วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564

เที่ยวเมืองรอง…อุทัยธานี

หนิงว่าเพื่อนๆหลายคนคงยังไม่เคยมาเที่ยวอุทัยธานีแน่ๆ หรือบางคนอาจจะเคยมาแบบแค่แวะผ่านหรือแค่มาไหว้พระ


อันที่จริงหนิงก็จัดอยู่ในประเภทนั้นเหมือนกันคะ คือไม่เคยคิดจะมาเที่ยวอุทัยธานีอย่างจริงจัง จนกระทั่งครั้งที่มานอนพักตอนปั่นจักรยานขึ้นเชียงใหม่ ตอนนั้นทำให้มุมมองที่หนิงมองอุทัยธานีที่เป็นแค่เมืองเล็กๆ กลับรู้สึกอยากรู้จักกันมาขึ้น แต่ก็ไม่มีโอกาสมาลองเที่ยวแบบจริงจังสักที จนกระทั่งปีนี้หนิงวางแผนจะไม่ขึ้นเชียงใหม่ช่วงคริสต์มาส พี่โม่เลยเสนออุทัยธานีมาเป็นตัวเลือกอีกครั้ง แล้วเราก็จัดการจองโรงแรม วางแผนทันทีที่วันลาพักร้อนได้ตามคำขอ


วันนี้เราออกจากกรุงเทพแต่เช้า อันที่จริงอุทัยธานีไม่ได้ไกลมากนัก ระยะทางเหมือนเราขับรถไปหัวหิน  แต่ไหนๆเราก็จะเที่ยวแล้ว เราก็แวะเที่ยวไปเรื่อยๆก่อนเลย หลายคนอาจจะเดาว่าเราจะเดินทางผ่านถนนสายเอเชียผ่าน อยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง 


แต่เปล่าเลย วันนี้หนิงกับพี่โม่ขับออกมาทางสุพรรณบุรี เพราะแรกเริ่มเดิมทีกะว่าจะแวะเที่ยวสามชุกแล้วถึงจะไปชัยนาท แต่แล้วแผนก็เปลี่ยน เมื่อเส้นทางจากสุพรรณใกล้กับบ้านไร่มากกว่า เราออกจากสามชุกได้ ก็มุ่งหน้าไปยังบ้านไร่ก่อนเลย


อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานีมีอะไรหนอ? 


หลายคนอาจสงสัย แต่หนิงว่าหลายคนมีคำตอบอยู่แล้ว นั่นคือ”ผ้าทอ”บ้านไร่ เป็นสิ่งที่หนิงอยากไปดูมากที่สุด เพราะได้ยินคำร่ำลือว่าสวยงามมาก สนนราคาเหยียบหมื่น เหยียบแสน เลยต้องไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อย แต่นอกจากผ้าแล้ว ที่นี่ยังเคยได้รับฉายาสวิสแลนด์เมืองไทยอีกด้วย อันไหนจะจริงกว่ากัน หนิงว่าใครอยากรู้ต้องมาดูเอง


หลังจากเราออกจากสามชุก google ก็พาเรามุ่งสู่บ้านไร่ด้วยทางหลวงชนบท สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่อ้อย ดังนั้นเพื่อนร่วมทางวันนี้จึงมีแต่รถขนอ้อยตลอดเส้นทาง 

ใครจะเชื่อว่าเส้นทางเส้นนี้อยู่ในเขตภาคกลาง เพราะเราขับไต่เนินขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าเขตอำเภอบ้านไร่


จุดหมายแรกเลยในบ้านไร่คือ “ต้นไม้ยักษ์” ไม่น่าเชื่อว่าที่หมู่บ้านชุมชนบ้านสะนำจะมีดงไม้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นยางนา ยางน่อง และต้นผึ้งต้นที่เรากำลังพูดถึง ขึ้นอยู่ปะปนกันในป่าไผ่


ต้นผึ้งที่ว่าใหญ่ขนาด40คนโอบได้ รากหรือพูพอนมีขนาดใหญ่มาก ใครเคยเล่นใต้ต้นจามจุรีสมัยเด็กๆจะนึกออกว่าพูพอนคืออะไร แต่พูพอนจามจุรีนี่ถือว่าเด็กๆ ส่วนพูพอนต้นผึ้งใหญ่พอที่ผู้ใหญ่จะเล่นกันแบบสมัยเด็กๆได้เลย


หลังจากดูดดื่มกับสิ่งของขนาดใหญ่ เราก็หาอาหารกลางวันทานกันสักหน่อย จะว่าไปแล้วถ้ามาเที่ยววันธรรมดา ร้านอาหารหลายแห่งเขาก็ปิดพักผ่อนรอขายกันวันเสาร์ อาทิตย์ดีกว่า โชคดีที่ว่าร้าน”สวนอาหารชายเขา”เปิด เราเลยรอดตาย แถมอาหารอร่อยซะด้วย ใครผ่านมาลองแวะทานกันได้ ไม่ผิดหวัง



หลังทานข้าวกลางวันอิ่ม เราก็ได้เวลาไหว้พระกัน พี่โม่พาไปวัดในอำเภอบ้านไร่นั่นละ “วัดผาทั่ง” ที่นี่มีหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ แต่ที่หนิงชอบกับเป็นพญานาคสามเศียรตรงทางเข้าโบสถ์หลวงพ่อโต หนิงว่าคนปั้น ปั้นได้สวยงามมาก แถมเป็นพญานาคที่มกรกำลังคายออกมาด้วย สวยดี 



สิ่งที่เราจะพลาดไม่ได้ในวันนี้คือการไปดูผ้าทอ “ลาวครั่ง” ผ้าทอตีนจกที่ย้อมครั่งเป็นสีแดง 

พี่โม่พาหนิงไปยัง”ผ้าทอลายโบราณบ้านผาทั่ง” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่ ที่นี่หนิงได้เห็นผ้าทอแบบดั้งเดิมที่มีการสืบทอดมา 4รุ่นอายุคนนับจากการอพยพมาจากลาว อันที่จริงแล้ว เขาบอกว่าผ้าอาจจะเรียกว่าลาวครั่งก็ได้ หากแต่จริงๆแล้ว คนทอคือ “ลาวเวียง” ก็คือลาวที่อพยพมาจากเวียงจันทน์นั่นเอง จะเรียกว่าอพยพก็ไม่เชิง แต่ถูกกวาดต้อนมาก็ไม่ผิด ด้วยความสงสัยหนิงเลยถามต่อว่าแล้วเหตุใดจึงมาตั้งรกรากกันในที่ไกลโพ้นขนาดนี้ คำตอบคือ การอพยพย้ายถิ่นมา เกิดจากว่าทัพที่นำมา มาตั้งทัพรอศึกอยู่ตรงไหน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า พากันมาตั้งทัพรอพม่าแถวเนินเขาแถวนี้ ใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็อย่ามาเชื่ออะไรหนิงมากนะคะ ก็เล่าสู่กันฟังตามที่คุยกับคนท้องถิ่นมา

ผ้าลาวครั่งความสวยงามนอกจากสีสันที่สดใจจากสีแดงครั่งแล้ว ยังมีลวดลายที่ละเอียด ประกอบกับการทำลายแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งการใช้ไหม หรือด้ายที่มีขนาดเล็ก จนทำให้เกิดลายที่ละเอียด สวยงามมาก

ผ้าที่นี้ราคาถูกสุดคือ2,800บาท เป็นผ้ามีตำหนิอันเกิดจากใช้ด้ายผิดประเภท นอกนั้นราคา 5,000ถึงหมื่น ส่วนที่เข้าตู้คือหลักแสน ที่มีคนจับจองไปแล้วด้วย


เฮ้อ..ถึงแม้วาสนาเราจะไม่มี แต่สามีก็ใจดีเกินคาด เมื่อท่านซื้อผ้านุ่งให้1ผืน วันนี้คงจะต้องกราบงามๆ ตามใจท่านไปทั้งทริป😁


หลังจากเสร็จภาระกิจที่บ้านไร่ เราก็มุ่งหน้าเข้าเมืองมายัง “ค่ำนี้ที่อุทัย” เกสต์เฮาส์ขนาด4ห้องนอน ที่พักสะอาด ห้องขนาดกระทัดรัด ตั้งอยู่ในเมือง คืนนี้โชคดีเพราะทั้งตึก มีเราแค่2คน

ก่อนจบวันพี่โม่พาหนิงขึ้นไปชมเมืองที่จุดชมวิว วัดเขาสะแกกรัง หรือวัดสังกัสรัตนคีรี สามารถชมพระอาทิตย์ตกดินและพระอาทิตย์ขึ้นฟ้าได้ แต่คนละเวลา😁




 



อาหารเย็นจบที่ “ร้านนายโต้ง อาหารปลาแม่น้ำ” ก็ไม่ทำให้ผิดหวังอีกเช่นกัน


พรุ่งนี้จะไปเที่ยวธรรมชาติในอุทัยธานี เขาว่าดีงาม แล้วจะมาเล่าต่อว่ามันดีแค่ไหน