลัดกันนำเป็นช่วงๆ  โดยช่วงสุดท้าย ก่อนถึงเมืองรถราจอแจให้น่าหวาดเสียว แต่พี่หมีก็นำยาวไปจนเจอกลุ่มแรกที่รอเราอยู่อย่างปลอดภัย  เรารอจนครบคน พี่วัชก็นำปั่นเข้าเมือง เราแวะทานข้าวก่อน โดยมีพี่บี๋และกิ๊ฟตามมาแจม หลังอาหาร เราเข้าที่พักที่ดีใช้ได้เลย ชื่อ สาลาหลวงพระบาง ออยเป็นคนแนะนำ ห้องดี สะอาด และน่ารักดี คืนนั้นเราได้พัก หลังจากเสียแรงกันมามาก รวมๆแล้วเราปั่นกัน 60-70กิโล  ขึ้นอยู่กับช่วงแรกว่าใครปั่นได้มากแค่ไหน  คืนนั้นเป็นคืนแรกในลาว และเป็นคืนแรกที่หลวงพระบาง กับน้ำอุ่นและที่นอนแสนสบาย และเสียงกรนก็ดังขึ้นอีกครั้ง

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่6 สูงสุด คืนสู่ ขามันส์

                  ปั่นเที่ยวเมืองจีน  ตอนที่6 สูงสุด คืนสู่ ขามันส์


หลังจากพวกเราปั่นกันสะบักสะบอมจากเมื่อวาน เราได้นอนที่โรงแรมบนยอดเขา ซึ่งก็เป็นโรงแรมที่น่าอยู่ที่หนึ่งในทริปนี้ เพราะเราไม่ต้องเจอส้วมหลุมอีก ไม่ต้องลำบากลำบนนั่งย่องๆให้กล้ามเนื้อขามันล้ามากขึ้น นอกจากส้วมดีๆแล้ว ยังมีวิวงามๆรออยู่ตอนเช้า ตื่นมากะว่าเราจะได้ ชมพระอาทิตย์ขึ้น เป็นภาพสวยงามประทับใจ ถึงแม้ว่าตอนเช็คอินเขามาจะขลุกขลักเพราะโรงแรมกำลังทำระบบน้ำใหม่
คืนนั้นอากาศเย็นมาก เราหลับไปพร้อมความล้าที่เขามาจับตามร่างกายของเรา นอนฝันดีกันถ้วนหน้า
ทิวเขาที่รายล้อมไปด้วยนาขั้นบันได

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พวกเราหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ได้ยินเสียงเด็กน้อยจากห้องต่างๆให้คึกคักไปหมด   หวังจะดูพระอาทิตยขึ้น์ แต่เรากลับเห็นเพียงแค่แสงรำไร ที่เกิดจากหมอกหนายามเช้า หลังจากเราส่องหาพระอาทิตย์กันพอประมาณแล้วก็พบว่า วันนี้พระอาทิตย์อายหลบอยู่หลังเมฆหมอก แล้วเราก็ต้องเก็บกระเป๋ากันอีกรอบ วันนี้จัดเป็นวันสบายของพวกเรา เพราะได้ยินว่าไหลลงอย่างเดียว 34กิโลเมตร  แล้วไปขึ้นรถ วันนี้เราจะนั่งรถไปอีกเมือง เป็นการย่นระยะทาง เพราะเวลาดูจะไม่พอสำหรับวันพักร้อนของเรา

หลายคนดูจะยินดี อย่างแม่บ้านทั้งหลาย เพราะเริ่มเบื่อแล้วที่ต้องนั่งรถกันทั้งวัน  ส่วนนักปั่นถึงแม้ว่าจะไม่ต้องลำบาก แต่อีกใจก็ยังอยากจะนั่งกันบนอานมากกว่านั่งอยู่บนเบาะในรถบัส แล้วโดนเหวี่ยงไปมาจากการทิ้งโค้งของคนขับรถ แต่นั้นพวกเราก็เลือกไม่ได้แล้ว เช้านั้นอากาศเย็นจับปลายประสาท หนิงใส่เสื้อหลายชั้นเพราะรู้ว่าลงอย่างเดียวอย่างนี้ มีหวังเจอลมแรงๆ พัดผมกระจุยกระจายแน่ เอาอุ่นๆตัวไว้ก่อนเป็นดี

รถถูกยกมารอหน้าโรงแรม เสียงพวกเราเจี๊ยวจ๊าวกันตามประสา เครื่องทำกาแฟของพี่เยาว์ได้ถุกเอามาใช้งานอีกครั้ง เป็นที่ถูกอกถูกใจคอกาแฟมาก  ท้องฟ้าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงดูจะสดใสเป็นพิเศษ น่าประหลาดที่ตลอดทริปที่ไปไม่เจอฝนเลยทั้งที่เป็นหน้าฝนแท้ๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ประหลาดนัก หนิงยืนแช่มชื่นกับการปั่นครั้งนี้มาก เพราะเป็นการมาเที่ยวที่เยียวยาหัวใจมากที่สุด เป็นเพราะก่อนหน้าไม่กี่วันที่หนิงได้ยินข่าวดีจากคนเคยนิยมว่ากำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นข่าวน่ายินดีสำหรับเขา แต่สำหรับหนิงกลับเซไม่เป็นท่า เพราะฉะนั้นการมาออกทริปหนนี้คือการมาเพื่อลืมเธอที่ดีที่สุด และมันก็ทำให้หนิงลืมได้สำเร็จ ‘ถึงแม้ไม่มีเธอ ฉันก็อยู่ได้’ พี่ๆน้องๆทุกคนในทริป สร้างความเฮฮาตลอดการปั่น จนมันทำให้หนิงรู้สึกว่า เวลามันก้าวไปข้างหน้า มันไม่เคยถอยหลังกลับ มันมีแต่สิ่งแปลกใหม่รอเราอยู่ หนิงหายใจเข้าช้าๆ รับเอาอ๊อกซิเจนเข้าเต็มปอด พวกเสือหนุ่มยืนเช็ครถกันให้เกะกะ  เมื่อปอดเต็มไปด้วยออกซิเจน ก็เป็นช่วงผ่อนคลาย หนิงก้มต่ำลงมองไปที่รถจักรยานของตัวเอง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง หนิงพบว่า รถจักรยานของหนิงมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น  ไอ้ชิ้นที่ว่าเนี้ย มันมีไว้ทำไรกันนะ มองๆดู เหมือนว่ามันมาเพื่อสร้าง Balanceในการลงเขา  แต่ดูอีกที น้ำหนักมันไม่น่าจะน้อยสักเท่าไหร่  หนิงเดินเข้าไปใกล้ เพื่อพิจารณาเจ้าสิ่งที่ว่า ‘ก้อนหิน’ นี้หว่า ‘ใครกันวะกล้าดีจริงเอาก้อนหินก้อนยักษ์มาวางตรงแง่งเฟรมรถตู’  ไม่ต้องถามให้มากความ คำตอบมีอยู่ในใจ ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่รักพี่ชั่งของหนิงนั้นเอง ‘พี่ต๋อง’ หนิงเดินไปหยิบหินออก พร้อมเดินไปหาพี่ต๋อง สิ่งแรกที่ได้ยินคือคำปฏิเสธ แน่นอน พี่ต๋องย่อมทำให้หนิงไขว้เขว นึกไปเป็นคนอื่น แต่เห็นจะไม่สำเร็จ เพราะระหว่างเราสองคน มีรอยแค้นต่อกันและกัน เพราะเมื่อวานหนิงและออยร่วมมือกันกลั่นแกล้งพี่ต๋อง แต่ด้วยออยเป็นศิษย์ที่ปั้นมากับมือ จะไปแกล้งศิษย์ ศิษย์ก็คงจะย้ายสำนักหนี พี่ต๋องกลัวจะไม่มีศิษย์ก้นกุฏิ เลยจัดการหนิงแทน  โชคดีที่พระคุ้มครอง ไม่อย่างนั้น ถ้าหนิงทะเล่อทะล่าปั่นลงไปพร้อมก้อนหิน คงฮาชนิดดูไม่จืดแน่ๆ หนิงต่อว่าต่อขานพี่ต๋อง พอหอมปากหอมคอ อย่างน้อยพี่จะได้รู้ว่าน้องรู้นะ ฮึ ฮึ

หัวหน้าทริป พี่เยาว์ บอกให้เราไหลจักรยานลงไปกิน ขนมจีนข้ามสะพานที่อร่อยที่สุดในเมือง เราไหลลงมาไม่ไกลนัก ขนมจีนร้านนี้น่าจะอร่อยจริง ดูจากลูกค้าที่ผลัดหน้ากันเข้าออกร้าน รวมทั้งเครื่องเคราที่กองอยู่เต็มหน้าเตา เราสั่งมาคนละชาม ชามใหญ่มากๆ ไม่มีผิดหวัง เพราะอร่อยสมคำร่ำลือ น้ำซุปร้อนๆ กับเส้นที่ขดกันเต็มชาม หมู หมา กาไก่ ที่ใส่ให้มาก็ใช่ย่อยซะที่ไหน เราอิ่มแปร้แบบไม่กลัวทะลัก เพราะอย่างที่บอกในตอนแรกว่า เราไหลลงอย่างเดียว

หลังจากเสร็จพิธีการกิน ขบวนจักรยานก็เริ่มออกตัว ถึงเราจะไหลกันยังไง รถยนต์ก็คงไปถึงก่อนพวกเราแน่ๆ ก่อนเราจะจากลา เราไหลไปดูกลางเมืองซึ่งเป็นทางผ่าน ผู้คนเยอะแยะไปหมด เมืองนี้ อยู่ในจังหวัด ฮงเฮอ เป็นเมืองที่มีม้งแดงอยู่เยอะที่สุด และเป็นเมืองที่มีบุหรี่ที่มีชื่อเสียงในแถบนั้น

เราเริ่มปล่อยไหลจากเบื้องบนกันมาทีละคน ใครชอบความเร็วก็ลงไปก่อน  ใครหวั่นๆ ก็ลงทีหลัง โดยมีพี่วัช ปิดท้ายให้ ออยกับหนิงสมัครใจอยู่หลัง เพราะขืนไปอยู่ข้างหน้า เราคงเกะกะขามันส์กันแน่ๆ
ลมปะทะหน้าอีกครั้ง เย็นจับใจ แต่หนิงต้องคุมรถและสมาธิให้แน่วแน่ เสื้อที่ใส่มาหลายชั้น ช่วยได้อยู่ ถึงแม้จะเย็น ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าแข็งจนทำอะไรไม่ได้ ทักษะต่างๆถูกนำมาใช้ เอียงซ้าย ขวา ตามโค้ง ยกเท้าขนานพื้นเวลาเข้าโค้ง หรือแม้แต่ก้มลง เพื่อให้ไหลลงเร็วขึ้น

ชาวนากำลังเก็บข้าว
หนิงยังพอได้มองวิวข้างทาง ยังเห็นนาขั้นบันไดบ้าง และหนิงก็หยุดถ่ายรูป เก็บไว้เป็นที่ระลึก หลังจากวินาทีนั้น ขามันส์ทั้งหลาย ก็เทโค้งลงเขากันเป็นว่าเล่น อากาศหนาวเย็นค่อยๆ เปลี่ยนไป ความร้อนเริ่มมาปะทะใบหน้า ปนเป กับความเย็นที่หลงเหลือ  ความเร็วเริ่มลดลง แต่อาการไหลยังคงมีต่อเนื่อง เบรคที่กำปล่อย กำปล่อย ค่อยคลายความถี่ มือไม่เกร็งเหมือนเมื่อตอนไหลลงมาแรกๆ น้ำในกระติกยังไม่ลดปริมาณ เพราะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยจากการออกแรงใดๆ รถบรรทุกแม่บ้านผ่านไป เสียงเชียร์จากหน้าต่างรถตะโกนโวกเวก  เสียงวอบอกทางเป็นระยะ จนในที่สุดก็หายไป เพราะระยะที่ไกลเพิ่มมากขึ้น เราเริ่มออกแรงถีบบันไดจักรยานหลังจากลงมานานจนเมื่อย ทางเหมือนจะราบ แต่ยังมีแรงส่งท้าย ทั้งถีบ ทั้งส่ง จักรยานของเราก็วิ่งเร็วเหนือคำบรรยาย เกือบๆจะถึงเมือง เราก็ได้ยินเสียงวออีกครั้ง แต่ด้วยความที่ฟังได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง หนิงและพี่หลายคนที่ตามมาก ก็ปั่นเลยรถที่จอดรอ ทำให้เราต้องปั่นทะลุเมืองเพื่อเลี่ยงความแออัด เพราะเราต้อง เอาจักรยานขึ้นรถบรรทุก เราจบการปั่นที่ตรงนี้ หลายคนยังอยากปั่นต่อ แต่ด้วยเวลาและเส้นทางที่เรากำหนดทำให้เราต้องมานั่งรถแทน  จากนี้ไป เราต้องนั่งรถกันอย่างทรหดอดทน เพื่อจะไปข้ามแดนกลับลาวในวันมะรืน ตอนแรก เราวางแผนจะไปเชียงรุ้งกัน แต่เนื่องจากว่าเป็นช่วงเทศกาลวันชาติประจำปี เราเลยถูกระงับเนื่องจากผู้คนมากมาบกายกองที่กำลังมุ่งหน้าไปเที่ยวในเมือ
เพราะไม่อย่างนั้น เราคงติดอยู่เมืองจีนอีกหลายวัน ไม่ต้องได้กลับมาทำมาหากินกันทีเดียว

เรานั่งกันมาเรื่อยๆ โดยตั้งใจจะไปนอนที่เมืองซือเหมา แต่ด้วยความที่เส้นทางเล็ก และหลงทาง เราเลยไปนอนหยวนเจียงแทน แต่กว่าจะถึง เราต้องจอดรถข้างทางถึง 2ครั้ง 2ครา เพราะเบรคที่ร้อนเกินไป อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และแล้วอุบัติเหตุก็เกิดจนได้ เมื่อรถจอดรอเบรคข้างทางในที่มืดมิด ไม่มีแสงพระจันทร์ส่องทาง แสงดาวที่ส่องประกายทั่วฟ้าก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ พวกผู้หญิงได้ทีอาศัยความมืด เข้าห้องน้ำตามริม ทาง ส่วนชายหนุ่ม เป็นเรื่องธรมดาอยู่แล้วสำหรับห้องน้ำข้างถนน เราออกมายืดเส้นยืดสายกันหลังจากนักรถทรหดอดทนกันมานาน ถ้าไม่นับมื้อเที่ยงที่เราได้ออกจากรถ เห็นทีพวกเราก็นั่งกันนานนับเป็นหลายชั่วโมงกันทีเดียว 

ในขณะที่กำลังยืนเล่นกันรอบรถ เสียงกิ๊ฟ ภรรยาสาวที่ติดตามพี่บี๋มาเป็นกองเชียร์ ร้องโวยวายว่าผ้าปิดหน้าที่สามีสุดที่รักซื้อให้ตกลงไปข้างทาง พวกเราเอาไฟฉายส่องกันทั่วๆ ก็เห็นผ้าลายธงชาติไทยผืนน้อย ติดอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ  พวกเราสาวๆ บอกกิ๊ฟว่าทำใจเถอะแก ลึกขนาดนั้นใครจะลงไปเก็บให้ ‘ลืมๆมันไปซะเถอะกิ๊ฟ’  ‘ซื้อใหม่เถอะแก’ พวกเราช่วยกันปลอบโยนเป็นการใหญ่ เสียงกิ๊ฟดูจะงอแงยกใหญ่ ไม่ทันที่ใครจะตั้งตัว พี่บี๋ก็เดินมาทันพอจะได้ยินเหตุการณ์  เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อพี่บี๋เดินก้าวลงข้างทาง หวังจะเอื้อมมือ ไปหยิบผ้าให้ภรรยารัก พวกเราร้องห้ามแต่ไม่ทัน เลยช่วยกันส่งมือจับแขนพี่บี๋ไว้กลัวจะตกไปพร้อมกับผ้าผืนน้อยนั้น ไม่นานเกินอึดใจ พี่บี๋ก็คว้าผ้าผืนน้อยให้ภรรยารักได้สำเร็จ ทันทีที่ส่งผ้าให้ พี่บี๋ก็เดินจากกิ๊ฟไปในความมืด พวกเราสงสัยว่าท่าทางจะมีเคือง แต่กิ๊ฟดูจะภูมิใจกับสามีที่แสนดีมาก ถึงกับออกปากเรียก ‘ผัวเทวดา’ ทีเดียว  ว่าแล้วกิ๊ฟก็วิ่งจู๊ดตามพี่บี่ไปในความมืด

สักพัก พวกสาวๆที่ยืนดูเหตการณ์ในช่วงแรกก็ได้ยินเสียงเฮลั่น พอวิ่งไปดูก็พบว่ากิ๊ฟกำลังยกมือขอโทษขอโพยพี่ไกด์เป็นยกใหญ่ เลยสอบถาม ได้ความว่า ขณะที่สาวเจ้ากำลังวิ่งตามสามี ก็มาปะชายหนุ่มยืนอยู่ข้างรถ แต่ยังไม่ทันได้ดูตาม้าตาเรือ สาวเจ้าก็สวมกอดชายหนุ่มให้ทันที ทุกคนได้แต่อึ่ง เพราะหนุ่มที่สาวเธอกอด กลายเป็นพี่ไกด์ น้องชายพี่บี๋ที่มีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก ภรรยาพี่ไกด์เองก็ยืนงงอยู่ข้างๆ พอรู้ตัว กิ๊ฟถึงกับเสียเซล์ฟเอาอย่างแรง พี่บี๋เองพอมารู้ก็อดขำความเปิ้นของเมียตัวเองไม่ได้ พวกเราได้ขำกันทั้งน้ำตาของความเปิ่นของกิ๊ฟ  กิ๊ฟถึงกับขอร้องไม่ให้หนิงเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง  แต่มันเป็นเรื่องที่อดไม่ได้ อีกอย่างมันเป็นอบัติเหตุขำๆที่ทำให้หลายคนหายเครียดจากคืนนั้นไปได้

หลังจากเราขำกันอย่างสาหัสกันแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงโรงแรมที่พัก เมืองที่เราพักชื่อเมือง หยวนเจียง เมืองนี้เป็นเมืองที่มีโรงงานบุหรี่ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเสียภาษีให้จีนมากที่สุดด้วย ก็คงเพราะบุหรี่นั้นละ ส่วนเกษตรกรรมที่ทำคือ ปลูกมะม่วง และกล้วยส่งไปยังมณฑลต่างๆ
อีกมุมของนาขั้นบันได

ที่โรงแรมแห่งนี้ มีเรื่องได้ฮาก่อนนอนอีกครั้ง หลังจากเรากินข้าวเสร็จ เราก็รับกุญแจ เพื่อขึ้นห้อง หนิงกับออย ได้นอนห้องข้างล่างเหมือนกับคนอื่นๆ แต่พี่ต๋องและครอบครัว ได้ห่้องชั้น 3 ด้วยความที่สัมภาระพี่ต๋องมากมาย พี่ต๋องเลยขอแลกห้องกับ 2สาว ซึ่ง เราก็ยินดี หนิงกับออย แบกข้าวของเดินขึ้นชั้น 3 เราเดินไปจนเจอห้องเป้าหมาย แต่ให้น่าแปลกใจ ห้องไม่ได้ล็อค เรา2คนคิดว่าพี่ต๋องคงมาเปิดเอาไว้แล้ว หนิงผลักประตูเข้าไป พบห้องนั่งเล่น มีเก้าอี้รับแขกชุดไม้วางอยู่ หนิงยังหันไปบอกออยเลยว่า ห้องIM มีโต๊ะรับแขกด้วยเว้ยเฮ้ย  ออยจัดแจงเดินไปเปิดห้องนอน หวังจะจัดการเปิดแอร์ให้ช่ำก่อนนอน แต่ไม่ทันที่หนิงจะวางกระเป๋าดี เสียงกรี๊ดลั่นของออยก็ดังแสบแก้วหู พร้อมเห็นออยวิ่งโกยตีนหมาแน่บออกจากห้องโดยไม่พูดอะไร หนิงมองเข้าไปในห้องต้นเหตุเพียงแว้บ ก็เห็นแสงจากทีวีฉายออกมา ‘เอาละสิมึง ตัวอะไรในนั้นวะ’ เร็วเท่าความคิด หนิงก็ถูกสิงด้วยหมาอีกตัววิ่งตามออยมาติดๆ ด้วยไม่ลืมคว้ากระเป๋าติดมือมาด้วย เราสองคนวิ่งไปตั้งหลักตรงบันได  หนิงตะโกนถามออยว่าอะไร  ออยหยุดละล่ำละลักบอกว่ามีคนอยู่ในห้อง ในใจหนิงคิดว่า คนนะไม่กลัว  กลัวมันจะไม่ใช่คนอะดิ  แต่ไม่ทันไร ประตูห้อง ก็เปิดออกทันที ชายหนุ่มสวมเสื้อกล้ามเดินออกมา เขาเองก็มีท่าทางหวาดกลัวเราอยู่เหมือนกัน  ในใจหนิงคิดว่า ผีอะไรวะทำท่ากลัวคน  แต่คิดไปคิดมา นั้นน่าจะเป็นคน  ว่าแล้วหนิงก็ชูกุญแจ เหมือนชูพระเวลาเจอผีไม่มีผิด แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างช้าๆ เขาเองก็ชูกุญแจให้เราดู  ‘เฮ้ย เลขเหมือนกัน’  แต่ถ้าดูดีๆ มันจะมี เลขที่ไม่เหมือนกันอยู่ชุดหนึ่ง เลขนั้นเองเป็นเลขแสดงว่าตึกไหน เพราะมีอยู่ 3ตึก ชายหนุ่มชี้ให้รู้ว่า ‘แกแหละมาผิดห้อง ของแกอยู่ตึกโน่น’ นั้นไง โดนด่าซะแล้ว  ว่าแล้วหนิงกับออย ก็หอบข้าวของพะรุงพะรังลงไปชั้นล่าง เพื่อเปลี่ยนตึก แล้วเราก็ปีนขึ้นไปชั้น3ของอีกตึก ดีนะที่วันนั้นเราไม่ได้ปั่นกันมากมาย ไม่อย่างนั้นคงนอนตายคาบันไดกันแน่ 

หนิงกับออยกล้าๆกลัวๆที่จะไขกุญแจเข้าห้อง แต่แล้วเมื่อเราเข้าไป ‘โอ้ สวรรค์ชัดๆ’ ห้องที่สวยงามพร้อมส้วมนั่งที่แสนสบาย  เราไม่ต้องอยู่โรงเตี๊ยมแบบนั้น ช่างดีอะไรอย่างนี้ เสียงสรรเสริญพี่ต๋องดังขึ้นถนัดใจ คืนนั้นเรานอนหลับกันอย่างมีความสุขสงบ วันรุ่งขึ้นไม่ต้องปั่นแล้ว สบายใจจริงๆ  

รุ่งเช้า วันแห่งการนั่งรถอีกวัน

วันนี้เราไม่ต้องปั่นจักรยาน เพราะพี่เยาว์กลัวว่าจะทำให้เราเสียเวลา  ก็อย่างที่บอก เพราะมีงานวันชาติ ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปนอนเชียงรุ้งได้ เราเลยเลือกที่จะไปนอนเมืองชายแดนกันเลย เมืองที่ว่าชื่อเมืองหล้า ครั้งที่เรามาปั่นกันครั้งแรกที่เมืองจีน เราเคยไปนอนเมืองนี้กันมาแล้ว

หลังอาหารเช้า หนิงกับออยแอบอวดพี่ๆว่า เมื่อคืนได้นอนบนสวรรค์ จนเป็นที่อิจฉากับผู้ฟังทั้งหลาย ถึงกับต้องเปิดห้องให้เข้าชมทีเดียว เช้านั้น ออยบอกเป็นการเข้าห้องน้ำที่มีความสุขจริงๆ

พวกเราเข้าประจำที่นั่งรถกันแต่เช้า บรรยากาศในรถดูจะครึกครื้นกว่าหลายๆวัน เพราะตอนนี้นักปั่นต้องมานั่งแง็กกันเป็นแถว  เสียงพี่พงษ์ชวนร้องเพลงแก้เซ็ง  เพลงนี้เราร้องกันหลายหนแล้ว และก็ได้ผล แก้เซ็งเป็นพักๆ และที่แก้เซ็งได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการเล่นไพ่  จะว่าไปคนไทยกับการเล่นไพ่ ถึงจะไม่จัดขนาดคนจีน แต่ก็เป็นของคู่กันชนิดหนึ่งทีเดียว  เราเล่น สลาฟกันแก้ขัด เสียงกิ๊ฟเฮตลอดเวลา เพราะไม่ต้องนั่งเหงา อยู่บนรถคนเดียว เพราะยาหยีอย่างพี่บี๋มาร่วมอยู่ในรถด้วย

เหตุการณ์ระหว่างทางไม่มีอะไรที่แตกต่างจากการปั่นผ่านทุกวัน แต่ที่แปลกใจก็ยังไม่พ้นเรื่องห้องน้ำ  หลายครั้งที่ได้ยินจากหลายคนว่าห้องน้ำเมืองจีนดีขึ้นแล้ว นั้นอาจจะแค่ในเมือง  แต่นอกเมืองก็ยังเหมือนอย่างคำเล่าลือคือ ส้วมแย่  เริ่มจากส้วมปั๊ม  ที่นี้สาวๆมีความหวังว่าหลังจากนั่งรถกันหลายชั่วโมง  เราไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปปลดทุกข์กันอีกต่อไป แต่ที่ไหนได้ ห้องน้ำหญิง 5ห้อง ต่างไม่มีประตูปิดกั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด และสิ่งที่ไม่คาดคือ กองทองคำที่ปรากฎอยู่ทุกห้อง เป็นคำถามว่าทำไมเขาไม่คิดจะชักโครกทิ้งหรือไร  แต่เสียเวลาหาคำตอบ สาวๆต่างเดินคอตกไปหลังปั๊ม เพื่อหาพุ่มไม้ส่วนตัวทำธุระกันไป  ยอมให้หนุ่มจีนแอบดูดีกว่า ฉี่ทับขี้ชาว บ้าน แต่พี่หลายคนก็กล้าหาญที่จะเขาส้วมเมืองจีน นอกจากส้วมปั๊มที่ทำให้เราผิดหวัง  ส้วมในร้านขายชา ก็ไม่ทำให้เราขุ่นมัวไปได้ จะบรรยายให้ฟังว่ามันไม่ได้ต่างกัน แต่ดีกว่าส้วมปั๊มยังไง  ร้านขายชาที่ว่าเป็นร้านใหญ่พอควร ดูแล้วน่าจะมีลูกค้าแวะเป็นประจำ หนิงทำการเดินสำรวจห้องน้ำแล้วพบว่า ห้องน้ำมีจำนวน 6-7ห้อง โดยแต่ละห้องไม่มีประตูเหมือนเคย ทางเข้าด้านหน้า มีผนังกั้นกันชายหนุ่มเห็น ส่วนไฟในส้วมนั้นไม่มีสักห้อง ห้องแรกๆจึงสว่างพอจะมองเห็นว่ามีอะไรบ้าง หนิงเดินสำรวจแต่ละห้อง แล้วรู้สึกพอใจ กำลังนิยมชมชอบเจ้าของร้านว่าดูแลดีมาก แต่เมื่อเข้าไปห้องในๆ ที่แสงเริ่มจะจางลง สายตาที่เพ่งพินิจมากขึ้นมองไปเห็นกองทองในแต่ละห้อง จึงนับได้ว่า ห้องน้ำใช้ได้จริง แค่ 2ห้องแรกเท่านั้น โดยการคาดเดา หนิงว่าพวกทุกข์หนักใช้วิธีอำพรางตัวกับความมืด ดังนั้นห้องในๆที่แสงน้อยๆจึงได้รับการจับจองเป็นที่เรียบร้อย   หนิงตัดใจเข้าห้องที่ 2 อย่างน้อย แสงก็ไม่จ้ามาก คงจะเห็นได้รางๆ มองหันรีหันขวางว่าจะเอาหน้าออกดีหรือหลังออกดี เลยตัดสินใจหันหน้าเข้ากำแพงดีกว่าแล้วหันตูดออกสู้แสงแดดแทน ใครเข้ามาก็ได้ยลก้นกันไป ไม่ต้องมามองหน้าให้รู้สึกอาย และธุระส่วนตัวของหนิงก็สำเร็จแต่โดยดี  หนิงเดินออกมาแจ้งข่าวพี่ๆน้องๆ ให้เข้าไปใช้บริการห้องน้ำกันได้  พี่ๆทยอยกันเข้าห้องน้ำ แล้วไม่นานนัก เสียงกรี๊ดก็ดังลั่นอีกครั้ง เป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ออย เสียงขำปะปนออกมาจากส้วม ออยวิ่งหนีหน้าเริ่ดออกมาอีกครั้ง แล้วก็อดขำไม่ได้ เมื่อออยเล่าว่ากำลัง จะเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินผ่านผนังกั้นเข้าไป ออยก็สบตากับพี่ปันหยา ที่กำลังทำธุระอยู่ห้องที่ 2นั้นเอง พี่ปันหยานั่งหันหน้าออกสู่โลกกว้าง เมื่อตาสบตา พี่ปันหยาส่งยิ้ม แล้วบอกออยว่า ‘ มาน้องมาเข้าห้องน้ำกัน’ แต่ออยด้วยความตกใจที่ไม่คิดว่าจะเจอใครในส้วม ก็วิ่งป่าราบออกมาทันที ตอนนี้ประเด็นถกเถียงก็เกิดขึ้นว่า ตกลง เราควรนั่งหันหน้าออก หรือหันหลังออกมากันแน่

คืนนั้นเราถึงเมืองหล้าก็เย็นนัก จนไม่มีเวลาได้สำรวจเมืองเท่าไหร่ จากเมืองหล้าอีกไม่ไกลนักก็จะถึงชายแดนลาว  วันรุ่งขึ้นจึงมีนักปั่นที่ยังคันๆ ขอปั่นอีกสักหน่อย ถึงแม้ระยะไม่มากนัก แต่ไหนๆก็มาแล้ว พี่วัชเป็นผู้นำทางให้เราเอง ตะมีพี่บี๋ที่ไม่ขี่ต่อ เพระาว่าจะนั่งรถไปกีบกิ๊ฟ

เช้าวันสุดท้ายของทริป

เช้านี้พวกนักปั่นต้องออกก่อนชาวรถตู้อย่างเคย  แต่ก่อนที่เราจะออก เราเจอคณะจักรยานจากเมืองไทย โดยพี่ที่เป็นหนุ่มล้วน ปั่นกันมาจากเชียงของ มาทางหลวงน้ำทา โดยเป็นเส้นทางที่เราเข้าจีนเหมือนกัน เพียงแต่เขาปั่น ส่วนเรานั่งรถ พี่ๆเขาเล่าว่าพักกันกลางทางมาเรื่อยๆ ค่ำไหนหาที่นอนดีๆได้ก็นอน ที่ไหนไม่ได้ ก็นอนเต็นท์กันไป   หรือไม่ก็ขอชาวบ้านนอน เป็นการผจญภัยแบบลูกผู้ชายจริงๆ นอกจากรถทัวร์ริ่งที่พี่ๆเขาปั่นกัน เรายังเห็นรถพับคันนึงทำเป็นทัวริ่ง แบกทุกอย่างมาอย่างไม่ยี่หระ

หลังพูดคุยทักทาย และอวยพรกันและกันแล้ว เราก็เริ่มปั่นกันออกยอกเมือง วันเส้นทางไม่มีเขาสูง แต่ก็มีขึ้นเขาบ้างเป็นธรรมดา  ระยะทางวันนี้แค่ 40กว่ากิโล เป็นเส้นทางที่ผ่านหมู่บ้าน อันที่จริงถ้าเป็นรถยนตร์ เขาจะให้วิ่งทางหลวง เป็นเส้นที่ตัดลอดเขาหลายเขามุ่งตรงไปชายแดนทีเดียว
บ้านชาวนา
แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้จักรยานขึ้นไปปั่นบนนั้น แต่เราเองก็เคยขโมยปั่นบางช่วงในครั้งแรกที่เรามาปั่นกันที่สิบสองปันนา  เราปั่นไปได้ประมาณพอประมาณก็มีอุบัติเหตุนิดหน่อย พวกเราปั่นตามๆกันอยู่ดีๆ ออยก็ล้มลง โดยไม่มีใครทันสังเกต แต่ออยก็ไม่เป็นอะไรมาก เพราะเราปั่นกันไม่เร็ว  พอไปได้สักครึ่งทาง ยางพี่หมูก็แตก ต้องจอดปะยางกัน หนิงกับออยเลย เดินหาสุมทุมพุ่มไม้เขาไปทำสัญลักษณ์กันสุดชีวิต

เส้นทางเส้นนี้เราเคยปั่นผ่านกันครั้งหนึ่ง เมื่อเราป่ันมาสิบสองปันนาในครั้งแรก เส้นทางร่มไปด้วยต้นไม้ มีเขาน้อยๆเป็นระยะพอให้ได้ออกแรง รถน้อย เพราะเป็นเส้นทางชนบทที่ตัดผ่านระหว่างหมู่บ้าน ทิวทัศน์ต้นยางบนเขาชวนให้ระทึกสุดๆกับความยิ่งใหญ่ของเมืองจีน

ไม่นานเกินไป เราก็ปั่นออกถนนใหญ่ หนิงจำได้ว่าระหว่างทางเห็นหนุ่มบ้า แก้ผ้าอยู่ริมถนน ดีที่ว่า สาวๆมัวแต่จดจ่อกับการปั่น ไม่งั้นไม่ใครก็ใครได้ใจแตก หยุดดูหนุ่มบ้านั้นแน่ๆ

เส้นทางใกล้ชายแดน พวกเราเห็นอารยะธรรมที่แผ่ซ่านของภาษาไทยมาถึงนี้ด้วย ป้ายต้อนรับ ลาก่อน เป็นภาษาไทยมีให้เห็น ทำให้รู้ว่า นักท่องเที่ยวไทย เดินทางมาเที่ยวเมืองจีนทางนี้กันเยอะมาก น่าปลื้มใจที่เราแผ่อำนาจทางภาษามาได้ไกลขนาดนี้ ริมชายแดนก็เหมือนกันทุกท่ี มีตลาด ขายของหลอกเด็กไปเรื่อย เราเดินไปซื้อผลไม้กินแก้เซ้งก่อนที่รถแม่บ้านจะตามมาทัน จากนี้ไปเราต้องนั่งรถกันอีกครั้ง เส้นทางจากบ่อเต็งไปห้วยทราย เป็นเส้นทางที่เรายังไม่เคยพิชิตกันสักครั้ง พี่ไกด์ใฝ่ฝันที่จะปั่นเส้นนี้มาก เพราะเส้นทางนี้เป็นทางขึ้นลงเขา ตลอดเส้นทาง และที่สำคัญ เมืองระหว่างทางที่น่าพักคือ หลวงน้ำทา เป็นเมืองที่อาหารการกินสมบูรณ์ ไม่แออัดมากกับนักท่องเที่ยว ตอนเย็นมีตลาดคนเดินเล็กๆ มีอาหารพื้นเมือง ที่สำคัญไก่ย่างเมืองนี้อร่อยเป็นบ้า อร่อยขนาดอยากกลับไปกินเลยที่เดียว  แต่ก็อีกละ คนอดๆอยากๆมาหลายวัน พอเจอไก่ย่างกับ เบียร์ลาวเข้าไปเนี้ย อะไรๆก็คิดว่าเป็นสวรรค์แน่ๆ

หลังทริปนี้ เราหลายคนอดคิดถึงมันไม่ได้ หลายคนอยากลองทัวร์ริ่งแบบเต็มรุปแบบ บางคนยังติดใจการปั่นแบบมี supporterอยู่ แต่สำหรับหนิง การปั่นทัวร์ริ่งเต็มรูปแบบเป็นความฝันที่มีมานาน  และเป็นฝันที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ

ต่อจากนี้ไปฝันที่หนิงรอคอยกำลังกลับมาอีกครั้ง กลับมาพร้อมคนที่จะเดินไปด้วยกัน ฝันไปด้วยกัน และทำให้มันเป็นจริงไปด้วยกัน

นางฟ้า