วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่6 สูงสุด คืนสู่ ขามันส์

                  ปั่นเที่ยวเมืองจีน  ตอนที่6 สูงสุด คืนสู่ ขามันส์


หลังจากพวกเราปั่นกันสะบักสะบอมจากเมื่อวาน เราได้นอนที่โรงแรมบนยอดเขา ซึ่งก็เป็นโรงแรมที่น่าอยู่ที่หนึ่งในทริปนี้ เพราะเราไม่ต้องเจอส้วมหลุมอีก ไม่ต้องลำบากลำบนนั่งย่องๆให้กล้ามเนื้อขามันล้ามากขึ้น นอกจากส้วมดีๆแล้ว ยังมีวิวงามๆรออยู่ตอนเช้า ตื่นมากะว่าเราจะได้ ชมพระอาทิตย์ขึ้น เป็นภาพสวยงามประทับใจ ถึงแม้ว่าตอนเช็คอินเขามาจะขลุกขลักเพราะโรงแรมกำลังทำระบบน้ำใหม่
คืนนั้นอากาศเย็นมาก เราหลับไปพร้อมความล้าที่เขามาจับตามร่างกายของเรา นอนฝันดีกันถ้วนหน้า
ทิวเขาที่รายล้อมไปด้วยนาขั้นบันได

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พวกเราหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ได้ยินเสียงเด็กน้อยจากห้องต่างๆให้คึกคักไปหมด   หวังจะดูพระอาทิตยขึ้น์ แต่เรากลับเห็นเพียงแค่แสงรำไร ที่เกิดจากหมอกหนายามเช้า หลังจากเราส่องหาพระอาทิตย์กันพอประมาณแล้วก็พบว่า วันนี้พระอาทิตย์อายหลบอยู่หลังเมฆหมอก แล้วเราก็ต้องเก็บกระเป๋ากันอีกรอบ วันนี้จัดเป็นวันสบายของพวกเรา เพราะได้ยินว่าไหลลงอย่างเดียว 34กิโลเมตร  แล้วไปขึ้นรถ วันนี้เราจะนั่งรถไปอีกเมือง เป็นการย่นระยะทาง เพราะเวลาดูจะไม่พอสำหรับวันพักร้อนของเรา

หลายคนดูจะยินดี อย่างแม่บ้านทั้งหลาย เพราะเริ่มเบื่อแล้วที่ต้องนั่งรถกันทั้งวัน  ส่วนนักปั่นถึงแม้ว่าจะไม่ต้องลำบาก แต่อีกใจก็ยังอยากจะนั่งกันบนอานมากกว่านั่งอยู่บนเบาะในรถบัส แล้วโดนเหวี่ยงไปมาจากการทิ้งโค้งของคนขับรถ แต่นั้นพวกเราก็เลือกไม่ได้แล้ว เช้านั้นอากาศเย็นจับปลายประสาท หนิงใส่เสื้อหลายชั้นเพราะรู้ว่าลงอย่างเดียวอย่างนี้ มีหวังเจอลมแรงๆ พัดผมกระจุยกระจายแน่ เอาอุ่นๆตัวไว้ก่อนเป็นดี

รถถูกยกมารอหน้าโรงแรม เสียงพวกเราเจี๊ยวจ๊าวกันตามประสา เครื่องทำกาแฟของพี่เยาว์ได้ถุกเอามาใช้งานอีกครั้ง เป็นที่ถูกอกถูกใจคอกาแฟมาก  ท้องฟ้าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงดูจะสดใสเป็นพิเศษ น่าประหลาดที่ตลอดทริปที่ไปไม่เจอฝนเลยทั้งที่เป็นหน้าฝนแท้ๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ประหลาดนัก หนิงยืนแช่มชื่นกับการปั่นครั้งนี้มาก เพราะเป็นการมาเที่ยวที่เยียวยาหัวใจมากที่สุด เป็นเพราะก่อนหน้าไม่กี่วันที่หนิงได้ยินข่าวดีจากคนเคยนิยมว่ากำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นข่าวน่ายินดีสำหรับเขา แต่สำหรับหนิงกลับเซไม่เป็นท่า เพราะฉะนั้นการมาออกทริปหนนี้คือการมาเพื่อลืมเธอที่ดีที่สุด และมันก็ทำให้หนิงลืมได้สำเร็จ ‘ถึงแม้ไม่มีเธอ ฉันก็อยู่ได้’ พี่ๆน้องๆทุกคนในทริป สร้างความเฮฮาตลอดการปั่น จนมันทำให้หนิงรู้สึกว่า เวลามันก้าวไปข้างหน้า มันไม่เคยถอยหลังกลับ มันมีแต่สิ่งแปลกใหม่รอเราอยู่ หนิงหายใจเข้าช้าๆ รับเอาอ๊อกซิเจนเข้าเต็มปอด พวกเสือหนุ่มยืนเช็ครถกันให้เกะกะ  เมื่อปอดเต็มไปด้วยออกซิเจน ก็เป็นช่วงผ่อนคลาย หนิงก้มต่ำลงมองไปที่รถจักรยานของตัวเอง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง หนิงพบว่า รถจักรยานของหนิงมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น  ไอ้ชิ้นที่ว่าเนี้ย มันมีไว้ทำไรกันนะ มองๆดู เหมือนว่ามันมาเพื่อสร้าง Balanceในการลงเขา  แต่ดูอีกที น้ำหนักมันไม่น่าจะน้อยสักเท่าไหร่  หนิงเดินเข้าไปใกล้ เพื่อพิจารณาเจ้าสิ่งที่ว่า ‘ก้อนหิน’ นี้หว่า ‘ใครกันวะกล้าดีจริงเอาก้อนหินก้อนยักษ์มาวางตรงแง่งเฟรมรถตู’  ไม่ต้องถามให้มากความ คำตอบมีอยู่ในใจ ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่รักพี่ชั่งของหนิงนั้นเอง ‘พี่ต๋อง’ หนิงเดินไปหยิบหินออก พร้อมเดินไปหาพี่ต๋อง สิ่งแรกที่ได้ยินคือคำปฏิเสธ แน่นอน พี่ต๋องย่อมทำให้หนิงไขว้เขว นึกไปเป็นคนอื่น แต่เห็นจะไม่สำเร็จ เพราะระหว่างเราสองคน มีรอยแค้นต่อกันและกัน เพราะเมื่อวานหนิงและออยร่วมมือกันกลั่นแกล้งพี่ต๋อง แต่ด้วยออยเป็นศิษย์ที่ปั้นมากับมือ จะไปแกล้งศิษย์ ศิษย์ก็คงจะย้ายสำนักหนี พี่ต๋องกลัวจะไม่มีศิษย์ก้นกุฏิ เลยจัดการหนิงแทน  โชคดีที่พระคุ้มครอง ไม่อย่างนั้น ถ้าหนิงทะเล่อทะล่าปั่นลงไปพร้อมก้อนหิน คงฮาชนิดดูไม่จืดแน่ๆ หนิงต่อว่าต่อขานพี่ต๋อง พอหอมปากหอมคอ อย่างน้อยพี่จะได้รู้ว่าน้องรู้นะ ฮึ ฮึ

หัวหน้าทริป พี่เยาว์ บอกให้เราไหลจักรยานลงไปกิน ขนมจีนข้ามสะพานที่อร่อยที่สุดในเมือง เราไหลลงมาไม่ไกลนัก ขนมจีนร้านนี้น่าจะอร่อยจริง ดูจากลูกค้าที่ผลัดหน้ากันเข้าออกร้าน รวมทั้งเครื่องเคราที่กองอยู่เต็มหน้าเตา เราสั่งมาคนละชาม ชามใหญ่มากๆ ไม่มีผิดหวัง เพราะอร่อยสมคำร่ำลือ น้ำซุปร้อนๆ กับเส้นที่ขดกันเต็มชาม หมู หมา กาไก่ ที่ใส่ให้มาก็ใช่ย่อยซะที่ไหน เราอิ่มแปร้แบบไม่กลัวทะลัก เพราะอย่างที่บอกในตอนแรกว่า เราไหลลงอย่างเดียว

หลังจากเสร็จพิธีการกิน ขบวนจักรยานก็เริ่มออกตัว ถึงเราจะไหลกันยังไง รถยนต์ก็คงไปถึงก่อนพวกเราแน่ๆ ก่อนเราจะจากลา เราไหลไปดูกลางเมืองซึ่งเป็นทางผ่าน ผู้คนเยอะแยะไปหมด เมืองนี้ อยู่ในจังหวัด ฮงเฮอ เป็นเมืองที่มีม้งแดงอยู่เยอะที่สุด และเป็นเมืองที่มีบุหรี่ที่มีชื่อเสียงในแถบนั้น

เราเริ่มปล่อยไหลจากเบื้องบนกันมาทีละคน ใครชอบความเร็วก็ลงไปก่อน  ใครหวั่นๆ ก็ลงทีหลัง โดยมีพี่วัช ปิดท้ายให้ ออยกับหนิงสมัครใจอยู่หลัง เพราะขืนไปอยู่ข้างหน้า เราคงเกะกะขามันส์กันแน่ๆ
ลมปะทะหน้าอีกครั้ง เย็นจับใจ แต่หนิงต้องคุมรถและสมาธิให้แน่วแน่ เสื้อที่ใส่มาหลายชั้น ช่วยได้อยู่ ถึงแม้จะเย็น ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าแข็งจนทำอะไรไม่ได้ ทักษะต่างๆถูกนำมาใช้ เอียงซ้าย ขวา ตามโค้ง ยกเท้าขนานพื้นเวลาเข้าโค้ง หรือแม้แต่ก้มลง เพื่อให้ไหลลงเร็วขึ้น

ชาวนากำลังเก็บข้าว
หนิงยังพอได้มองวิวข้างทาง ยังเห็นนาขั้นบันไดบ้าง และหนิงก็หยุดถ่ายรูป เก็บไว้เป็นที่ระลึก หลังจากวินาทีนั้น ขามันส์ทั้งหลาย ก็เทโค้งลงเขากันเป็นว่าเล่น อากาศหนาวเย็นค่อยๆ เปลี่ยนไป ความร้อนเริ่มมาปะทะใบหน้า ปนเป กับความเย็นที่หลงเหลือ  ความเร็วเริ่มลดลง แต่อาการไหลยังคงมีต่อเนื่อง เบรคที่กำปล่อย กำปล่อย ค่อยคลายความถี่ มือไม่เกร็งเหมือนเมื่อตอนไหลลงมาแรกๆ น้ำในกระติกยังไม่ลดปริมาณ เพราะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยจากการออกแรงใดๆ รถบรรทุกแม่บ้านผ่านไป เสียงเชียร์จากหน้าต่างรถตะโกนโวกเวก  เสียงวอบอกทางเป็นระยะ จนในที่สุดก็หายไป เพราะระยะที่ไกลเพิ่มมากขึ้น เราเริ่มออกแรงถีบบันไดจักรยานหลังจากลงมานานจนเมื่อย ทางเหมือนจะราบ แต่ยังมีแรงส่งท้าย ทั้งถีบ ทั้งส่ง จักรยานของเราก็วิ่งเร็วเหนือคำบรรยาย เกือบๆจะถึงเมือง เราก็ได้ยินเสียงวออีกครั้ง แต่ด้วยความที่ฟังได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง หนิงและพี่หลายคนที่ตามมาก ก็ปั่นเลยรถที่จอดรอ ทำให้เราต้องปั่นทะลุเมืองเพื่อเลี่ยงความแออัด เพราะเราต้อง เอาจักรยานขึ้นรถบรรทุก เราจบการปั่นที่ตรงนี้ หลายคนยังอยากปั่นต่อ แต่ด้วยเวลาและเส้นทางที่เรากำหนดทำให้เราต้องมานั่งรถแทน  จากนี้ไป เราต้องนั่งรถกันอย่างทรหดอดทน เพื่อจะไปข้ามแดนกลับลาวในวันมะรืน ตอนแรก เราวางแผนจะไปเชียงรุ้งกัน แต่เนื่องจากว่าเป็นช่วงเทศกาลวันชาติประจำปี เราเลยถูกระงับเนื่องจากผู้คนมากมาบกายกองที่กำลังมุ่งหน้าไปเที่ยวในเมือ
เพราะไม่อย่างนั้น เราคงติดอยู่เมืองจีนอีกหลายวัน ไม่ต้องได้กลับมาทำมาหากินกันทีเดียว

เรานั่งกันมาเรื่อยๆ โดยตั้งใจจะไปนอนที่เมืองซือเหมา แต่ด้วยความที่เส้นทางเล็ก และหลงทาง เราเลยไปนอนหยวนเจียงแทน แต่กว่าจะถึง เราต้องจอดรถข้างทางถึง 2ครั้ง 2ครา เพราะเบรคที่ร้อนเกินไป อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และแล้วอุบัติเหตุก็เกิดจนได้ เมื่อรถจอดรอเบรคข้างทางในที่มืดมิด ไม่มีแสงพระจันทร์ส่องทาง แสงดาวที่ส่องประกายทั่วฟ้าก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ พวกผู้หญิงได้ทีอาศัยความมืด เข้าห้องน้ำตามริม ทาง ส่วนชายหนุ่ม เป็นเรื่องธรมดาอยู่แล้วสำหรับห้องน้ำข้างถนน เราออกมายืดเส้นยืดสายกันหลังจากนักรถทรหดอดทนกันมานาน ถ้าไม่นับมื้อเที่ยงที่เราได้ออกจากรถ เห็นทีพวกเราก็นั่งกันนานนับเป็นหลายชั่วโมงกันทีเดียว 

ในขณะที่กำลังยืนเล่นกันรอบรถ เสียงกิ๊ฟ ภรรยาสาวที่ติดตามพี่บี๋มาเป็นกองเชียร์ ร้องโวยวายว่าผ้าปิดหน้าที่สามีสุดที่รักซื้อให้ตกลงไปข้างทาง พวกเราเอาไฟฉายส่องกันทั่วๆ ก็เห็นผ้าลายธงชาติไทยผืนน้อย ติดอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ  พวกเราสาวๆ บอกกิ๊ฟว่าทำใจเถอะแก ลึกขนาดนั้นใครจะลงไปเก็บให้ ‘ลืมๆมันไปซะเถอะกิ๊ฟ’  ‘ซื้อใหม่เถอะแก’ พวกเราช่วยกันปลอบโยนเป็นการใหญ่ เสียงกิ๊ฟดูจะงอแงยกใหญ่ ไม่ทันที่ใครจะตั้งตัว พี่บี๋ก็เดินมาทันพอจะได้ยินเหตุการณ์  เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อพี่บี๋เดินก้าวลงข้างทาง หวังจะเอื้อมมือ ไปหยิบผ้าให้ภรรยารัก พวกเราร้องห้ามแต่ไม่ทัน เลยช่วยกันส่งมือจับแขนพี่บี๋ไว้กลัวจะตกไปพร้อมกับผ้าผืนน้อยนั้น ไม่นานเกินอึดใจ พี่บี๋ก็คว้าผ้าผืนน้อยให้ภรรยารักได้สำเร็จ ทันทีที่ส่งผ้าให้ พี่บี๋ก็เดินจากกิ๊ฟไปในความมืด พวกเราสงสัยว่าท่าทางจะมีเคือง แต่กิ๊ฟดูจะภูมิใจกับสามีที่แสนดีมาก ถึงกับออกปากเรียก ‘ผัวเทวดา’ ทีเดียว  ว่าแล้วกิ๊ฟก็วิ่งจู๊ดตามพี่บี่ไปในความมืด

สักพัก พวกสาวๆที่ยืนดูเหตการณ์ในช่วงแรกก็ได้ยินเสียงเฮลั่น พอวิ่งไปดูก็พบว่ากิ๊ฟกำลังยกมือขอโทษขอโพยพี่ไกด์เป็นยกใหญ่ เลยสอบถาม ได้ความว่า ขณะที่สาวเจ้ากำลังวิ่งตามสามี ก็มาปะชายหนุ่มยืนอยู่ข้างรถ แต่ยังไม่ทันได้ดูตาม้าตาเรือ สาวเจ้าก็สวมกอดชายหนุ่มให้ทันที ทุกคนได้แต่อึ่ง เพราะหนุ่มที่สาวเธอกอด กลายเป็นพี่ไกด์ น้องชายพี่บี๋ที่มีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก ภรรยาพี่ไกด์เองก็ยืนงงอยู่ข้างๆ พอรู้ตัว กิ๊ฟถึงกับเสียเซล์ฟเอาอย่างแรง พี่บี๋เองพอมารู้ก็อดขำความเปิ้นของเมียตัวเองไม่ได้ พวกเราได้ขำกันทั้งน้ำตาของความเปิ่นของกิ๊ฟ  กิ๊ฟถึงกับขอร้องไม่ให้หนิงเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง  แต่มันเป็นเรื่องที่อดไม่ได้ อีกอย่างมันเป็นอบัติเหตุขำๆที่ทำให้หลายคนหายเครียดจากคืนนั้นไปได้

หลังจากเราขำกันอย่างสาหัสกันแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงโรงแรมที่พัก เมืองที่เราพักชื่อเมือง หยวนเจียง เมืองนี้เป็นเมืองที่มีโรงงานบุหรี่ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเสียภาษีให้จีนมากที่สุดด้วย ก็คงเพราะบุหรี่นั้นละ ส่วนเกษตรกรรมที่ทำคือ ปลูกมะม่วง และกล้วยส่งไปยังมณฑลต่างๆ
อีกมุมของนาขั้นบันได

ที่โรงแรมแห่งนี้ มีเรื่องได้ฮาก่อนนอนอีกครั้ง หลังจากเรากินข้าวเสร็จ เราก็รับกุญแจ เพื่อขึ้นห้อง หนิงกับออย ได้นอนห้องข้างล่างเหมือนกับคนอื่นๆ แต่พี่ต๋องและครอบครัว ได้ห่้องชั้น 3 ด้วยความที่สัมภาระพี่ต๋องมากมาย พี่ต๋องเลยขอแลกห้องกับ 2สาว ซึ่ง เราก็ยินดี หนิงกับออย แบกข้าวของเดินขึ้นชั้น 3 เราเดินไปจนเจอห้องเป้าหมาย แต่ให้น่าแปลกใจ ห้องไม่ได้ล็อค เรา2คนคิดว่าพี่ต๋องคงมาเปิดเอาไว้แล้ว หนิงผลักประตูเข้าไป พบห้องนั่งเล่น มีเก้าอี้รับแขกชุดไม้วางอยู่ หนิงยังหันไปบอกออยเลยว่า ห้องIM มีโต๊ะรับแขกด้วยเว้ยเฮ้ย  ออยจัดแจงเดินไปเปิดห้องนอน หวังจะจัดการเปิดแอร์ให้ช่ำก่อนนอน แต่ไม่ทันที่หนิงจะวางกระเป๋าดี เสียงกรี๊ดลั่นของออยก็ดังแสบแก้วหู พร้อมเห็นออยวิ่งโกยตีนหมาแน่บออกจากห้องโดยไม่พูดอะไร หนิงมองเข้าไปในห้องต้นเหตุเพียงแว้บ ก็เห็นแสงจากทีวีฉายออกมา ‘เอาละสิมึง ตัวอะไรในนั้นวะ’ เร็วเท่าความคิด หนิงก็ถูกสิงด้วยหมาอีกตัววิ่งตามออยมาติดๆ ด้วยไม่ลืมคว้ากระเป๋าติดมือมาด้วย เราสองคนวิ่งไปตั้งหลักตรงบันได  หนิงตะโกนถามออยว่าอะไร  ออยหยุดละล่ำละลักบอกว่ามีคนอยู่ในห้อง ในใจหนิงคิดว่า คนนะไม่กลัว  กลัวมันจะไม่ใช่คนอะดิ  แต่ไม่ทันไร ประตูห้อง ก็เปิดออกทันที ชายหนุ่มสวมเสื้อกล้ามเดินออกมา เขาเองก็มีท่าทางหวาดกลัวเราอยู่เหมือนกัน  ในใจหนิงคิดว่า ผีอะไรวะทำท่ากลัวคน  แต่คิดไปคิดมา นั้นน่าจะเป็นคน  ว่าแล้วหนิงก็ชูกุญแจ เหมือนชูพระเวลาเจอผีไม่มีผิด แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างช้าๆ เขาเองก็ชูกุญแจให้เราดู  ‘เฮ้ย เลขเหมือนกัน’  แต่ถ้าดูดีๆ มันจะมี เลขที่ไม่เหมือนกันอยู่ชุดหนึ่ง เลขนั้นเองเป็นเลขแสดงว่าตึกไหน เพราะมีอยู่ 3ตึก ชายหนุ่มชี้ให้รู้ว่า ‘แกแหละมาผิดห้อง ของแกอยู่ตึกโน่น’ นั้นไง โดนด่าซะแล้ว  ว่าแล้วหนิงกับออย ก็หอบข้าวของพะรุงพะรังลงไปชั้นล่าง เพื่อเปลี่ยนตึก แล้วเราก็ปีนขึ้นไปชั้น3ของอีกตึก ดีนะที่วันนั้นเราไม่ได้ปั่นกันมากมาย ไม่อย่างนั้นคงนอนตายคาบันไดกันแน่ 

หนิงกับออยกล้าๆกลัวๆที่จะไขกุญแจเข้าห้อง แต่แล้วเมื่อเราเข้าไป ‘โอ้ สวรรค์ชัดๆ’ ห้องที่สวยงามพร้อมส้วมนั่งที่แสนสบาย  เราไม่ต้องอยู่โรงเตี๊ยมแบบนั้น ช่างดีอะไรอย่างนี้ เสียงสรรเสริญพี่ต๋องดังขึ้นถนัดใจ คืนนั้นเรานอนหลับกันอย่างมีความสุขสงบ วันรุ่งขึ้นไม่ต้องปั่นแล้ว สบายใจจริงๆ  

รุ่งเช้า วันแห่งการนั่งรถอีกวัน

วันนี้เราไม่ต้องปั่นจักรยาน เพราะพี่เยาว์กลัวว่าจะทำให้เราเสียเวลา  ก็อย่างที่บอก เพราะมีงานวันชาติ ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปนอนเชียงรุ้งได้ เราเลยเลือกที่จะไปนอนเมืองชายแดนกันเลย เมืองที่ว่าชื่อเมืองหล้า ครั้งที่เรามาปั่นกันครั้งแรกที่เมืองจีน เราเคยไปนอนเมืองนี้กันมาแล้ว

หลังอาหารเช้า หนิงกับออยแอบอวดพี่ๆว่า เมื่อคืนได้นอนบนสวรรค์ จนเป็นที่อิจฉากับผู้ฟังทั้งหลาย ถึงกับต้องเปิดห้องให้เข้าชมทีเดียว เช้านั้น ออยบอกเป็นการเข้าห้องน้ำที่มีความสุขจริงๆ

พวกเราเข้าประจำที่นั่งรถกันแต่เช้า บรรยากาศในรถดูจะครึกครื้นกว่าหลายๆวัน เพราะตอนนี้นักปั่นต้องมานั่งแง็กกันเป็นแถว  เสียงพี่พงษ์ชวนร้องเพลงแก้เซ็ง  เพลงนี้เราร้องกันหลายหนแล้ว และก็ได้ผล แก้เซ็งเป็นพักๆ และที่แก้เซ็งได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการเล่นไพ่  จะว่าไปคนไทยกับการเล่นไพ่ ถึงจะไม่จัดขนาดคนจีน แต่ก็เป็นของคู่กันชนิดหนึ่งทีเดียว  เราเล่น สลาฟกันแก้ขัด เสียงกิ๊ฟเฮตลอดเวลา เพราะไม่ต้องนั่งเหงา อยู่บนรถคนเดียว เพราะยาหยีอย่างพี่บี๋มาร่วมอยู่ในรถด้วย

เหตุการณ์ระหว่างทางไม่มีอะไรที่แตกต่างจากการปั่นผ่านทุกวัน แต่ที่แปลกใจก็ยังไม่พ้นเรื่องห้องน้ำ  หลายครั้งที่ได้ยินจากหลายคนว่าห้องน้ำเมืองจีนดีขึ้นแล้ว นั้นอาจจะแค่ในเมือง  แต่นอกเมืองก็ยังเหมือนอย่างคำเล่าลือคือ ส้วมแย่  เริ่มจากส้วมปั๊ม  ที่นี้สาวๆมีความหวังว่าหลังจากนั่งรถกันหลายชั่วโมง  เราไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปปลดทุกข์กันอีกต่อไป แต่ที่ไหนได้ ห้องน้ำหญิง 5ห้อง ต่างไม่มีประตูปิดกั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด และสิ่งที่ไม่คาดคือ กองทองคำที่ปรากฎอยู่ทุกห้อง เป็นคำถามว่าทำไมเขาไม่คิดจะชักโครกทิ้งหรือไร  แต่เสียเวลาหาคำตอบ สาวๆต่างเดินคอตกไปหลังปั๊ม เพื่อหาพุ่มไม้ส่วนตัวทำธุระกันไป  ยอมให้หนุ่มจีนแอบดูดีกว่า ฉี่ทับขี้ชาว บ้าน แต่พี่หลายคนก็กล้าหาญที่จะเขาส้วมเมืองจีน นอกจากส้วมปั๊มที่ทำให้เราผิดหวัง  ส้วมในร้านขายชา ก็ไม่ทำให้เราขุ่นมัวไปได้ จะบรรยายให้ฟังว่ามันไม่ได้ต่างกัน แต่ดีกว่าส้วมปั๊มยังไง  ร้านขายชาที่ว่าเป็นร้านใหญ่พอควร ดูแล้วน่าจะมีลูกค้าแวะเป็นประจำ หนิงทำการเดินสำรวจห้องน้ำแล้วพบว่า ห้องน้ำมีจำนวน 6-7ห้อง โดยแต่ละห้องไม่มีประตูเหมือนเคย ทางเข้าด้านหน้า มีผนังกั้นกันชายหนุ่มเห็น ส่วนไฟในส้วมนั้นไม่มีสักห้อง ห้องแรกๆจึงสว่างพอจะมองเห็นว่ามีอะไรบ้าง หนิงเดินสำรวจแต่ละห้อง แล้วรู้สึกพอใจ กำลังนิยมชมชอบเจ้าของร้านว่าดูแลดีมาก แต่เมื่อเข้าไปห้องในๆ ที่แสงเริ่มจะจางลง สายตาที่เพ่งพินิจมากขึ้นมองไปเห็นกองทองในแต่ละห้อง จึงนับได้ว่า ห้องน้ำใช้ได้จริง แค่ 2ห้องแรกเท่านั้น โดยการคาดเดา หนิงว่าพวกทุกข์หนักใช้วิธีอำพรางตัวกับความมืด ดังนั้นห้องในๆที่แสงน้อยๆจึงได้รับการจับจองเป็นที่เรียบร้อย   หนิงตัดใจเข้าห้องที่ 2 อย่างน้อย แสงก็ไม่จ้ามาก คงจะเห็นได้รางๆ มองหันรีหันขวางว่าจะเอาหน้าออกดีหรือหลังออกดี เลยตัดสินใจหันหน้าเข้ากำแพงดีกว่าแล้วหันตูดออกสู้แสงแดดแทน ใครเข้ามาก็ได้ยลก้นกันไป ไม่ต้องมามองหน้าให้รู้สึกอาย และธุระส่วนตัวของหนิงก็สำเร็จแต่โดยดี  หนิงเดินออกมาแจ้งข่าวพี่ๆน้องๆ ให้เข้าไปใช้บริการห้องน้ำกันได้  พี่ๆทยอยกันเข้าห้องน้ำ แล้วไม่นานนัก เสียงกรี๊ดก็ดังลั่นอีกครั้ง เป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ออย เสียงขำปะปนออกมาจากส้วม ออยวิ่งหนีหน้าเริ่ดออกมาอีกครั้ง แล้วก็อดขำไม่ได้ เมื่อออยเล่าว่ากำลัง จะเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินผ่านผนังกั้นเข้าไป ออยก็สบตากับพี่ปันหยา ที่กำลังทำธุระอยู่ห้องที่ 2นั้นเอง พี่ปันหยานั่งหันหน้าออกสู่โลกกว้าง เมื่อตาสบตา พี่ปันหยาส่งยิ้ม แล้วบอกออยว่า ‘ มาน้องมาเข้าห้องน้ำกัน’ แต่ออยด้วยความตกใจที่ไม่คิดว่าจะเจอใครในส้วม ก็วิ่งป่าราบออกมาทันที ตอนนี้ประเด็นถกเถียงก็เกิดขึ้นว่า ตกลง เราควรนั่งหันหน้าออก หรือหันหลังออกมากันแน่

คืนนั้นเราถึงเมืองหล้าก็เย็นนัก จนไม่มีเวลาได้สำรวจเมืองเท่าไหร่ จากเมืองหล้าอีกไม่ไกลนักก็จะถึงชายแดนลาว  วันรุ่งขึ้นจึงมีนักปั่นที่ยังคันๆ ขอปั่นอีกสักหน่อย ถึงแม้ระยะไม่มากนัก แต่ไหนๆก็มาแล้ว พี่วัชเป็นผู้นำทางให้เราเอง ตะมีพี่บี๋ที่ไม่ขี่ต่อ เพระาว่าจะนั่งรถไปกีบกิ๊ฟ

เช้าวันสุดท้ายของทริป

เช้านี้พวกนักปั่นต้องออกก่อนชาวรถตู้อย่างเคย  แต่ก่อนที่เราจะออก เราเจอคณะจักรยานจากเมืองไทย โดยพี่ที่เป็นหนุ่มล้วน ปั่นกันมาจากเชียงของ มาทางหลวงน้ำทา โดยเป็นเส้นทางที่เราเข้าจีนเหมือนกัน เพียงแต่เขาปั่น ส่วนเรานั่งรถ พี่ๆเขาเล่าว่าพักกันกลางทางมาเรื่อยๆ ค่ำไหนหาที่นอนดีๆได้ก็นอน ที่ไหนไม่ได้ ก็นอนเต็นท์กันไป   หรือไม่ก็ขอชาวบ้านนอน เป็นการผจญภัยแบบลูกผู้ชายจริงๆ นอกจากรถทัวร์ริ่งที่พี่ๆเขาปั่นกัน เรายังเห็นรถพับคันนึงทำเป็นทัวริ่ง แบกทุกอย่างมาอย่างไม่ยี่หระ

หลังพูดคุยทักทาย และอวยพรกันและกันแล้ว เราก็เริ่มปั่นกันออกยอกเมือง วันเส้นทางไม่มีเขาสูง แต่ก็มีขึ้นเขาบ้างเป็นธรรมดา  ระยะทางวันนี้แค่ 40กว่ากิโล เป็นเส้นทางที่ผ่านหมู่บ้าน อันที่จริงถ้าเป็นรถยนตร์ เขาจะให้วิ่งทางหลวง เป็นเส้นที่ตัดลอดเขาหลายเขามุ่งตรงไปชายแดนทีเดียว
บ้านชาวนา
แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้จักรยานขึ้นไปปั่นบนนั้น แต่เราเองก็เคยขโมยปั่นบางช่วงในครั้งแรกที่เรามาปั่นกันที่สิบสองปันนา  เราปั่นไปได้ประมาณพอประมาณก็มีอุบัติเหตุนิดหน่อย พวกเราปั่นตามๆกันอยู่ดีๆ ออยก็ล้มลง โดยไม่มีใครทันสังเกต แต่ออยก็ไม่เป็นอะไรมาก เพราะเราปั่นกันไม่เร็ว  พอไปได้สักครึ่งทาง ยางพี่หมูก็แตก ต้องจอดปะยางกัน หนิงกับออยเลย เดินหาสุมทุมพุ่มไม้เขาไปทำสัญลักษณ์กันสุดชีวิต

เส้นทางเส้นนี้เราเคยปั่นผ่านกันครั้งหนึ่ง เมื่อเราป่ันมาสิบสองปันนาในครั้งแรก เส้นทางร่มไปด้วยต้นไม้ มีเขาน้อยๆเป็นระยะพอให้ได้ออกแรง รถน้อย เพราะเป็นเส้นทางชนบทที่ตัดผ่านระหว่างหมู่บ้าน ทิวทัศน์ต้นยางบนเขาชวนให้ระทึกสุดๆกับความยิ่งใหญ่ของเมืองจีน

ไม่นานเกินไป เราก็ปั่นออกถนนใหญ่ หนิงจำได้ว่าระหว่างทางเห็นหนุ่มบ้า แก้ผ้าอยู่ริมถนน ดีที่ว่า สาวๆมัวแต่จดจ่อกับการปั่น ไม่งั้นไม่ใครก็ใครได้ใจแตก หยุดดูหนุ่มบ้านั้นแน่ๆ

เส้นทางใกล้ชายแดน พวกเราเห็นอารยะธรรมที่แผ่ซ่านของภาษาไทยมาถึงนี้ด้วย ป้ายต้อนรับ ลาก่อน เป็นภาษาไทยมีให้เห็น ทำให้รู้ว่า นักท่องเที่ยวไทย เดินทางมาเที่ยวเมืองจีนทางนี้กันเยอะมาก น่าปลื้มใจที่เราแผ่อำนาจทางภาษามาได้ไกลขนาดนี้ ริมชายแดนก็เหมือนกันทุกท่ี มีตลาด ขายของหลอกเด็กไปเรื่อย เราเดินไปซื้อผลไม้กินแก้เซ้งก่อนที่รถแม่บ้านจะตามมาทัน จากนี้ไปเราต้องนั่งรถกันอีกครั้ง เส้นทางจากบ่อเต็งไปห้วยทราย เป็นเส้นทางที่เรายังไม่เคยพิชิตกันสักครั้ง พี่ไกด์ใฝ่ฝันที่จะปั่นเส้นนี้มาก เพราะเส้นทางนี้เป็นทางขึ้นลงเขา ตลอดเส้นทาง และที่สำคัญ เมืองระหว่างทางที่น่าพักคือ หลวงน้ำทา เป็นเมืองที่อาหารการกินสมบูรณ์ ไม่แออัดมากกับนักท่องเที่ยว ตอนเย็นมีตลาดคนเดินเล็กๆ มีอาหารพื้นเมือง ที่สำคัญไก่ย่างเมืองนี้อร่อยเป็นบ้า อร่อยขนาดอยากกลับไปกินเลยที่เดียว  แต่ก็อีกละ คนอดๆอยากๆมาหลายวัน พอเจอไก่ย่างกับ เบียร์ลาวเข้าไปเนี้ย อะไรๆก็คิดว่าเป็นสวรรค์แน่ๆ

หลังทริปนี้ เราหลายคนอดคิดถึงมันไม่ได้ หลายคนอยากลองทัวร์ริ่งแบบเต็มรุปแบบ บางคนยังติดใจการปั่นแบบมี supporterอยู่ แต่สำหรับหนิง การปั่นทัวร์ริ่งเต็มรูปแบบเป็นความฝันที่มีมานาน  และเป็นฝันที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ

ต่อจากนี้ไปฝันที่หนิงรอคอยกำลังกลับมาอีกครั้ง กลับมาพร้อมคนที่จะเดินไปด้วยกัน ฝันไปด้วยกัน และทำให้มันเป็นจริงไปด้วยกัน

นางฟ้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น