วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทริปหนีเมียเที่ยว... กลับเมืองกาญจน์ถิ่นเก่า

ทริปหนีเมียเที่ยว...กลับเมืองกาญจน์ ถิ่นเก่า

เริ่มต้นการหนีเมียเที่ยวครั้งนี้ ฟังดูเหมือนโยนกระเป๋าออกนอกรั้วแล้วปีนกำแพงหนีออก จากบ้านมายังไงยังงั้น แต่ที่จริงแล้ว แค่ยิ้มให้เมียแล้วเดินออกจากบ้านอย่างสง่าผ่าเผย ดูจะง่ายกว่า เพียงแต่ว่าเมียอย่าจับได้แล้วกันว่าผัวโกหกว่าไปทำงาน แท้จริงแล้วหนีเที่ยว

เรื่องราวคราวนี้เริ่มต้นที่เจ้าของความคิดคือพี่ปุ๊ย ผู้ช่ำชองเส้นทางรอบเขื่อนศรีฯที่ เมืองกาญจน์ เกิดอาการอยากกลับไปขี่เล่นแถวนั้นอีกครั้ง เมื่อหลายปีก่อน หลายครั้งหลายหนที่เส้นทางนี้ถูกจัดแข่งขันจักรยานทางไกล ทั้งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจัดและทั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฎจัด นักแข่งจักรยานหลายคนทั้งเข็ดขยาดจากเขา ทั้งเจ็บขนาดจาก การล้ม แต่บางคนอย่างพี่ปุ๊ยเหมือนหายใจเข้าออกเป็นถนนสายนี้มาตลอดเวลา ทุกครั้่งที่ขี่ เล่นที่พระรามห้า พี่ปุ๊ยจะติ๊งต่างว่าสะพานวงเวียนคือ เขาตับแตก(ตับเต่า) แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา ทั้งป่ัน ทั้งโยกขึ้น พาลทำให้พวกพี่ๆที่ขี่ตามกันมาข้างหลัง ต้องกระทืบบันได ถีบตามขึ้นสะพานเป็นการใหญ่


เมื่อความอยากมันส์ล้นอก พี่ปุ๊ยก็จัดการเดินถามพี่ๆ คนอื่นๆว่ามีใครบ้างที่สนใจจะไปปั่นด้วยกัน บังเอิญว่าวันนั้นหนิงเดินเฉี่ยวไปมา อยู่แถวๆนั้น แล้วหูก็กางใบรับคลื่นความถี่ ได้ยินแว่วว่า ‘ไปกันกี่คน’ ก็เลยเกิดอาการอยากรู้อยากเห็น หนิงเดินเข้าไปถามพี่ปุ๊ยว่าไปไหนเหรอ พี่ปุ๊ยซ่ึงกำลังตกลงกับพี่พล ก็เกิดอาการโกหกไม่เป็นขึ้นมาซะงั้น เลยบอกที่มาที่ไปกับหนิง หนิงเองก็เกิดอาการ จะอยู่บ้านไปใย ออกไปหาที่เที่ยวเล่นดีกว่า เลยขอตามเขาไปดื้อๆ เป็นอันตกลงว่า เริ่มมีคนสนใจจะไปขี่กันที่เขื่อนศรีอีกครั้ง

พวกพี่ๆนัดกันแล้วตกลงกันว่า Long weekendนี้ จะขี่กันที่พระรามห้าก่อนในวันศุกร์ จากนั้นจะขับรถกันไปเลย แผนนี้ถูกวางไว้จากคนหนีเมียเที่ยว (เป็นใคร ไปสืบกันเอาเอง)


เช้านั้น หนิงจัดเตรียมทุกอย่างพร้อม ตามคำสั่งของผู้จัดการทริป หนิงออกจากบ้านสายหน่อย เพราะรู้ดีว่ายังไงยังไงพวกพี่ๆก็คงปั่นกันไม่น้อยกว่า 6รอบเป็นแน่ แล้วก็จริงดังคาด หนิงเข้ากลุ่มตอนที่เขาปั่นกันไปแล้ว 2รอบ ดูเหมือนคนไม่เยอะ เพราะเป็นวันหยุดยาว หลายคนไปเที่ยวกับครอบครัว เราพวกที่เป็นอิสระบ้าง ไม่อิสระบ้างจากครอบครัว ก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ยิ่งปั่นมากรอบ พี่ๆก็ยิ่งกระทุ้งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรอบสุดท้าย หนิงขอแบบเบาๆหน่อย แต่ในบรรดาหัวลาก ดูพี่สุเมธจะเข้าใจความหมายหนิงคนเดียว นอกนั้น เบาของพี่ๆเขา อาจหมายถึงปั่นให้หนัก ให้รู้สึกตัวเบา รอบสุดท้ายหนิงเลยเกิดอาการลิ้นปลิ้นออกมา

กลับเข้าที่จอดรถ ต่างคนต่างอาบน้ำ อาบท่า เตรียมพร้อม วันนี้หนิงขับรถไป โดยรถหนิงมีพี่ปุ๊ยกับพี่แขกนั่งไปด้วย ส่วนรถอีกคันพี่หมึกขับ มีพี่นพ กับพี่สุเมธเป็นตุ๊กตาหน้ารถ เราออกจากรุงเทพก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆแล้ว โดยไปรวมตัวกันที่ปั๊ม ปตท บนถนนที่่มุ่งหน้าไปสุพรรณ เราเลือกใช้เส้นทาง บางเลน กำแพงแสน กาญจนบุรี แทนเส้นทาง นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี ด้วยเหตุผลคือ เส้นทางสายนั้นมีไฟแดงเยอะ และคาดกันว่าวันนี้ต้องมีผู้คนใช้เส้นทางหลักเยอะมาก แล้วพวกเราก็ไม่ผิดหวัง เพราะเส้นทางนี้ รถจัดว่าน้อยสำหรับในช่วงเทศกาล อาจเพราะคนยังไม่นิยมเส้นทางนี้เท่าไหร่ สำหรับพวกที่มีบ้านอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเทพ เหมาะที่จะใช้เส้นทางนี้เดินทางไปเมืองกาญจน์มาก แต่ยังมีถนนบางช่วงเท่านั้นที่กำลังทำ ซึ่งอีกไม่นานถนนเส้นนี้ก็จะเป็นถนน4เลน ขับสบายเส้นหนึ่ง แต่ที่จะน่ารำคาญหน่อยก็หนีไม่พ้น 10ล้อ เพราะในละแวกนั้นเห็นรถขนอ้อยวิ่งผ่านกันสนุกสนาน คาดว่าน่าจะเป็นแหล่งปลูกอ้อย โรงน้ำตาลแห่งหนึ่งทีเดียว

จะเล่าเรื่องบางเลนสักหน่อย บางเลนเป็นอำเภอใหญ่อำเภอหนึ่งของจังหวัดนครปฐม เป็นอำเภอที่อยู่ห่างตัวจังหวัดมาก และเป็นอำเภอเก่าแก่มาแต่โบราณ มีสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังอย่างเช่นตลาดน้ำลำพญา ริมแม่น้ำท่าจีนเป็นตัวชูโรง


ถัดจากบางเลน เราจะเข้ากำแพงแสน เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่มีประวัติเก่าแก่ สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองบริวารของเมืองนครไชยศรีในสมัยทวาราวดี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ กรมป่าไม้ กระทรางเกษตรและสหกรณ์ ร่วมไปถึงเป็นเขตของทหารอีกด้วย ในส่วนเมืองเดิมของกำแพงแสน ปัจจุบันไม่พบ โบราณสถานใดๆ เหลือเพียงคูน้ำเท่านั้น ทางจังหวัดนครปฐม จึงจัดเป็นค่ายลูกเสือ และสวนรุกขชาติไป

ทุกครั้งที่เราวิ่งเส้นทางนี้ เราก็ได้ แต่ผ่านไปมา ยังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชมจริงๆสักครั้ง

เราขับรถตามๆกันไปเรื่อยๆ ผ่านพนมทวน เข้าเขตเมืองกาญจน์ มองไปสองข้างทาง เห็นความแห้งแล้งในช่วงเริ่มต้นของฤดู คาดกันว่าหน้าร้อนนี้คงจะสาหัสน่าดู


เราขับเข้าสู่เส้น By pass เมืองกาญจน์ ก็เจอรถพี่พลและครอบครัวที่ขับล่วงหน้ามาก่อน มาดักรอพวกเรา หวังจะนำพวกเราไปเยี่ยมบ้านที่เมืองกาญจน์ พี่พลเป็นคนเมืองกาญจน์โดยกำเนิด คุณพ่อมาปักหลักปักฐานหลายสิบปี แต่คุณพ่อเป็นคนราชบุรี มาทำงานให้สถานทูตอังกฤษที่นี้ ตอนนี้พ่อพี่พลทำไร่ สวนอยู่ที่เมืองกาญจน์ แถมเลี้ยงงูเห่าเพื่อการท่องเที่ยวอีกด้วย ใครสนใจก็ลองไปดู อีกไม่นานก็คงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งเป็นแน่


ออกจากเขตตัวเมืองกาญจน์ ไม่นานก็เข้าเขตตำบลลาดหญ้า ในช่วงอาทิตย์นี้มีการแสดง แสงสีเสียงเรื่องเกี่ยวกับสงครามเก้าทัพ แต่พวกเราไม่ได้ไปดูกัน

โดยส่วนใหญ่เวลาที่เราผ่านแถวนี้เราจะแวะกินผัดไทกัน โดยร้านนี้เป็นร้านที่ขึ้นชื่อทีเดียว ชื่อว่าซุ่นเฮง ร้านอยู่ทางซ้ายมือริมถนน มุ่งหน้าไปเขื่อนศรีฯ

หลังจากนั้น พวกเรารถ3 คันมุ่งหน้าตรงไปยังเขื่อนศรีนครินทร์ หรือเขื่อนเจ้าเณร เขื่อนแห่งที่8 ในจำนวน 17แห่งที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตสร้างขึ้น และยังเป็นเขื่อนหิน แกนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย พี่ปุ๊ยทำการจองที่พักสำหรับพวกเราที่นี้ เขื่อนแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ของคนทุกยุคทุกสมัย เพราะในวัยเด็ก พ่อก็เคยพาหนิงมาเที่ยวเล่นที่นี้เหมือนกัน นอกจากจะมีเขื่อนแล้ว ที่นี้ยังเป็นที่ตั้งของน้ำตกขึ้นชื่อสายหนึ่งคือน้ำตกเอราวัณ น้ำตก 7ชั้นที่มีความยาว 2000เมตร มีทางเดินขึ้นไปจนถึงจุดตาน้ำด้วย แต่ถ้าเดินๆเล่นๆ ก็ใช้เวลานานอยู่ สองข้างทางอุดมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ครั้งหนึ่งหนิงมีโอกาสได้ขึ้นไปถึงตาน้ำ เพราะร่วมแข่ง adventure แต่พอถึงตาน้ำก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะวิ่งขึ้น เหนื่อยขาดใจ หลังจากวันนั้น ก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นไปอีกเลย

เราเข้ามาสู่บริเวณเขื่อน5โมงเย็น พี่ปุ๊ยกลัวว่าเราจะไม่ได้ชมวิวสันเขื่อน เลยให้พวกเรารีบบึ่งรถกันไป ในกลุ่มที่มาด้วยกันวันนี้ พี่นพเพิ่งจะมีโอกาสมาร่วม ขี่ริมเขื่อนที่เมืองกาญจน์กับเราครั้งแรก ก่อนหน้านี้ พี่นพแค่ขี่อยู่ที่พระรามห้า ช่วงหนึ่งที่พี่นพหายไปจากกลุ่ม แต่ไม่นานพี่นพก็กลับมารวมกลุ่มกับพวกเราอีกครั้ง และเห็นว่าครั้งนี้คงจะติดอกติดใจ พวกเราหยุดชมวิวสันเขื่อนพอประมาณ ในขณะที่ชี้ชวนกันดูยอดเขาว่า เขาไหนกันคือเขาตับแตก จริงๆแล้วชื่อตับแตกเนี้ยเป็นชื่อที่พวกเราเรียกกันเอง ชื่อทางการเขาชื่อว่าตับเต่า แต่ที่เราเรียกว่าตับแตกเพราะ กว่าจะปั่นกันไปถึงยอด ด้วยระยะทางแค่ 4กิโล ก็ทำเอาตับจะแตกตายกันเป็นแถวๆ นี้จึงเป็นที่มาของชื่อ ถ้าใครไม่รู้ไปถามชาวบ้านว่าไหนเขาตับแตก ก็คงหากันไม่เจอแน่


ก่อนลงจากสันเขื่อน มีร้านขายอาหารและขายของ รวมทั้งส่วนพักผ่อนของประชาชนทั่วไป เราเลยไปนั่งหาของกินเล่น แต่ดูท่าทางแต่ละคนกินกันจริงจังมาก โดยเฉพาะพี่นพ สั่งส้มตำปูมากินอย่างเมามัน

คืนนี้เราพักกันที่เอราวัน เลค เป็นที่พักอยู่ด้านบนของเขื่อน สภาพห้องสะอาดและราคาไม่แพง เราจองห้องพักติดกัน ทำให้ออกมานั่งสังสรรค์หน้าห้องสะดวก ห้อง5ห้อง โดยเก็บห้องหนึ่งไว้ให้พี่สุวิทย์ด้วย โดยพี่สุวิทย์กับภรรยาจะตามมาสมทบในรอบดึก พี่สุวิทย์เป็นหนึ่งในหัวลากของพระรามห้า ช่วงเช้าก็ยังร่วมปั่นกับเรา แต่ต้องกลับไปรับภรรยาจากสนามบินตอนเย็น เลยมาแจมพวกเราตอนกลางคืน หลังทานข้าวพวกเรายังคงนั่งโด๊ปอาหารกันต่อ ทำอย่างกับว่าพรุ่งนี้จะออกศึกหนัก ยิ่งหนิง พี่พล พี่แขก เรา3คนต้องทำหน้าที่ขับรถ ไปรอที่เท้งยิ่งปั่นน้อยกว่าคนอื่น แต่ก็กินเท่ากันกับพี่คนอื่นๆด้วย

กว่าเราจะเข้านอนก็ปาไป4ทุ่ม อากาศคืนนั้นไม่เย็นมาก พระจันทร์เต็มดวงในวันมาฆบูชา ส่องแสงนวลตา นักปั่นพระรามห้ากลับเข้าห้องคลุมโปงนอน ถึงอากาศจะเย็นตามธรรมชาติ แต่เราก็ขอสบายๆด้วยเครื่องปรับอากาศจะดีกว่า


เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่หลายคนรอคอย ตื่นเช้ามาหนิงเห็นพี่ๆแต่งตัวพร้อมดูคึกคัก วันนี้เราจะมีนักปั่นมาร่วมทรมานร่างกายอีก 4ท่าน 2ท่านแรกเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่หนุ่มขาประจำจากพระรามห้า พี่เทาและพี่ประพันธ์ ส่วนอีกสองท่านคือเจ้าถิ่น พี่มั่น และพี่ยุทธ เมื่อวานตอนหนิงขับรถ ได้ยินพี่ปุ๊ยคุยโทรศัพท์กับพี่มั่น เห็นว่าจะจัดหนักให้พี่มั่น แต่ถึงอย่างนั้น พี่มั่นก็ไม่ได้กลัวเกรงอะไร กับพกความมั่นใจเต็มร้อยมาด้วย เพราะพี่มั่นเป็นพี่ที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง หนิงรู้จักกันมานานหลายปี พี่มั่นเป็นนักไตรกีฬารุ่นบุกเบิก ปัจจุบันผันตัวเองไปเป็นคนเหล็ก Iron Man เป็นที่เรียบร้อย พี่มั่นเองก็ไปปั่นที่พระรามห้าบ้างเป็นครั้งคราว ได้ยินมาว่ากลางปีนี้พี่มั่นจะไปออกสนามไกลถึงเยอรมัน ตอนนี้เลยอยู่ในโปรแกรมซ้อม

ส่วนพี่ยุทธ หนิงแทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่เคยได้ยินกิติศัพท์จากพี่ปุ๊ยว่าแข็งแรงทีเดียว เรียกว่าพี่ 4คนที่มาวันนี้ล้วนแต่ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่


เราออกตัว หลังจากทานข้าวที่ตลาดหน้าทางเข้าน้ำตกเอราวัณเรียบร้อยแล้ว โดยมีหนิง พี่พล พี่แขก ขับรถไปทิ้งไว้ที่เท้ง ปล่อยให้ขาแรงเขาปั่นข้ามตับแตกกัน ส่วนภรรยาและลูกน้อยจะนั่งรถตามไปทีหลัง

เหตุการณ์ช่วงปั่นขึ้นตับแตก หนิงไม่มีโอกาสได้ดู แต่จากรูปการณ์แล้ว คนที่หน้าห่วงที่สุดเห็นจะเป็นพี่หมึก เพราะอายุอานามที่เกิน 60ไปแล้ว ส่วนอีก 2คนที่มาเปิดซิงกันที่นี้ก็มีพี่นพ กับพี่ประพันธ์ 2คนนี้แข็งแรงพอดู และเป็นอย่างที่คาด ไม่มีใครต้องมาล้างตาที่ตับแตก เพราะไม่มีใครได้เดินจูง รวมทั้งพี่หมึกที่เปิดก๊อกทุกก๊อก เพื่อจะปั่นขึ้นตับแตกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าอยากจะกลับมา ก็คงเพราะอยากทำเวลาให้ดีขึ้นมากกว่า


รถ3คันรีบบึ่งมาเท้ง โดยพี่พลเอารถลงเรือข้ามฟากไปจอดที่แพ ตายาย แพเจ้าประจำที่เราหยุดพักทุกครั้งที่มาปั่น เพราะเป็นแพที่อยู่ติดเท้ง และน้ำในเขื่อนบริเวณนั้นใสสะอาดน่าเล่น แถมอาหารประเภทปลา ที่จัดว่าใช้ได้ทีเดียว

หนิงกับพี่แขกไม่รอช้า รีบจอดรถ ประกอบจักรยาน แล้วเราก็ปั่นขึ้นจากเท้งย้อนไปหากลุ่มใหญ่ในทันที โดยพี่พลบอกให้เราไปก่อน เพราะถ้ารอจะเสียเวลามาก จากเท้งเราต้องปั่นขึ้นเขา อย่างชัน เรียกเหงื่อได้ดีทีเดียว


เราปั่นประมาณ 6กิโลก็เจอกลุ่ม แต่ก่อนหน้านั้น เจอพี่ยุทธปั่นสวนมาเพียงคนเดียว เพราะพี่ยุทธเข้าใจว่ารถ3คัน จะเป็นรถส่งน้ำ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาปั่นหารถ ระยะทางจากเขื่อนมายังเท้งประมาณ 30กิโลเมตร ถึงจะเป็นเขา แต่ก็ไม่ได้ทำให้พี่ๆเสียเวลาไปมาก

หนิงกับพี่แขกรวมกับกลุ่มใหญ่มา ความเร็วไม่มากนัก ไม่ใช่ว่าปั่นกันไม่เร็ว พี่สุเมธมาบอกทีหลังว่าก่อนที่จะมาเจอหนิง พี่สุวิทย์ ยกบนเนินมาหลายลูกมาก เรียกว่าเล่นกันมาระหว่างทาง กลุ่มใหญ่มีหายไปแค่ 2คน คือพี่ประพันธ์และพี่หมึก คาดว่าพี่ประพันธ์ปั่นรอพี่หมึกอยู่ด้านหลัง

ก่อนถึงเท้งจะมีทางแยกขวาไปศรีสวัสดิ์ และนั้นคือทางที่เราจะต้องไปกันต่อ เส้นทางนี้ระยะทางประมาณ 30กิโลเมตรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่ๆที่ปั่นจากเข่ือนจะได้ระยะทาง 60กิโลเมตร หรืออาจจะมากกว่านั้น ถ้าปั่นwarm upมาก่อนหน้า เส้นทางเลาะเขื่อนเส้นนี้ คนใช้กันน้อยมาก เพราะคนส่วนใหญ่นิยมลงเรือยนตร์ข้ามฟากมากกว่า ประหยัดเวลาและน้ำมันมากกว่าเยอะ และนี้เองคือเหตุผลที่ทำไมเราชาวพระรามห้า นิยมเส้นนี้มาก การปั่นจักรยานปราศจากรถ เหมือนกับ การไม่มีโรค ฉันใดก็ฉันนั้น


นอกจากเป็นเส้นทางไม่มีรถมาก่อกวนแล้ว ยังมีเขาขึ้นๆลงๆ ให้ได้ประลองกำลังกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนินยาวๆสุดท้ายที่พวกเราตั้งชื่อว่าไร่ข้าวโพด เพราะซ้ายมือของเรา จะเป็นไร่ข้าวโพด ยาวไกล พอๆกับระยะทางที่ขึ้นเขายาวอย่างไงอย่างงั้น แล้วยิ่งถ้าปั่นมาจากเขื่อนแล้ว แรงระยะสุดท้ายที่กระชากออกมาจากระบบร่างกาย เพ่ือจะนำมาใช้ในการขึ้นเขาสำคัญที่สุด ใครมีแรงเหลือและเฉลี่ยเป็นก็พิชิตเนินนี้ได้ โดยไม่ต้องหยุดเดิน แต่ใครที่ชะล่าใจคิดว่าปั่นขึ้นได้ แลัวรีบร้อนก็มีอันเป็นไป ต้องลงเดินกันทุกคน

จากทางแยก พวกเรารวมกลุ่มได้หมด ทั้งพี่พลและ พี่หมึก พี่ประพันธ์ เสียงหนิงเย้าพี่ๆว่า ใครจะเร็วใครจะช้า แต่ หนิง พี่พลและพี่แขก มาสุดท้ายแน่ๆ

เราออกตัวกันช้าๆในช่วงแรก พี่นพหลังจากเสียแรงไปกับตับแตกแล้ว พี่นพก็ยังถูกพาเข้าไปยังดินแดนแห่งนี้อีกเป็นการรับน้องขนานใหญ่ เราปั่นกันเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงพี่เทาตะโกนให้เราไปกันก่อน ขาอ่อนทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาปั่นหนี แต่ด้วยเนินแล้วเนินเล่า ปั่นขึ้นก็หนัก ขาลงก็โค้งเยอะ ในที่สุด ขาแรงทั้งหลายก็มาทับเรา แต่ขาอ่อนอย่างพวกเราก็ไม่ถอย ตั้งหน้า ตั้งตาปั่นตาม ทิวทัศน์ข้างทางเป็นยังไงไม่มีใครรู้ เพราะมัวแต่ดูล้อคนข้างหน้า จนในที่สุดจริงๆ เราเจอเนินยาว ใหญ่ เรียกว่าฐานะอย่างเราจะสู้เขาได้เหรอ พวกพี่ๆขาแรงปั่นเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น ปั่นขึ้นเนินตีจากน้องตาดำๆ ที่ลิ้นเริ่มออกมาอยู่นอกกายอีกครั้ง หนิงหันซ้ายหันขวา เห็นพี่แขกกับพี่หมึกตกหล่นอยู่ด้วยกันก็นึกดีใจ หนิงอาศัยกำลังที่ดีกว่าปั่นหนีพี่แขกไปหน่อย กะว่าจะถ่ายรูปให้หน่อย แต่พี่แขกไม่รอช้า ปั่นหนีกันไปซะเฉยๆ หนิงมองไปข้างหน้า เห็นพี่พลปลิวเป็นใบไม้หลุดกลุ่มมาอีกคน หนิงเลยปั่นทิ้งพี่หมึกไปหากลุ่มน้อยๆดีกว่า หนิง พี่แขก พี่พลเรา3คนทำท่าจะรอพี่หมึก แต่ด้วยว่าหันไป หันมาไม่เห็นซักที เลยตัดใจทิ้งพี่หมึกไว้ข้างหลัง เราปั่นกันเรื่อยๆ กดดันกันเองเป็นครั้งคราว ให้หัวใจบีบรัด เสียงหายใจเราดังชัดเจน เพราะไม่มีเสียงรถสวนมา ช่วงนี้เราเริ่มเงยหน้าจากพื้นถนนมามองทิวทัศน์กันได้บ้าง 2ข้างทางแห้งแล้งจากฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านไป ต้นไม้ทิ้งใบให้เกลื่อนถนน ใบสีเหลืองทองที่ยังคงติดอยู่บนต้นปลิวไสว พวกเราปั่นหลบแดดกันบ้างตามสมควร ด้วยความที่ไม่มีรถสวนเท่าไร จะมีบ้างสัก 3คันเห็นจะได้ ที่จะมามากหน่อยก็เห็นจะเป็นรถเครื่องของชาวบ้าน เราปั่นกันเรื่อยๆจนในที่สุดเนินอัศจรรย์ที่พวกเรารอคอยก็อยู่ตรงหน้า ไร่ข้าวโพดในฤดูนี้หายไป เห็นเป็นทุ่งหญ้าเหี่ยวแห้งสีเหลืองๆ ข้างทางก่อนหน้าจะถึงไร่ข้าวโพด เห็นมีสวนยางพาราผุดขึ้นมา ใครจะเชื่อว่าเวลานี้ยางพาราเป็นที่สนใจในหมู่เกษตรกรทั่วประเทศ เมืองไหนไม่มีสวนยางพารา เมืองนั้นถือว่าเชยสุดๆ พี่พลแอบดีใจว่าอีกหน่อยเราจะได้พึ่งพาร่มเงาของต้นยาง แต่หนิงกลับเห็นว่า ดูจากแสงเงาที่ลง ทิศทาง และเวลาที่เราปั่นผ่าน เราคงไม่มีโอกาสได้พึ่งพามันแน่ พี่แขกได้จังหวะปั่นหนีหนิงกับพี่พลไปหลายสิบเมตร จนหนิงแอบคิดในใจว่าพี่แขกนี้แข็งแรงจริงๆ เพราะขนาดหนิงเองยังไม่กล้าจะปั่นหนีไปเลย แต่ไม่นานเกินไป พี่แขกก็หยุดกึก ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับความเหนื่อยหอบ พี่พลปั่นเข้าไปใกล้ๆ และเหมือนมีพลังดึงดูด ตาลอยๆจากความล้า เห็นเพื่อนผู้ตากตรำมาด้วยกันหยุดยืน และก่อนที่พี่พลจะสลัดคลิป เสียงหนิงตะโกนบอกให้ไปต่อ พี่พลเหมือนได้สติ สะบัดหน้าสะบัดตา ความว่างเปล่าหายไปจากดวงตา มองเห็นสัจธรรมอยู่เบื้องหน้า แล้วเลยปั่นต่อไปกับหนิง พี่พลมาเล่าความหลังให้ฟังว่า เขาไม่เคยหยุดที่เนินนี้เลย เพียงแต่เมื่อเห็นพี่แขกหยุด เขาเองก็อยากหยุดด้วยเหมือนกัน พี่พลแอบขอบใจหนิงที่ให้กำลังใจในการปั่นต่อไป หนิงเห็นโค้งขวาหลายโค้ง ให้ระลึกถึงพี่ๆที่เคยร่วมปั่นผ่านเนินนี้ หลายคนต้องหยุดเดิน หนิงปั่นขึ้นไปเรื่อยๆจนจำไม่ได้แน่ว่าโค้งสุดท้ายมันอันไหน ด้วยความเหนื่อย และออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้ความจำเสื่อมชั่วขณะหนึ่ง หนิงเลยใช้วิธีมองแต่พื้นเพียงไม่เกิน 3เมตร เพราะไม่อยากกดดันตัวเองมาก จานเล็ก กับเฟืองเบอร์ 27 ก็ถึงคราวต้องออกแรงกดแล้วสินะ หนิงตั้งหน้ากดบันไดถีบไปเรื่อยๆ จนเงยหน้ามาอีกที ก็เห็นยอดเนินข้างหน้า พี่พลพยายามยืนโยก แต่แรงที่หดหายทำให้ไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายต้องกลับมานั่งกดบันได เป็นเพื่อนหนิงไปจนถึงยอดเนิน หนิงบอกพี่พลว่าขอลงไปรอข้างล่างเถอะ เพราะตรงนั้นไม่มีร่มเงาให้หลบแดดเลย

เราไหลยาว หลังจากเราขึ้นกันมาอย่างเหนื่อยหอบ เหมือนกำไรชีวิต ลมปะทะหน้าคลายความร้อนลงได้บ้าง เราไหลจนถึง3แยก เห็นพี่เทากับพี่ประพันธ์ดักรอ บอกให้เราไปร้านน้ำข้างหน้า ฟังดูเหมือนสวรรค์รออยู่ข้างหน้า ในขณะที่หนิงกับพี่พลถ่ายรูปรอ พี่หมึกก็ไหลตามมา ทำให้รู้ว่าพี่แขกเดินจูงจักรยานเล่นอยู่แถวไร่ข้าวโพด พอพี่หมึกรู้ว่าให้ไปร้านน้ำ พี่หมึกทำท่าจะไม่ไปซะอย่างนั้น คาดว่าคงจะเหนื่อยมากอยากไปที่แพมากกว่า จนเราบอกว่าไปเถอะ ยังไงก็กลับไปด้วยกัน พี่หมึกเลยยอมมา


หลังจากเราเจอแต่อากาศร้อนๆ เมื่อมาเจอน้ำเย็นๆทำให้เราชื่นใจได้ ชั่วโมงนี้วิทยาศาตร์การกีฬาที่ว่าด้วยเรื่องน้ำเย็น ดีหรือไม่สำหรับนักกีฬา ไม่ได้เข้ามาในหัวเราเลยในตอนนั้น เพราะทุกคนหวังจะเอาความเย็นดับความร้อนกัน หนิงเองซัดน้ำเย็นไปหลายลิตรอยู่ เรานั่งพักจนพี่ๆที่เหลือตามมา พี่แขกบอกว่าเดินจนรู้สึกว่าช้าจัง เลยกลับขึ้นมาปั่นต่อ ที่ร้านน้ำหนิงได้มีโอกาสสนทนากับชาวบ้านอีกครั้งเหมือนเมื่อคราวปั่นทัวริ่ง แต่หนนี้ชาวบ้านที่ว่าเป็นป้ามีกลิ่นเหล้าหึ่งมาเลย แถมแกยังมาซื้อ 40ดีกรีไปกินต่ออีก

จริงๆแล้วการได้คุยกับชาวบ้านก็สนุกไปอีกอย่าง อย่างป้าที่เมา แกก็คุยเอามันส์อย่างเดียว

ไม่มีเรื่องปวดหัวมาให้ แต่ส่วนใหญ่เวลาหนิงออกต่างจังหวัด สิ่งที่ได้เห็นคือน้ำใจ โดยเฉพาะของคนที่คนเมืองอย่างเราเรียกเขาว่าบ้านนอก เขามีมากกว่าคนเมืองอย่างพวกเราเยอะนัก

หลังจากเติมน้ำคลายร้อน มี6เสือที่ยังไม่หน่ำใจในการปั่น ไหนๆหนีเมียมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องปั่นกันให้พอ พี่ปุ๊ยเป็นคนชักชวนพี่ๆให้ปั่นย้อนกลับไปทางเลาะเขื่อน เพื่อไปที่เท้ง มีพี่มั่น พี่ยุทธ พี่สุวิทย์ และพี่เทาตามไปด้วย

นอกนั้นขออาสาไปนอนรอที่แพดีกว่า หนิงแอบถามพี่สุเมธว่าทำไมไม่ไป พี่สุเมธให้เหตุผลว่า ไปแล้วเดี๋ยวแข็งแรงเร็วเกินไป ค่อยๆแข็งแรงดีกว่า อีกอย่างพี่สุเมธบอกว่าถ้าพี่ปุ๊ยไม่มีเพื่อน ก็อาจจะไปเป็นเพื่อน ส่วนพี่นพ บอกขอพอก่อนสำหรับวันนี้ เจอเขามาเยอะแล้ว

ที่แพ แม่บ้านทั้งหลายมารอกันอยู่ พวกแม่บ้านต่างถามหาพ่อบ้านกันให้ขวั่กไขว่ เราเลยบอกว่า พ่อบ้านทั้งหลายยังไม่หน่ำใจคะ คาดว่าอีกชั่วโมงกว่าๆคงจะมาถึง ซึ่งเวลาในขณะนั้นก็เที่ยงหน่อยๆแล้ว อาหารที่พี่พลจัดการสั่งถูกนำมาเสริ์ฟในไม่ช้า เสียงโดดน้ำตูม จนปลาตกใจว่ายหนีไปหมด อากาศร้อนขนาดนี้ ขอแช่น้ำจะดีไม่น้อย แต่หนิงบอกพี่ๆไปว่า ขออย่างเดียว ช่วยใส่ชูชีพหน่อย เพราะไม่อยากว่ายไปงมขึ้นมา แม้แต่หนิงเองซึ่งจัดว่าว่ายน้ำแข็ง ยังต้องประคองชูชีพไว้ข้างตัวตลอดเวลา

เชื่อไม่เชื่อ เวลาแค่ชั่วโมง หนิงก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ปุ๊ย พวกพี่ๆปั่นมาถึงเท้งแล้ว ฝั่งตรงข้ามพวกเรานั้นเอง ถือว่าใช้เวลาเร็วมากกว่าที่คิดไว้ แต่กว่าพี่ๆจะข้ามมากันได้ ก็รอเรือข้ามฟากร่วมครึ่งชั่วโมง พวกพี่ๆบอกเราว่า ขากลับเป็นทางลงมากว่าขึ้น ถึงจะมีขึ้นอยู่บ้าง 4-5ลูก แต่โดยรวมก็ลงมากกว่า หนิงแอบนึกในใจว่าคราวหน้าเถอะ จะย้อนกลับบ้าง สรุปว่า6เสือปั่นกันไปไม่น้อยกว่า 90กิโล


พวกเราสุขสมอารมณ์หมายจากการปั่นจักรยาน ทานอาหาร แล้วลงแช่น้ำ หลังจากนั้นก็นอนเล่นกันบนแพ เวลาล่วงเลยผ่านไป มีลูกพี่พลมาโชว์เด็กให้ดูเป็นครั้งคราว จนถึงเวลาที่เราจะต้องกลับ เรานั่งแพขนานยนตร์ข้ามกลับมาอีกฝั่ง ในช่วงนั้นมีแค่ลำเดียววิ่งไปวิ่งมา ทำให้เราต้องรอกันเป็นชั่วโมง

ถนนมุ่งหน้ากลับเขื่อนไม่ค่อยมีรถ เพราะผู้คนยังไม่คิดกลับบ้านกลับช่อง ที่พักแถวนั้น กลับมาคึกคักอีกครั้ง เรามุ่งหน้ามายังตลาด เก็บของเข้ารถ ของใครของมัน และจบลงที่อาหารเย็นในตลาด หนิงเดินไปซื้อขนมกุ๊ยช่าย แต่ไส้ที่อร่อยกลับเป็นไส้หน่อไม้ โดยหนิงลองให้คนอื่นชิม เขาก็พูดเสียงเดียวกันว่าอร่อย หนิงเห็นเขาปั้นตั้งแต่เมื่อเช้าก่อนออกไปปั่นกัน ดูน่ากินทีเดียว

พี่มั่น พี่ยุทธลากลับไปก่อน แต่คนกรุงเทพกลับยังเอ้อระเหยกันอยู่ พี่สุวิทย์ขออยู่ต่ออีกคืน เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ก็จะขอปั่นเขาให้เต็มที


คืนนั้น รถ 4คันมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ โดยวิ่งทางราชบุรี เส้นทางถึงจะทำใหม่ แต่ด้วยที่มีไฟแดงเยอะ ทำให้หนิงคิดว่าทางบางเลนถ้าเสร็จน่าจะดีกว่า


คืนนั้นจัดแจงส่งพี่ๆที่บ้านพี่แขก ต่างคนต่างขับรถกลับบ้านตัว พักผ่อน

ความเมื่อยล้าจาการขึ้นเขาจับตัวที่ปลีน่อง หลังล้า เพราะไม่ได้ขี่จักรยานมานาน หนิงนอนหลับไปจนเช้า ตื่นมาอีกที เพราะนาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้ตั้งแต่เมื่อวานดังขึ้น

หนิงนอนกลิ้งไปมา จะทำอะไรดีเช้านี้ ลุกขึ้น ล้างหน้าแปรงฟัน ลงไปยังห้องนั่งเล่น เห็นพ่อนั่งดูข่าวตอนเช้า หนิงจัดแจงทานข้าวเช้า เสียงจากด้านหลังดังขึ้น เป็นเสียงของแม่ที่ทักว่า วันนี้ไม่ไปปั่นจักรยานเหรอ เหมือนมีคนกระตุ้น หนิงตอบอืม อืม ไปก็ได้ ว่าแล้วก็รีบแจ้นไปเปลี่ยนชุด เอาจักรยานขึ้นรถและขับไปพระรามห้าทันที

ก่อนแปดโมงครึ่ง หนิงเห็นพี่สุเมธ พี่พล พี่ปุ๊ย พี่หมึก ยืนเตร่อยู่แถวนั้น พวกเรามองหน้ากันแล้วยิ้มๆ เสียงพี่สุเมธพูดลอยๆมาว่า ‘อยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไร’ แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนบ้าปั่นจักรยานจะเป็นกันได้ขนาดนี้…

เรื่อง นางฟ้า

ภาพ นางฟ้า