วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่1 เริ่มออกเดินทาง

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่1 เริ่มออกเดินทาง

มันเริ่มมาหลายปีแล้วที่อยากจะปั่นเที่ยวเล่นไกลๆ หรือ โกอินเตอร์ กับเขาบ้าง แต่ก่อนก็ได้แต่ปั่นแถวบ้านเรา ก็เป็นเรื่องที่สนุกไปอีกแบบ แต่ในที่สุด พี่ต๋องก็ทำความฝันที่เป็นจริง เมื่อเดินเข้ามาถามว่า ‘หนิงสนใจปั่นไป สิบสองปันนากับพี่ไหม’ แน่นอน ใครจะไม่อยากไปปั่น แต่คำถามเนี้ย ถามเมื่อครั้งไป เที่ยวห้วยน้ำดัง เมื่อ 10ปีที่แล้วนะ แล้วฝันเพิ่งจะเป็นจริงเมื่อ 2ปีก่อนเอง


เมื่อ2ปีก่อน พี่ต๋องจัดทริปปั่นเที่ยว สิบสองปันนา ตามสัญญาที่เคยบอกกันไว้ (แต่มันนานมากนะพี่) ตอนนั้น สนุกสนานมาก ถึงแม้ครั้งนั้นจะไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิง โกอินเตอร์ เพราะรอไม่ไหว เลยแอบไปปั่น หลวงพระบาง -กิ่วกะจัม ก่อน แต่ก็แค่ day trip แต่ที่พี่ต๋องจัดไม่ใช่ day trip และก็ไม่ใช่ touring เต็มรูปแบบ แต่จากครั้งนั้น ไม่ใช่แค่หนิงติดใจคนเดียวเท่านั้น มีอีกหลายคน ทั้งพี่ไกด์ พี่หมู พี่พงษ์ ออย ที่ติดตามไปทุกทริปหลังจากนั้น ส่วนพี่ซุป พี่ขม ก็หลวมตัว ตามอยู่ 2 ทริป

ส่วนคนอื่นๆอย่างพี่ก้อย ที่ไปด้วยตอนแรก ก็อยากจะไปด้วย แต่ว่าติดภาระกิจ ส่วนตัวต่างๆ แต่เมื่อหนิงกลับมาเล่าให้ฟัง ก็จะเกิดอาการอยากไปด้วยอีกทุกครั้ง

ครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่3 แต่เป็นหนที่2 ในรอบปี เมื่อต้นปี เราไปลุยเวียดนามมา เส้นทางน่าสนใจ แต่เวลาไม่อำนวย หลายอย่างเราต้องกระชับด้วยการนั่งรถ ทำให้เราล้า จนไม่ค่อยสนุกเท่าไร แต่หนนี้ เวลาเราเต็มที่ลาพักร้อนกัน 10 วันเลย เรียกว่าลืมบ้าน ลืมผัว(อันนี้หนิงไม่มีให้ลืม) กันเป็นแถว

ในตอนแรกพี่ต๋องบอกว่าจะไปปั่นลี้เจียง เป็นที่ดีใจมากของน้องๆ แล้ว สมาชิกใหม่ก็เพิ่มขึ้น มีพี่บี๋และพี่ชายมาร่วมปั่นด้วย แต่อยู่มาวันหนึ่ง พี่ต๋องโทรมาถามน้องๆว่า ถ้าจัดทริป ไม่ปั่นจะโอเคไหม หนิงเลยบอกว่า ‘พี่ คนที่เขาอยากไปคือไปปั่นนะ ถ้าไม่งั้นจะเสียการใหญ่’ ในที่สุดพี่ต๋องก็จัดหาเส้นทางสำเร็จ เป็นเส้นทางจากชายแดนจีน เลาะตะเข็บชายแดนในจีน ไปทางเวียดนาม ระยะทางปั่นประมาณ 400กิโลเมตร ปั่นประมาณ 4วัน ตามโปรแกรม พวกเราทุกคนโอเค ทั้งสมาชิกเก่า สมาชิกใหม่

เรื่องสมาชิกที่ไปด้วยนี้ ล้วนแต่ฝีมือฉมังทั้งนั้น ผ่านแข่งไตรกีฬา หรือจักรยานทางไกลทั้งนั้น เพราะงั้น ไม่เป็นที่น่าห่วงเลยสำหรับนักปั่น
ส่วนผู้ติดตาม เนื่องจากลาพักกันหลายวัน ก็เลยกลัวอาการ ลืมลูก ลืมเมีย บรรดาสามีทั้งหลายก็ยกครอบครัวกันมา เจ้าประจำก็พี่ปันหยาภรรยาพี่ต๋อง ขานี้ ถึงไหนถึงกัน ลุยสุดๆ ตามไปให้กำลังใจทุกที่ แถมหนนี้พกลูกชายคนเล็ก น้องเกาะตัวแสบ ที่พิสูจน์แล้วว่าลูกพ่อจริง มาป่วนสาวๆในทริปนี้ด้วย

ครอบครัวถัดมาคือพี่หมี ภรรยาพี่หมู พี่หมีเป็นสมาชิกท่องเที่ยวกับพี่ต๋องครั้งที่ไปมาดากัสกา ตอนนั้นหนิงไม่ได้ไปด้วย เลยไม่รู้จักคุ้นเคย แต่มาคราวนี้เห็นน้ำใจที่พี่มีเผื่อแผ่มาถึงน้อง และความเป็นกันเองสนุกสนาน
ถัดมาเป็นครอบครัวพี่บี๋ พี่บี๋ถือเป็นสมาชิกใหม่ก๊วนนี้ แต่พี่บี๋ก็สนิทสนมมานานกับพี่ต๋อง พี่บี๋พาภรรยา กิ๊ฟมาด้วย กิ๊ฟเป็นแอร์รุ่นเดียวกับหนิง จึงค่อนข้างจะสนิทกันเร็ว นอกจากนี้ กิ๊ฟยังพาคุณแม่มาเที่ยวอีกด้วย แถมพี่บี๋พาหลานสาวน้องมุกมาอีกคน บ้านนี้เขามาแบบ ยกครัวกันมา

ต่อมาเป็นครอบครัวพี่ไกด์ ที่มีพ่อแม่ลูก พี่แคท กะน้องแทนไท ที่ตอนนี้เริ่มจะซนแล้ว ยิ่งได้เจ้าเกาะ ลูกชายคนเล็กของพี่ต๋องและพี่ปันหยาแล้ว แทนไทยิ่งพัฒนาความซนยิ่งขึ้น

สำหรับนักปั่นที่มาเดี่ยวกัน ก็มีหนิง ออย พี่พงษ์ พี่ชาย หนิงกับออยถือเป็นผู้หญิงแค่2คนที่ปั่นคราวนี้ ครั้งแรกที่ปันไปสิบสองปันนา มีพี่ก้อยร่วมด้วย แต่เนื่องจากภาระมากมาย พี่ก้อยก็ไม่ได้มาคราวนี้ ออยเพิ่งปั่นจักรยานได้ไม่นาน แต่ถือว่าฝีมือไม่เป็นรองใคร เนื่องจากได้อาจารย์ดีคือพี่ต๋อง และออยยังเป็นนักวิ่งฝีเท้าดีคนหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะปั่นได้ขนาดนี้

สำหรับหนิงคงไม่ต้องพูดถึง เพราะหายใจเข้าออกเป็นจักรยานตลอดเวลา แล้วมาแบบไม่ต้องแบกสัมภาระ ยิ่งสบายใหญ่ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง

พี่พงษ์ เสือผู้ไม่เคยทิ้งลาย คราวนี้ไม่ได้พาพี่ปุ๊กภรรยาที่น่ารักมา เพราะว่าต้องลางานนาน เลยออกมาเป็นหนุ่มโสดอีกครั้ง พี่พงษ์ใช้ช่วงเวลา 10วันคุ้มที่สุดในทริป ไม่ได้หมายความว่าพี่พงษ์ไปเที่ยวอะไรนะ แต่ใช้ความอิสระโบยบินไปกับสายลมและแสงแดดในทุกที่ ทุกเวลา และจังหวะชีวิต

พี่ชาย พี่ชายเป็นนักไตรกีฬาเหมือนพวกเรา ความแข็งแรงมีมาก แต่หลายปีก่อน พี่ชายถูกแมลงกัดเข้าที่ศรีษะเมื่อคราวไปเที่ยวป่าเมืองกาญจน์ เป็นเหตุให้ติดไวรัส ซึ่งมีผลให้สภาพร่างกายอ่อนแอ และอาจถึงชีวิตได้ถ้าไม่รักษาให้ถูกต้อง พี่ชายต้องหยุดการแข่งไตรกีฬามาหลายปี เลยหันไปขี่มอเตอร์ไซด์แทน แต่เมื่อร่างกายแข็งแรง จิตวิญญาณที่เคยผ่านความห้าวมาแล้วก็เรียกร้องที่จะกลับมาอีก คราวนี้พี่ชายจึงไม่ลังเลที่จะมาด้วยกัน


นอกจากพวกเราที่จะร่วมเดินทางคราวนี้ เรายังมีผู้ที่จัดการเรื่องเส้นทางและการขนสัมภาระ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น พี่พเยาว์ เจ้าเก่านั้นเอง พี่พเยาว์ น้าเยาว์ หรือพี่เยาว์ ของน้องๆแล้วแต่จะเรียกกันไป เราเคยใช้บริการกันมาแล้ว พี่เยาว์จึงรู้ลักษณะเฉพาะของลูกทัวร์ กรุ๊ปนี้ดี พี่เยาว์เองค่อนข้างจะชื่นชมพวกเราเรื่องเวลา ที่ไม่ค่อยจะเหลวไหลกันเหมือนกลุ่มอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะ พวกเราต้องทำงานที่ตรงต่อเวลา จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวของ ลูกเรือการบินไทยส่วนใหญ่ คราวนี้พี่เยาว์หาคนนำทาง หรือ Buddy ผู้เชียวชาญ เส้นทางสายนี้มาให้เฉพาะ คราวก่อน มีพี่เบิร์ด ช่างจากเชียงรายมาร่วมแจม แต่หนนี้ เป็นเสือผู้ชำ่ชองสุดๆ ทั้งเส้นทางและผู้คน เขาคือพี่ วัชระ หรือเสือเทา หลายคนคงรู้จักดี จากเรื่องราวที่เล่าจากประสบการณ์ของพี่เขา

ดังนั้นนักปั่นหลักๆจะมี9คน ส่วนพี่เยาว์จะแจมเป็นช่วงๆ พวกเราเดินทางออกจากกรุงเทพโดยสารการบินแห่งชาติ ไปถึงเชียงรายสายเนื่องจากฝนที่ตกหนักมากๆที่กรุงเทพ ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดการทำงาน ต้องรอฝนหยุดอย่างเดียว สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง เกิดเหตุฟ้าผ่าเอาเจ้าหน้าที่ขณะทำงานระหว่างที่ฝนตก หลัง จากนั้นทุกหน่วยงาน และทุกสายการบิน จึงได้ตกลงที่จะหยุดทำงานขณะฝนตกหนัก
พวกเราจึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการ เอาอาหารที่ตระเตรียมออกมาทานกัน พวกเราเลือกมุมที่หลบตาผู้โดยสารคนอื่นๆ เพราะเกรงใจว่า กินแล้วไม่ชวน แต่เรามีอาหารมาตามจำนวนคน จึงจำจะต้องแอบกินกันเงียบๆ

เรามาถึงเชียงรายโดยมีพี่เยาว์ พร้อมรถขนของ ขนคน มารออยู่แล้ว คืนนั้นไปถึงโรงแรมที่เชียงของ ดึกแล้ว พวกเราทานรอบดึกเสร็จก็แยกย้ายไปนอน โรงแรมที่พัก ก็เป็นของพี่เยาว์เอง โดยโรงแรมตั้งอยู่ริมโขง มองเห็นฝั่งลาว ชัดเจนสวยงาม คืนนั้นเรานอนเก็บแรงไว้สำหรับรุ่งขึ้น

วันที่30 กันยายน 2553
วันแรกของการเดินทางไปครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยท้องฟ้าที่สดใส ไร้เมฆฝนให้กังวลใจ พวกเราตื่นเช้ามา ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นฝั่งลาว เป็นแสงสีทอง ทอเป็นประกายระยิบระยับ เห็นแดดอย่างนี้ใจหนึ่งก็นึกดีใจว่าไม่เจอฝนเป็นแน่แท้ แต่อีกใจหนึ่ง ก็อดหวั่นใจกับความร้อนที่จะต้องเจอไม่ได้ มันคงเผาพวกเราจนดำเป็นตอตะโกเป็นแน่ เรื่องฝนจะว่าไปแล้วหนิงมีประสบการณ์มากมายกับการปั่นกลางสายฝนมาแล้ว ครั้งหนึ่ง เคยปั่นข้ามเขาจากด่านช้างสุพรรณบุรี ไปศรีสวัสดิ์เมืองกาญจน์ หนนั้นปั่นกลางสายฝนตลอด แถมยังทานข้าวกลางฝนอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องฝนสำหรับหนิง ไม่กังวล แต่ที่กังวล ก็เพราะ เขาที่นี้ค่อนข้างจะสูงมาก เพราะฉะนั้น เวลาลงเขา ย่อมต้องยาวไกลกว่าที่ลงข้ามไปศรีสวัสดิ์เป็นแน่ และถ้าต้องเจอฝนระหว่างนั้น พวกเราอาจได้รับอุบัติเหตุได้ ซึ่งการมาเที่ยวอย่างนี้ ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุแน่นอน

หนิงแอบสวดมนต์ ขอพรพระให้พระพิรุณช่วยหยุดพักร้อนไปเที่ยวไหนก่อนก็ได้ สัก 6-7วัน ขอปั่นจักรยานก่อน

เราเตรียมตัวออกเดินทาง8โมงเช้า หลังจากทานข้าวเช้า และเซ็ตรถจักรยานแล้ว หนนี้หนิงค่อนข้างเปรี้ยวกว่าทุกหน เพราะไม่แพ็ครถจักรยานเลย มาเป็นคันๆ ไม่ใส่กันกระแทกใดๆ เพราะคันที่หนิงเอามาด้วยคราวนี้ เป็นรถที่ตั้งใจซื้อมา ทัวร์ริ่งโดยเฉพาะ เป็นGiant สี ขาว ขนาด XS ที่ไปลากมาจากญี่ปุ่น เมื่อปีก่อนโน่น หลังจากพากันไป ทัวร์ริ่งมาหลายรอบ คันนี้ถือว่ารักที่สุดเลยก็ว่าได้

พวกนักจักรยานปั่นของใครของมันไปยังท่าเรือ หลังจากที่ทุกอย่างเซ็ตเรียบร้อย ซึ่งตรงนั้นจะมีด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นั้น พี่เยาว์เป็นธุระจัดการเรื่องPassport ให้พวกเรา ทั้งออกจากเมืองไทย และเข้าลาว เรามีหน้าที่พาตัวเองพร้อมจักรยานไปยังท่าเรือเท่านั้น ส่วนผู้ติดตามทั้งหลายถูกต้อนขึ้น รถพร้อมสัมภาระ พาไปยังท่าเรือ

มาคราวนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงอย่างหนึ่งคือ น้ำสูงกว่าที่มาทุกครั้ง ทุกครั้งที่ผ่านด่านนี้ น้ำจะลดลงมาก บางทีก็เห็นโขดหินกลางลำน้ำ แต่วันนี้ มองออกไป เห็นแต่สายน้ำ ไหลแรง อาจเป็นเพราะครั้งนี้เป็นหน้าฝน เพราะทุกครั้งที่มาเป็นปลายฤดูหนาว แต่โดยส่วนตัว หนิงว่าหนิงชอบช่วงน้ำลดมากกว่า เพราะโขดหินที่โผล่พ้นน้ำมา ทำให้แม่น้ำโขงดูน่าตื่นเต้นมากกว่าน้ำเยอะ เวลาคนเรือร่องเรือในน้ำโขง จะต้องดูร่องน้ำให้ดี ไม่อย่างนั้น จะทำให้ใบพัดเรือไปกระแทกหิน และอาจทำให้บิ่น เสียเวลากว่าจะซ้อมได้

เราข้ามฝั่งด้วยเรือหางยาว ไม่เกินห้านาที เราก็ข้ามฝั่งเรียบร้อย ที่ฝั่งลาว มีรถมารอรับของเรียบร้อย เรารอให้เขาจัดแจงเอาจักรยานขึ้นรถ เมืองด่านฝั่งลาวชื่อว่าห้วยทราย เมืองนี้ค่อนข้างคึกคัก เพราะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหลายคนพักก่อนที่จะออกเดินทางไปยัง ลาวหรือไทย เช่นเดียวกับเชียงของ ที่นี้เราจะเห็น Guest House เรียงรายมากมาย มีร้านอาหาร บาร์เบียร์ต่างๆ ถึงจะไม่มากเท่าฝั่งไทย แต่ก็ทำให้คนพื้นเมืองในย่านนี้มีกิจการต่างๆรอง รับนักท่องเที่ยวได้เยอะ เรารอไม่นานนัก การpackรถก็สำเร็จลง รถตู้คันหนึ่งขนแต่คน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ติดตามและสาวๆ ส่วนอีกคันมีทั้งสัมภาระ จักรยานและคน ส่วนใหญ่ ก็พี่ๆผู้ชายไปนั่งคันนั้น ส่วนอีกคัน เป็นรถ คาริเบียนของพี่เยาว์ มีพี่เยาว์ขับ และพี่หมูนั่งไปเป็นเพื่อน พวกเราอำพี่หมีกันเล่นๆว่า ถูกพี่หมูทิ้งไปนั่งรถกับชายอื่นซะแล้ว พี่หมีบอกว่าอยู่กรุงเทพ พี่หมูก็มีคุณแอนเป็นคู่หู ฟังดูเศร้าๆ แต่จริงๆแ้ลว คู่นี้เขารักกันมาก

รถเริ่มออกเดินทางตอน9โมงกว่า วันนี้ เรารู้แน่ว่าต้องนั่งรถกันก้นบานไปข้าง เพราะระยะทางฟังดูว่าไม่กี่ร้อยกิโล แต่เส้นทาง ไม่อาจทำให้ขับรถเร็วตามใจหวังได้ ถนนลาวขับแบบฝรั่งเศส คือวิ่งเลนขวา ถนนกว้างแค่ 2เลน เส้นทางแถวนั้น จะเป็นเขาสูงใหญ่ทั้งนั้น เพราะทางตอนเหนือ เราๆ ท่านๆคงรู้ดีว่าเป็นแนวเขาทั้งสิ้น เรานั่งไปได้พักนึง หลายคนก็ออกอาการ ตาลาย เมารถกันเป็นแถว ที่แน่ๆ ก็ออย แต่ออย เป็นนกรู้ ก่อนออกจากเชียงของ ออยไปเหมาบ๋วย 3รส มา หลายกระปุก เรียกว่ากินกันตายไปข้าง หลายคนได้บ๋วยช่วยลดอาการเมา พี่บี๋กินจนปากเป็นแผลร้อนใน
ส่วนน้องแทนไท ลูกชายพี่ไกด์ ก็ทำโจ๊กไปหลายชามทีเดียว เรียกว่า พี่ๆน้องๆแถวนั้น ไม่นึกอยากกินกันเลย

สองข้างทางที่เราผ่านจะมีหมู่บ้านเป็นระยะ ระยะ เท่าที่เห็น ความเจริญกำลังเข้ามาสู่ ชนบทในลาว แต่ก็น่าเห็นใจ ในเมื่อคนเมืองมีชีวิตที่อู่ฟู่ ถึงไหนแล้ว จะให้ชาวบ้าน เขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าหน่อยไม่ได้เชียวหรือ อย่างน้อยๆ ไฟฟ้า ก็ควรจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้แล้ว

เราผ่านหมู่บ้าน สลับกับป่าเขา ป่าบางช่วงยังคงความเป็นป่า มองไปมีต้นไม้ใหญ่ แต่บางช่วงที่เห็น กลับเป็นสวนยางขนาดไม่ใหญ่ไม่โต ขึ้นอยู่กับว่า เขาลูกนั้นมีความชันมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ชันมาก สวนยางก็จะมีให้เห็นเรื่อยๆ สองข้างทาง

แต่สวนยางที่นี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลเท่าไร อาจเป็นเพราะชาวลาวเองคงเพิ่งจะเริ่มปลูกกัน ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้ว เขาปลูกช้ากว่าบ้านเราหลายสิบปีนัก สอบถามจากพี่ทอง คนขับรถเจ้าประจำที่มาบริการเราเสมอเรื่องสวนยาง พี่ทองเล่าว่ารัฐบาลให้การ สนับสนุนในการปลูกยาง แต่พื้นที่ที่เขาปลูกกัน คือพื้นที่ป่า ที่เข้าไปบุกรุก พี่ทองออกจะไม่เห็นด้วย เพราะว่ายางเป็นพืชที่มีความต้องการน้ำสูงมาก ความเชื่อของหลายคนที่หนิงมักได้ยินเสมอคือ ยางจะทำให้ดินเสีย

เรานั่งรถหลับๆตื่นๆ จนมาถึงหลวงน้ำทา เมืองนี้เป็นเมืองผ่านที่พวกเราเคยมาพักครั้งที่ไปปั่นเมืองจีนครั้งแรก ตอนนั้นพักช่วงขากลับ คราวนี้ เราก็จะต้องมาพักวันเรากลับเหมือนกัน เราพักทานข้าวเที่ยงที่นี้ โดยร้านอาหารที่เราทาน มีเจ้าของเป็นคนไทย หนิงเดาว่าคงจะรับทัวร์คนไทยที่ต้องผ่านทางนี้เป็นแน่ เนื่องจากดูเวลา แล้วเหมาะกับการพักทานข้าวเที่ยง

หลังอาหาร เราออกเดินทางต่อ ใครใคร่หลับก็หลับกันไป พวกเมารถก็แน่นอนอยู่แล้ว
ตีตั๋วนอนกันไป

เรามาถึงด่านตอนบ่าย2โมงครึ่ง พี่เยาว์จัดการเรื่อง passport ให้เรา เราผ่านด่านลาวฉลุย ส่วนด่านจีน เราต้องเข้าไปตรวจเองที่ละคน แต่มาคราวก่อน ด่านนี้ดูไม่ใหญ่โต ผ่านไปแค่ปีกว่าๆ ความเปลี่ยนแปลงก็มีมาก นอกจากอาคารที่ใหญ่โตแล้ว ตรวจคราวนี้เข้มกว่าครั้งก่อนๆ เราเข้าแถวให้ตรวจกระเป๋าทีละคน หนิงเคยอ่านเจอในหนังสือท่องเที่ยวหลายเล่มว่า ช่วงหลายปีนี้ประเทศจีนเข้มงวดเรื่องหนังสือนำเที่ยวประเทศจีนมาก โดยเฉพาะ Lonely Planet เขาเห็นเป็นต้องยึด แต่พอผ่านด่านออกไปหน่อย ก็เห็นขายเกลื่อน เลยไม่รู้ว่า เข้มจริงหรือว่าไง แต่พวกเราก็ผ่านการตรวจมาได้ เราผ่านด่านมารอรถขนจัรยานและสัมภาระ ที่เราเปลี่ยนจากรถลาว มาเป็นรถจีน มาจีนเราต้องมีไกด์จีนตามที่กฎหมายเขากำหนด เป็นสาวน้อยวัย 25ปี ชื่อ Lily พูดภาษาไทยคล่องแคล้ว เพราะเคยมาเรียนภาษาไทยที่กรุงเทพ
เราเปลี่ยนมานั่งรถvanขนาดใหญ่กว้างรถตู้ ทำให้พวกเรามีเนื้อที่ในการนั่งยืดแข้งยืดขาหน่อย หนิงตีตั๋วหลังห้อง ตามสไตล์เด็กไม่เรียนหนังสือ มีออยนั่งถัดไป ส่วนพี่ชาย และพี่พงษ์นั่งด้านหน้าถัดไป
เรานั่งรถผ่านข้ามแดนมาเวลาตอนนั้นเร็วกว่าบ้านเรา1ชม ทั้งที่จริง แสงแดดที่กำลังจะคล้อยเป็นแสงแบบเดียวกับบ้านเรา ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่เวลาที่ประเทศจีนทั้งประเทศเป็นเวลาเดียวกัน ดังนั้นเขาเลือกที่จะใช้เวลาทางฝั่งตะวันออกเป็นหลัก
ทำให้อยู่ดีๆ เราก็เสียชั่วโมงไป 1ชั่วโมงให้กับประเทศจีน

เรานั่งรถบนทางด่วน มองไป2ข้างทาง เราจะเห็นเขาใหญ่ๆหลายลูก เขาเหล่านั้นมองดีๆ เป็นสวนยางทั้งเขา สวนยางทั้งเขาจริงๆ เขากี่ลูก กี่ลูกตรงหน้า ก็เป็นสวนยางทั้งนั้น หนิงค่อนข้างจะตื่นใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเห็นเมื่อหลายปีก่อน เพราะปลูกกันอย่างนี้ แล้วสวนยางท่ีหนิงลงทุนไปจะสู้ไหวเหรอ แต่คำตอบที่ถามหามาได้ ถึงจะไม่กระจ่างแต่ก็ได้คำตอบจากLilyว่า ยางที่ได้ส่วนใหญ่จะใช้ในประเทศ แต่ก็มีบางส่วนที่ผลิตสินค้าและส่งออกนอกเช่น ยางรถยนตร์เป็นต้น

ประเทศจีนใหญ่มาก สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็ประกอบไปด้วยยางเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นลำพังการปลูกยางในสิบสองปันนา ก็ไม่ทำให้การปลูกยางจะทำให้จีนเป็นตลาดใหญ่ในการผลิตยางไปได้

Lilyยังบอกอีกว่าทั้งประเทศจีน ปลูกยางที่สิบสองปันนาเท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไป อากาศไม่อำนวยให้ยางผลิตน้ำยางได้มาก

และจะบอกอีกอย่างว่า นอกจากนาขั้นบันไดที่เราจะได้ดูแล้ว ยางพาราที่นี้ก็ปลูกแบบขั้นบันไดเหมือนกัน

รถยังคงวิ่งเรื่อยๆบนทางด่วน มุ่งหน้าไปหมู่บ้าน ไทลื้อ ที่เชียงกลาง คืนนี้เราจะต้องนอน home stay กันที่นั้น สำหรับหนิง เคยมาแล้วจากการมาปั่นครั้งก่อน ตอนนั้นอากาสเย็นสบาย เราไปถึงที่นั้นมืดแล้ว เวลาท้องถิ่นก้2ทุ่มกว่าๆ ทำให้เราพลาดการชมการแสดงของชาวบ้าน แต่ชาวบ้านก็จัดอาหารมากมายไว้ต้อนรับเรา ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารพื้นเมืองทั้งสิ้น

ชาวไทลื้อเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ดั่งเดิมในสิบสองปันนา เป็นกลุ่มที่อาสัยอยู่ในพื้นที่ราบริมน้ำ แตกต่างจากชนกลุ่มอื่นๆ
มณฑลยูนนาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ประกอบไปด้วย เมืองต่างๆน้อยใหญ่ ได้แก่ 16จังหวัด 9 เทศมณฑลระดับเมือง 79เทศมณฑล 12เขต และ 29เขตปกครองตนเอง
เมืองที่เราผ่านอยู่ในเขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา และ เขตปกครองตนเองชนชาติอาข่า-อี๋ หงเหอ
มณฑลยูนนานยังมีชายแดนติดต่อกับ3ประเทศได้แก่ พม่า ลาว และ เวียดนาม และยังมีแม่น้ำหลายสายที่ไหลผ่านลงมายังภูมิภ่คด้านล่าง อย่าง แม่น้ำโขง หรือล้านช้าง ที่มีต้นกำเนิดจากทิเบต ที่ไหลลงมายังพม่า ไทย ลาว หรือ อิระวดี หรือสาละวิน ที่ผ่านไปลงพม่า รวมทั้งแม่น้ำแดงที่ไหลยาวไปจนถึงอ่าวตังเกี๋ยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำจู และแม่น้ำ แยงซีอีก

ชนชาติไท ในสิบสองปันนายังมีภาษาหลายอย่างคล้ายคนไทยด้วย อย่างนับตัวเลข หรือกินข้าว เราก็พูดกันกร้อมๆแกร้มๆกันไป และคำว่าสิบสองปันนา เป็นคำที่เพี้ยนมา จากคำว่าสิบสองพันนา เพราะสมัยโบราณ บริเวณนี้เป็นที่ที่ชนชาติไทอาสัยกันมาก และมีการทำนาเป็นพันๆไร่ ต่อมาเมื่อจีนเข้าครอบครอง การกลมกลืนทางวัฒนธรรมและภาษาก็มีอิทธิพลที่ทำให้วัฒนธรรมของชนชาติไท จางไปบ้าง แต่ก็ยังไม่สูญหายซะทีเดียว อย่างน้อยๆ บ้านเรือน และวัฒนธรรมบางอย่าง ก็ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลที่มองเห็นคุณค่า

พูดถึงบ้านเรือน บ้านที่นี้เป็นเอกลักษณ์มาก หนิงเคยเห็นบ้านคล้ายๆกันแบบนี้ที่จังหวัดน่าน ที่นั้นก็เป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคนไทเหมือนกัน บ้านคล้ายๆกันเลย แต่มีไม่มากแบบนี้
เห็นอนุรักษ์ไว้ไม่กี่หลังแล้ว ผู้ใหญ่บ้านเรามองไม่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างนี้ ดีแต่จะวิ่งตามฝรั่งขาขวิด

บ้านที่นี้จะอยู่กันเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 40-50หลังคาเรือน จะเป็นบ้านยกใต้ถุนสูง มีบันไดด้านหน้าที่เดียว คงกลัวพ่อบ้านหนีเที่ยว หลังคาเป็นผืนใหญ่ ยื่นยาว ทำเป็น2ตับ จนมองไม่เห็นกำแพง อาจเพราะหน้าหนาวคงจะกันลมได้บ้าง
บนเรือนจะมีโถงใหญ่ จะแบ่งห้องออกเป็นห้องนอนและห้องเอนกประสงค์ มีครัวไฟ คือครัวที่อยู่ด้านหลังเรือน ในแต่ละบ้านจะไม่มีหิ้งพระ แต่จะมีหิ้งผีบรรพบุรุษที่ติดตั้งไว้กับฝาบ้าน อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่รู้ในตอนแรก ไม่งั้น คงไม่ได้นอนหลับสบายแน่ๆ เพราะกลัวบรรพบุรุษมาหา

คืนนั้นพวกเราไม่มีโอกาสได้ชื่นชมหมู่บ้านเท่าไหร เพราะความเพลียที่เกิดจากการเดินทาง แล้ววันรุ่งขึ้น พวกที่ต้องปั่นจักรยาน ก็จะได้ออกแรงกันแล้ว คืนนั้น เราถูกจัดให้แยกกันนอน บ้านละ 5-6คน แล้วแต่ว่าบ้านนั้นจะรับได้เท่าไร คืนนั้นหลังอาหาร เรารีบอาบน้ำนอน หนิงมองบนฟ้าคืนนั้น เห็นดาวเต็มฟ้า สวยงามมาก ได้แต่ภาวนาในใจว่า วันพรุ่งนี้ คงไม่เจอฝนนะ เราจะได้ปั่นจักรยานกันอย่างสบายอารมณ์

เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า