วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่2 Warm up warm up

ปั่นเที่ยวจีน ตอนที่2 Warm up warm up

คืนนั้นหนิงเข้านอน Home Stay พร้อมกับออย ครอบครัวพี่ไกด์ น้องมุก และ Lily เรานอนกันในห้องเอนกประสงค์ ฟูกถูกวางเรียงติดๆกัน ผ้าห่มอย่างหนา ตราช้าง คงเพราะหน้าหนาวคงหนาวเอาเรื่อง ช่วงหัวค่ำร้อนเอาเรื่อง แต่ช่วงใกล้รุ่ง อากาศนาเย็น เข้ามาแทนที่ ผ้าห่มถูกเท้าเขี่ยขึ้นมาห่มบนอก หนิงค่อนข้างจะไม่สบายมาก่อนหน้า เมื่อเจออากาศที่แปรรวนรวนเรเร็วขนาดนี้ อาการ ไอก็กำเริบ ทำให้การนอนไม่ดีนัก ดีแต่ว่าพก ear plug มาอุดหู กลัวเสียงกรน ของพี่ทั้งหลาย ก็พอที่จะทำให้งีบได้เป็นช่วง ช่วง

หนิงได้รับความสั่นสะเทือนจากพื้นกระดานในช่วงเช้า ที่ชาวบ้าน ลุกขึ้นมาหุงหาอาหารให้พวกเรา ถึงแม้จะรู้สึกตัว แต่อากาศามเช้าก็สบายเกินกว่าที่จะทำให้เราลุกขึ้นมาได้

เราเริ่มตื่นกันจริตอน 6โมง หนิงรีบเข้าห้องน้ำก่อ ห้องน้ำที่นี้อยู่บนเรือนด้านหลัง ที่นี้เขาทันสมัย มีน้ำร้อนอาบด้วย แต่ต้องผสมดีๆเวลาอาบ ไม่งั้น กลายเป็นหมูลวกแน่ๆ

หลังเสร็จภาระกิจส่วนตัว พวกเราเก็บข้าวของทยอยกันเอาไปเก็บในรถบรรทุกคันใหญ่ อาการเช้าจัดให้เป็นห่อๆ เผื่อว่าใครกินไม่หมดก็เอาติดตัวไปกินระหว่างทางได้ หนิงเหลือข้าวเหนียวเป็นก้อ เลยขอพกติดตัวไว้ก่อน กลัวหิวตาลายเวลาปั่น พวกเราจัดแจงเช็คจักรยานก่อน เพราะการขนย้ายอาจทำให้ ต้องเซ็ตกันใหม่ ทุกคนเตรียมน้ำ หนิงมองไปบนฟ้า ท่าทางอากาศไม่เป็นใจ ท้องฟ้าปิดๆ สงสัยฝนตกแหงๆ แต่อีกใจ หนิงก็แอบ ขอฟ้าฝนให้ไปพักผ่อนบ้าง

เช้านี้หนิงเห็นพี่ผู้ชายคนหน่ึงนั่งอยู่ พี่เขาดูรถให้ว่าคันไหนมีปัญหา ต้องได้รับการแก้ไขก่อนออกเดินทาง หนิงเดินข้าทักทาย แนะนำตัวเองกับพี่ พี่เขาบอกว่าชื่อวัชระ เป็นการแนะนำตัวสั้นๆง่ายๆ ไหนๆก็ต้องร่วมเดินทางกัน ไม่รู้จักกันก็กระไรอยู่ แล้วพี่วัชระ คนนี้นี่ละ เป็นเพื่อนปั่นกับพวกเราทุกคน และยังให้ความรู้กับพวกเราได้ในเกือบจะทุกๆเรื่องที่เรสงสัย ทั้งเรื่องเส้นทาง และผู้คนพื้นเมืองในที่ต่างๆ

เราได้รับแจกวิทยุสื่อสารคนละตัวสำหรับนักจักรยาน และสำหรับรถบรรทุก และรถVan ใช้เมื่อเวลามีเหตุ และคอยบอกทางต่าง แต่สำหรับหนิงแล้ว ชอบใช้ร้องเพลงและทำลายความเงียบเป็นที่สุด หลายครั้งที่วกเราใช้แทนไมโครโฟนมากกว่าจะเป็นวิทยุสื่อสาร แต่มันเป็นอย่างเดียวที่ทำให้การปั่นขึ้นเขามีความสุขมากขึ้น

ก่อนออกเดินทางมีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เราเห็นป้าใหญ่ๆ ติดอยู่ที่หมู่บ้าน เป็นป้ายการปั่นปีหน้า ที่จะปั่นเฉลิมฉลอง ในหลวงและพระราชินี โดยปั่นไป6ประเทศ

เราจึงรู้ว่า ปีหน้าจะมี ทริปใหญ่ที่พี่ๆเขาจัดขึ้นผ่านมาเส้นนี้อีกด้วย พวกเราจึงเหมือนมีประกายในดวงตา อยากจะมาร่วมปั่นกับเขาบ้าง แอบถามพี่วัช กับพี่เยา ก็ได้ความว่าเราสามารถมาร่วมแจมเป็นช่วงๆ แล้วแต่ใจปรารถนา

หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จ พวกเราเริ่มทยอยออกกัน หนิงมัวแต่วุ่นวายกับของส่วนตัว กว่าจะออกก็เกือบจะท้ายสุด ก่อนออกยังไม่วาย ถูกเจ้าเกาะเหวี่ยงใส่ เหวี่ยงที่ว่าคือ เหวี่ยงกระเป๋าที่มีกล้อง Leica M6 ลงพื้นรถดังโครม ขนาดว่าหนิงยืนอยู่ไกลยังได้ยินเสียงชัด จะโทษเกาะก็ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวดันวานให้พ่อหนุ่มน้อย เอากระเป๋วางพื้น แต่เด็กนะ วางกับเหวี่ยงนะ มันก็คล้ายๆกัน เพราะของก็อยู่ที่พื้นเหมือนกัน หนิงได้แต่โวย และก็ปั่นออกไปแบบเซ็งหน่อยๆ หนิงปั่นมคอยพี่ๆหน้าปากทาง เพราะไม่รู้ว่าต้องไปซ้ายหรือขวา เนื่องจากลุ่มหน้าได้ออกไปก่อนนานแล้ว

กลุ่มสุดท้ายที่ออกไป มีหนิง พี่ชาย พี่บี๋ และพี่วัชระ เราปั่นออกไปไม่ไกล ยังไม่ทันได้ warm อะไร เราก็ต้องไต่เขากันแล้ว เส้นทางที่เรากำลังไปกันเป็นที่รู้ว่า เราจะต้องไต่เขาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในวันที่ 3และ 4 แต่วันแรกๆ ก็มีเขา แต่ก็ไม่สูงชันมากนัก

สองข้างทางเป็นป่าเขาบ้าง สวนยางบ้างสลับกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็คือสวนยาง อย่างที่บอกในตอนแรกว่าเขตนี้ ปลูกยางพาราเยอะมาก หลายสวนมีการกรีดกันแล้ว หลายคนยังอาจสงสัยว่าทำไมยางพาราถึงมาปลูกในเขตหนาวได้ ทั้งที่บ้านเราปลูกกันชุกในภาคใต้ เพราะยางพาราชอบน้ำมาก ตอนนี้โลกเราเปลี่ยนไปแล้วคะ การเพาะพันธุ์ หรือพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ เรามักจะ ได้ยินกัอยู่เรื่อยๆ ยางพาราเองก็เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพราะความจำเป็นในการใช้ยางมีมากขึ้น ถ้าการปลูกยางยังจำกัดอยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตรลกเราก็คงจะลำบาก ดังนั้น พันธุ์ยางจึงถูกพัฒนาให้มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมากขึ้น บวกกับความสามารถทางการเกษตรที่พยาามจะเอาชนะรรมชาติ การปลูกยางเหนือเขตเส้นศูนย์สูตรจึงเริ่มขึ้น บ้านเราเองตอนนี้ก็มีการปลูกมากในเชียงราย เชียงใหม่ ส่วนทางอีสาน ก็มีการปลูกมากเช่นกัน

แต่การปลูกยางที่นี่อย่างที่บอกในตอนแรกว่าเป็นการปลูกแบบขั้นบันได พราะเขาที่นี้สูงและชัน การปลูกจึงต้องมีเทคนิคกันหน่อย นอกจากยางขั้นบันไดแล้ว เรายังได้เห็น กล้วยขั้นบันไดด้ว ในส่วนที่เป็นที่ราบ เราจะมองเห็นไร่กล้วย เป็นพันๆไร่ทีเดียว กล้วยที่เห็นเป็นกล้วยหอม แต่จะใช่กล้วยหอมทองแบบบ้านเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ไปชิม มีที่พี่พงษ์เอามาให้ เป็นกล้วยน้ำว้า ใหญ่เท่ากล้วยหอมบ้านเรา แต่รสชาติกล้วยบ้าเรา อร่อยกว่าเยอะ เล็กแต่หวานกว่า

กล้วยหอมที่นี้ ตอนแรกคุยกันกับพี่หมู ยังคิดว่าส่งออกแหงๆ เพราะปลูกเยอะเหลือเกิน ที่ไหนได้ เขาปลูกขายในประเทศ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า ประเทศมันใหญ่อะไรขนาดนั้น

ภูมิภาคถบนี้นอกจากพืช 2ชนิดที่เห็น เราเริ่มเห็นชา แน่นอนละ เพราะเป็นประเทศที่ดื่มชา เป็นอันดับต้นแน่ๆ และก็เป็นประเทศแรกที่รู้จักการดื่มชา

แต่ยอดชาที่หนิงแอบเห็นเขาเก็บ เป็นยอดค่อนข้าง ใหญ่ ใหญ่กว่าที่เคยเห็นบนดอยแม่สลองเยอะ อาจจะเป็นคนลพันธุ์กันก็ได้ ตอนแรกที่พวกเราปั่นผ่านไร่ชา เราก็ตื่นเต้น แต่ไปๆมาๆ เราเริ่มจะชิน แล้วก็รู้สึกเฉยๆไปในที่สุด

วันนี้เรามีชาวจีน 3คนมาปั่นด้วย เป็นเพื่อนพี่เยาที่ สิบสองปันนา พูดภาษาไทยได้ดีทีเดียว ช่วงแรกๆเราไม่คุ้นเท่าไร เพราะคิดว่าพี่เขาพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่พอรู้ว่าเขาพูดได้ เราก็ถามโน่นนี้ไปเรื่อย พี่เขาชื่อสิงคำ เขาจะช่วยดูแลและสำรวจทางให้เราเป็นระยะ ซึ่งก็ทำให้เราอุ่นใจที่มีคนดูแลเรามากขึ้น คณะที่ดูแลเราพูดไทยได้หมดยกเว้นคนขับรถvan ขนาดคนขับรถบรรทุกชื่อพี่หยงยังพูดไทยได้เลย เพราะเคยอยู่แม่สายมาก่อน

หนิงปั่นออกมา ไต่เขามาเรื่อย ตามพี่บี๋มาห่างๆ แต่พี่บี๋ อาศัยแรงดี รถดี ปั่นท้ิงหนิงไว้ข้างหลัง จากนั้นหนิงก็ค่อยๆทิ้งพี่ชายไว้ข้างหลังบ้าง เพราะพี่ชายมีพี่วัชระดูแล และพี่ชายแวะถ่ายรูปบ่อยเหลือเกิน หนิงปั่นผ่าน ชาวจีนทั้ง 3 ค่อยๆมา จนกระทั่งมาเห็นพี่ไกด์กับออยปั่นอยู่ข้างหน้า ในกลุ่มที่เราปั่นกัน เราจะไม่ได้ปั่นประกบกันเท่าไร แต่ถ้าปั่นสุดท้าย จะมีคนปั่นด้วยแน่นอน แต่ถ้าปั่นช่วงหน้าๆถึงกลางๆ อาจจะต้องปั่นคนเดียว เพราะการปั่นจักรยาน อยู่ที่แรงฝีเท้า ของใครของมัน ยิ่งเวลาขึ้นเขาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพู ใครแรงดีก็ถึงยอดก่อน ใครแรงน้อย ค่อยๆไปก็ถึงเหมือนกัน เราขึ้นเขามาไม่นานก็ลงเขา มองดูเหมือนสัจธรรมในชีวิตยังไงไม่รู้ ชีวิตมีขึ้น ก็ต้องมีลง เหมือนปั่นจักรยานขึ้นเขา ปั่นขึ้นนะเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ในความเหนื่อยในชีวิต บางครั้งเราก็ได้รับความรู้สึกดีๆ จากเพื่อนที่ดี หรือ มีเหตุการณ์ดีเข้ามา เหมือนอย่างปั่นขึ้นเขาแล้ว เอนโดรฟีนหลั่ง ความรู้สึกแห่งความสุขก็เข้ามาในระหว่างนี้

ส่วนตอนลงเขา คนปั่นจักรยานก็ชอบทุกคน เพราะมันสบาย ไม่ต้องออกแรง แต่ความสบาย ถ้าเราปล่อยใให้เพลิดเพลิน เราจะรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็ว ก็เปรียบได้กับชีวิต ช่วงไหนดีๆ รุ่งๆ ก็แค่ชั่วแปลบ เพราะเราปล่อยใจกับมันเกินไป แต่ถ้าเราค่อยๆลงเขา มองสองข้างทาง ดูโค้งดูเหลี่ยม บ้าง เราอาจจะได้รับอะไรกลับมาบ้าง และทำให้เรารอบคอบขึ้นบ้าง เตรียมพร้อมที่จะขึ้นเขาอีรั้ง

วันนี้เป็นวันที่เราไม่ได้ขึ้นลงสูงมากนัก เราหยุดพักกันเป็นช่วงๆ จนได้เวลาเที่ยง เราจึงพักทานข้าว เราไปได้ บ้านริมถนนที่เป็นร้านค้าเป็นที่หยุดพัก เพราะเรายังได้อุดหนุนเครื่องดื่มอย่าง โค้กจีนแก้กระหาย แถมเรายังได้ห้องน้ำรรมชาติป็นที่ระบายทุกข์ของสาวๆทั้งหลาย หนิงได้ยินว่า กองเชียร์สาวบนรถกำลังปรับตัวเข้ากับห้องน้ำธรรมชาติ เพราะตลอดทางเวลาที่เราหยุด ก็จะเห็นกองเชียร์วิ่งลงไปปลดทุกข์ตามสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ เรื่องห้องน้ำเป็นอีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ระหว่างทางเป็นเรื่องยากมากที่จะหาห้องน้ำเข้า ถึงแม้จะมีห้องน้ำสาธารณะให้เห็น แต่นั้นยิ่งทำให้เข้าไม่ลงไปใหญ่ ครั้งแรกที่มาเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่าพี่แอนชักชวนไปดูห้องน้ำ ดีที่ไหวตัวทันเลยไม่ไป พวกที่เดินไปดูกลับมาบอกว่า ดีที่กินข้าวไปแล้ว ไม่งั้นคงกินไม่ลง หนิงจินตนาการไม่ออกจริงๆว่ามันขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ก็ไม่กล้าจินตนาการต่อด้วย

อาหารกลางวันเป็นอาหารกล่อง เพราะระหว่างทาง เราไม่สามารถหาร้านอาหารได้ เพื่อไม่ให้เราเหนื่อย อาหารกล่องจึงถูกจัดมาให้จากชาวไทลื้อที่เราไปพักกับเขาเมื่อคืนนี้เอง ในขณะที่เรารออาหาร เราก็รอคนที่ยังปั่นมาไม่ถึง อย่างพี่เยาว์ หรือพี่ชายที่แวะถ่ายรูปมาตลอดทาง นี้ถ้าพี่ขมมาด้วย พี่ขมก็พบคู่แข่งเรื่องยิงชัตเตอร์แล้วละ ก็พี่ชายเนี้ยละ เห็นว่าถ่ายจนตอนกลางคืนไม่ได้หลับได้นอน เหมือนพี่ขมเด๊ะเลย

ช่วงนี้เป็ช่วงปรับตัวอย่างแรง ถึงขั้นกิ๊ฟลองของ ขอเข้าไปปลดทุกข์หนักในห้องน้ำธรรมชาติ จนในที่สุดก็ติดอกติดใจไปอีกคน ขนาดว่าเดินออกมา ต้นไม้ใบหญ้าติดตัวมาเต็ม เลยไม่รู้ว่าถึงขั้นลงไปนอนกลิ้งกับพื้นหญ้าเลยไหม

ออยก็เป็นสาวงามคนแรกที่ยอมพลีกายให้กับห้องน้ำธรรมชาติตั้งแต่มาครั้งแรกๆแล้ว เพราะงั้น ออยจึงเป็นคนที่ well prepare มากกับการเดินทางแบบนี้

หลังจากทุกคนปั่นมาถึง ทั้งจีน ทั้งไทย แล้วเราก็ทานข้าวจนอิ่มหน่ำ เราได้รับแจ้งว่า เราจะปั่นไปอีก แค่ 20-30 กิโลเท่านั้น หลังจากนั้น รถจะเก็บพวกเรา เพราะถ้าปล่อยให้พวกเราปั่นทั้งเส้น คืนนี้ก็คงไม่ถึงที่หมายเป็นแน่ และเพราะบางช่วงถนนได้รับการปรับปรุง

พวกเราปั่นออกจากจุดให้อาหารเที่ยงไปด้วยกันช้าๆ แต่หลังจากเครื่องติด กลุ่มแรกมีพี่ต๋อง พี่พงษ์ ออย ฉีกออกไป โดยมีหนิง พี่ไกด์ พี่บี๋ พี่หมู อยู่ช่วงกลาง ส่วนพี่ชาย พี่วัช อยู่หลัง เพราะมัวแต่ยิง(ชัตเตอร์)ลม ชมวิวไปเรื่อยๆ

หนิงเห็นข้างหน้าเล่นกันก็นึกสนุกลองไล่ดู หนิงค่อยๆปั่นหนีพี่ไกด์กับพี่บี๋มาช้าๆ จนในที่สุดไล่ไปทันออย ตอนแรกก็คิดว่าออยจะแป๊ะตามมา แต่หันไปมอง ก็เห็นออย เต้นในจังหวะของตัวเอง ส่วนหนิงยังเมามันกับดิสโก้ไม่เลิก หนิงยังกระแทกจังหวะ ไล่จนทันพี่พงษ์ หนิงเกาะหลังพี่พงษ์ เหมือนผีชัตเตอร์เกาะอยู่พักใหญ่ๆ จนรู้สึกว่าพี่พงษ์เริ่มอ่อนแรง เพราะผีแรงกว่า หนิงเลยตัดสินใจ ใส่เพลง I will survive แบบ remix อัดไล่พี่ต๋องไปเรื่อย แต่แหมพี่ต๋อง เราๆท่านๆก็รู้กันอยู่ พี่ต๋องเป็นบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้ ไม่ว่าพี่เขาไปแข่งที่ไหน ก็ต้องแบบสุดๆ สู้ยิบตา จนเป็นแบบฉบับให้สาวออย ส่วนหนิงมันน้องนอกสำนัก เลยไม่ค่อยอยากสู้แบบพี่เขาเท่าไหร่ เมื่อพี่ต๋องหันมาเห็นหนิง พี่ต๋องก็ใส่เกียร์ เดินหน้า เต็มspeed ปั่นหนีหนิงไปอย่าไม่รอช้า เมื่อเห็นดังนั้น หนิงรู้ตัวเองแล้วว่า ไล่ไปก็ไม่มีประโยชน์ หนิงเริ่มเปลี่ยนจังหวะทันที จาก ดิสโก้ หนิงเริ่มเพลง slow ซบ ซบสายลมและแสงแดดไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ออยซึ่งเขย่า ชะชะช่า ‘อ้าวมาเฮฮา เฉยช้าอยู่ใย อ้าวฮะฮะไฮ ไปต่อไป ว้ายตามมาทัน’ ติดๆ ตามมาข้างหลัง ปั่นผ่านนิงไปหน้าตาเฉย ไม่นานนัก พี่บี๋ ที่มัวแต่เล่นอยู่ข้างหลัง ก็อัดเกียร์เดินหน้า ด้วยเพลงของ Big Ass ‘รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อย ถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง ยังไงจะขอลองสักที’ ว่าแล้วพี่บี๋ก็แซงหนิงไปไม่เห็นฝุ่น

รถบรรทุกกับ van และทีมงานรออยู่บนเขาลูกหน้า หนิงได้ยินเสียงจากวิทยุสื่อสารรายงานการเข้าเส้นจากพี่ปันหยา พี่ต๋องเข้าป้ายคนแรก จากนั้นก็ทยอยกันไป เขาจอดรอห่างจากแหล่งชุมชนมาหน่อย พวกเรามาถึงรถกันอย่างเหนื่อยนักหนา ทั้งที่จริงเขา และระยะทางก็ไม่ได้ไกลกว่าที่พวกเราเคยปั่นกันนัก พวกเราไม่รีรอที่จะเก็บรถ กลัวโดนปั่นกันอีก วันนี้เราปั่นกันไปประมาณ 65กิโลเมตร

เมื่อทุกคนมาครบ การเก็บรถเป็นไปด้วยดี รถสองคันก็ออกเดินทางหน้าสู่เมืองเจียงเฉิน เส้นทางที่เรานั่งรถผ่านยังคงมีขึ้นๆลงๆเขา และทางส่วนใหญ่ก็กำลังปรับปรุง เราเจออุบัติเหตุนิดหน่อยบนเขาคือรถเฉียวชนกันระหว่างระเก๋งกับมอเตอร์ไซค์ แต่ที่ขำคือกว่าตำรวจจะตามมาเคลียร์ให้ เสียเวลามาก บวกกับแทนที่จะขีดเส้นบนถนนแล้วระบายรถ

กลับมาวาดรูปรถชนกัน เราเสียเวลานิดหน่อย เพราะเรามา

หลังเหตุการณ์ แต่บางคันติดเป็นชั่วโมงแล้ว

ระหว่างทางเราแวะทานอาหารค่ำที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ขณะที่หนิงกะออยเดินออกมาเข้าห้องน้ำธรรมชาติ เราสองคนชวนกันดูดาวบนฟ้า ดาวเต็มไปหมดสวยงามดีจัง แต่ทำให้หนิงนึกถึงเพลงๆหนึ่ง ได้ยินเมื่อหลายปีก่อน ในเนื้อเพลงบอกว่า เวลามองบนฟ้า เห็นดาวแล้วนึกถึงหน้าของเธอ หนิงบอกออยว่าใครร้องเพลงนี้ให้ฟังจะด่าให้ เพราะลองคิดดูว่าถ้าหน้าเธอเหมือนดาวเต็มฟ้า หน้าเธอคงมีสิวเต็มหน้าเป็นแน่แท้ แล้วมันจะน่ามองตรงไหน

หลังอาหารค่ำ เรายังคงนั่งรถโขยกเขยก เพราะถนนที่กำลังทำใหม่ไปเรื่อยๆ หลายคนเพลียจนหลับ แต่หนิงยังมองท้องฟ้าไปเรื่อย(พยายามมองหาความงามบนหน้าเธอ) จนในที่สุดเราก็ถึงเมืองเจียงเฉิน รถมุ่งหน้าหาโรงแรม แต่ดูเหมือนทั้งคนขับรถvan และLilyเองก็เริ่มหลงทาง เราวนไปมา 2-3รอบ จนสุดท้ายก็มาเจอโรงแรม

คืนนั้นห้องไม่พอสำหรับเราทั้งกรุ๊ป ดังนั้นพี่ชาย และพี่พงษ์ จึงถูกขอให้ไปนอนอีกที่ พร้อมกับพี่เยา พี่วัช หนิงกับออยได้ห้องชั้น 4 ซึ่งเราก็อยู่ชั้นเดียวกับพี่ๆ liftก็ไม่มี เราต้องเดินแบกของขึ้นไป ในห้อง แอร์ก็ไม่มี แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอากาศตอนกลางคืนค่อนข้างจะหนาวเย็น มองเข้าไปในห้องน้ำ โอ๊ยอกอีแป้นจะแตก เจอส้วมหลุมในโรงแรม ideaนี้ ไม่เคยคิดมาก่อน ส้วมหลุมบ้านเรายังมีการยกแท่น ดูมีระดับ แต่ส้วมหลุมจีน เป็นราบๆเรียบพื้น แล้วก็เป็นหลุมลงไปเลย ตลกดี ที่ขำกว่านั้น แม่กิ๊ฟมาเล่าให้ฟังอีกวันว่า มัวแต่ส่องกระจกในห้องน้ำ แล้วเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ เท้าเลยตกลงไปในส้วม ดีว่าไม่ตกลึกมาก ไม่งั้นคงบาดเจ็บเป็นแน่

ด้วยว่าคืนนั้นเราเหนื่อยกันแล้ว แล้วนอกจากส้วมอย่างอื่นในห้องน้ำก็ถือว่าใช้ได้ หนิงกับออย เลยรีบๆอาบน้ำนอนตุนแรง เพราะพรุ่งนี้ เราก็คงต้องปั่นขึ้นเขาเป็นอีกแน่แท้


เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า