วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทัวร์เป็ดน้อย

ทัวร์เป็ดน้อย ที่ราชบุรี


ทัวร์บ้างอะไรบ้าง เป็นคำพูดที่พูดเล่นกันในรถระหว่างทัวร์ ได้ความว่าเป็น วลีสมัยใหม่ที่วัยรุ่นใช้กัน ส่วนพวกเราจัดว่าวัยรุ่น ที่หัวใจ เพราะพฤติกรรมต่างๆที่จะเล่าขาน เป็นสิ่งที่เด็กๆเขาทำกัน แต่วัยขนาดนี้ไม่มีใครเค้าทำแล้ว

เรื่องๆของเรื่อง มันเริ่มต้นเมื่อวันสุกดิบ ใครที่ ไม่เคยอยู่มหา’ลัยนี้ก็รู้ไว้ซะว่า กิจกรรมบันเทิงใจรุ่นพี่อย่างหนึ่งคือซ่อมน้อง ที่นี้ก็ซ่อมกะเขาเหมือนกัน ซ่อมมากซ่อมน้อย แล้วแต่ศรัทธาผู้ซ่อม น้องๆที่ถูกซ่อมก็รับไป แต่การโดนซ่อมนี้ช่วยให้พวกเรารุ่นเดียวกัน สนิทกันมากขึ้น จะว่าสนิทก็ไม่เชิง เรียกว่าเห็นว่าใครเป็นอย่างไงมากขึ้นดีกว่า และเราเชื่อว่ารุ่นเราที่กลับมาหากันอีกครั้ง เพราะการรับน้องครั้งนั้นค่อนข้างนานกว่าหลายรุ่น จนเรียกว่ารู้เช่นเห็นชาติกันไปเลยพวกเราจึงกลับมารวมตัวอีกครั้ง(ดูใน Face book)

กลับมาต้นเรื่องกันใหม่ วันนั้นเป็นวันสุกดิบ หญิงนุ้ย (ซึ่งก็นุ้ยสมชื่อนะ) โทรชวนเพื่อนๆมางาน ร่วมทั้งชวนหนิงด้วย ซึ่งปกติ หนิงไม่ค่อยอยากออกจากบ้านยามราตรีนัก (จะนอน) แต่เมื่อเพื่อน request มาก็จัดไป
หนิงโทรบอกโต้ง ชายผู้ซึ่งเพื่อนรักมากขนาดให้ยศนำหน้ายาวที่สุดในรุ่น (ไอ้เ-ี้ยโต้ง)
ซึ่งหนิงกะโต้งก็นัด จารย์โบ้ไว้แล้ว เรื่องธุระปะปัง ส่วนใหญ่กะเล็ก คู่แฝด หญิงนุ้ยโทรตาม นอกนั้นยังมีอ้นลี่ กะเมย์อีก อ้นลี่เป็นเพื่อนชายที่มารยาทงามเหมือนหญิงสาว ที่สำคัญการไปเที่ยวหนนี้มีอ้นลี่เป็นต้นคิด ส่วนเมย์เป็นสาว อินทีเรีย ที่เปิดร้านอาหารให้เพื่อนถล่ม(หรือถล่มเพื่อนก็ไม่รู้)

พวกเรานัดเจอกันที่ร้านเสน่ห์ริมทาง ร้านโปรดของไอ้โต้ง(ขออนุญาต ลดยศ) อาหารตามสั่งร้านนี้จัดว่ารสชาดดั่งเดิม ไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ ที่สำคัญก็มีแต่ชาวศิลปากรนี้ ละที่เป็นลูกค้าประจำ
ตอนที่นุ้ยมาถึง นุ้ยแอบบ่นนิดๆว่าหลังหัก ไอ้พวกเราก็งง ว่าอะไร ที่แท้นุ้ยโดนหักหลังจากแก็งค์ กลางคืน เพราะพวกเพื่อนคนอื่นๆติดงาน แต่นุ้ยก็ยังมีพวกเรานั่งหน้าสลอนอยู่ด้วยแถวนั้น

หลังเสร็จมื้อค่ำ เราเดินขึ้นตึกไปดูน้อง เห็นน้องๆหน้าใสๆแล้วอดรันทดไม่ได้ว่า กาลเวลาช่างทำให้สภาพเราเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ แต่ถึงอย่างไง เราก็คงต้องอยู่กับปัจจุบัน
ไอ้ความใสมันจากไป ใช่เราจะหาความสุขใส่ชีวิตไม่ได้ ว่าแล้วเพื่อนอ้นก็เสนอหนทางหาความสุข นั้นคือไปเที่ยวกัน

เที่ยวที่ไหนดีละ โต้งเสนอลิเกที่หัวหิน ฟังดูน่าสนใจ หนิงยกมือสนับสนุน อ้นลี่เสนอ
‘เจ็ดเสมียน’ มีเสียงคู่แฝด สนับสนุน นุ้ย อ้น หนิง ยกมือให้ ถามจารย์โบ้ ‘ไปเปล่า’
จารย์โอเค ไม่มีปัญหา เสียงโต้งลอยมาว่า ‘ไปด้วย’ งั้นตกลงว่าเราจะไปเจ็ดเสมียน แล้วมันคืออะไรกันละ ก็ได้ความจากอ้นลี่และแฝดว่าเป็นตลาดร้อยปี มีการแสดงของศิษย์เอกคุณภัทราวี มีชูธน เราก็เอาเลยจัดไป หนิงอยากเที่ยวอยู่แล้ว หนิงเลยเสนอช่วง Long weekend เพราะลาพักไว้ หันไปเห็นเมย์เงียบๆ ถามไถ่ได้ความว่าต้องไปกะที่บ้าน เสียดายแทน พวกเราตกลงไว้คร่าวๆว่าประมาณนี้
หนิงเลยอาสาสอบถามให้ คืนนั้นเราไม่ได้อยู่ดูซ่อมน้องเท่าไหร่ เพราะโต้งมันอยากดูบอล อีกอย่างมันมีนัดทางโทรศัพท์ คืนนั้นเราจากกัน แต่มีพันธะที่จะทำด้วยกัน คือ เจ็ดเสมียน

หลายวันผ่านไป หลังจากหนิงสืบเสาะได้ความเรื่องเจ็ดเสมียน หนิงทำการโทรแจ้ง มีการตอบรับมาอย่างดีในตอนแรก หนิงทำการจองห้องพักสำหรับ 5คน กะว่าถ้าไปกันเยอะ ก็เสริมเตียงเอา หรือไม่ก็นอนพื้น แต่โดยสถิติ ท่านพวกนี้ไม่ค่อยกลมกันสักเท่าไหร่ แล้วจริงดังคาด ก่อนเดินทางไม่กี่วัน หนิงถามอีกหลายๆรอบกับเพื่อน มี แฝด โต้ง อุ๊ จารย์โบ้ confirm นอกนั้น ไม่กลมก็ไม่เหลี่ยมไปเลย อย่างอ้นลี่ หรือหญิงนุ้ย แต่เพื่อนแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง เราเข้าใจ

วันเสาร์ที่แสนสดใส

เรานัดออกเดินทางกันวันเสาร์ ตอนแรก ใหญ่(แฝดคนพี่) ติดธุระ หนิงก็กะจะไปช่วยงาน กะให้งานพังไปข้าง ใหญ่จะได้ไปเที่ยวได้เร็ว แต่เหมือนเทวดารู้ใจ ใหญ่บอกว่าไม่ต้องทำงานวันเสาร์แล้ว สบายโล้ด

หนิงนัดเพื่อนที่มหา’ลัย 11โมง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เพื่อนคนอื่นๆ มันอยู่ที่ไอ้โต้งคนเดียว คุณโต้งเป็นคนมีปัญหาเรื่องการนัดพบ ครั้งหนึ่งเคยนัดกันที่ central ลาดพร้าว แต่ไอ้โต้งไปโผล่ที่มหา’ลัย ไม่น่าเชื่อว่าโต้งจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

คราวนี้หนิงเลยบอกให้โต้งมาหาที่บ้าน เพราะดีกว่าให้โต้งนั่งรถไปมหา’ลัยเป็นแน่ แต่ด้วยความที่รู้จักกันดี เลยบอกไปว่า เรานัดกัน 10.30ที่มหา’ลัยนะ นั่นหมายความว่าโต้งต้องมาถึง 10โมง แต่สำหรับโต้งตัวจริงเสียงจริง มันไม่มีทางมาตามเวลาแน่นอน กะว่าโทรจิกๆหน่อยก็น่าจะมา 10.30
หนิงโทรจิกมันแต่เช้า พร้อมรายงานเพื่อนๆว่า คุณโต้งเธอสายแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะสายแบบ
มาที่บ้านหนิงตอน 11โมง โต้งก็คือโต้ง เพื่อนถึงไงก็ให้อภัยกันเสมอ(หลังจากด่ามันไปเรียบร้อย) หนิงขับรถมาเรื่อยๆ พร้อมฟังเสียงโต้งบ่นว่าหิว มาช้าแล้วยังหิว ร้องจะกินโน้น กินนี้อีก หนิงบอกว่าแกต้องอดทน เพราะแกมาช้า โต้งยอมแต่โดยดี

เรามาถึงมหา’ลัย แต่ว่าจารย์โบ้ยังไม่มา ได้ความว่าตามหลังมาไม่ห่าง ก็ไม่น่าเชื่อ เพราะจารย์บอกก่อน เราออกจากบ้าน ว่ากำลังไป เป็นจังหวะที่ดี ที่โต้งจะหาอะไรทานลองท้อง ส่วนแฝดทั้ง 2 พร้อมลุย เรากะกันว่า จะขับรถไป 2คัน เพราะแฝดต้องกลับบ้าน ที่ราชบุรีด้วย ขณะที่เรารอจารย์ เราแอบดูน้องๆที่มาเรียนติววาดรูป เห็นน้องคนหนึ่งเหลาดินสอยาวมาก ไส้ยาวแทงคนตายเลย แอบนินทาเด็กไม่พอ ยังทะลึ่งล้อเลียนงานปั้นที่สวนแก้วอีก

พวกเราฆ่าเวลาด้วยการเข้าไปดูงานในหอศิลป์ เราได้เจอ อาจารย์สน สีมาตรังด้วย หลังจากจบไป หนิงไม่ได้เจออาจารย์อีกเลย สำหรับคนอื่น อาจเจอบ้างตามงานมหา’ลัย
อาจารย์เกษียณออกมาแล้ว แต่ยังคงได้ดูแลหอศิลป์อยู่ อาจารย์เองก็คงดีใจที่เห็นพวกเรา
เราคุยกับอาจารย์สักพัก ก็ขอลากลับ กาลเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน

เรารอจารย์โบ้ไม่นาน สอบถามได้ความว่า คนขับรถที่บ้าน พาหลง ฮา ตลอดไอ้พวกนี้ โบ้บอกว่าคนขับวนอยู่บนทางด่วน 2รอบ จนสุดท้าย โบ้บอกว่าไม่ต้องขึ้นแล้ว ขึ้นไปอีก ก็คงหลงอีก แถมเสียตังค์ค่าทางด่วนไปเยอะแล้ว ฮา

โบ้เป็นอาจารย์อยู่ที่คณะ หลังจากข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อถึงอเมริกา แต่การไปไกลขนาดนั้น ก็ไม่ทำให้โบ้มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้น เพราะโบ้ก็ยังคงพูดไม่ชัดอยู่ดี หรือบางทีหูโบ้ก็จะฟังคนพูดเพี้ยนๆ แต่โบ้ก็เป็นที่รักของเพื่อนๆเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปนานมากแล้ว

เราตกลงว่าเราจะเริ่มต้นทานกลางวันกันที่ติ๊กโภชนา ที่นครชัยศรี ก่อนจะเข้านครปฐม ไหว้พระปฐมเจดีย์ เอาฤกษ์เอาชัย

รถแฝดมีโต้งนั่งไปด้วย เพราะโต้งรู้จักทางไปร้าน ส่วนจารย์โบ้นั่งไปกะหนิง เราตกลงเจอกันที่ร้าน ไม่นานเกินรอ เราก็ไปถึง วันนี้คนไม่เยอะจนน่ากลัว อาจเป็นเพราะเรามากันบ่ายโมงกว่าแล้ว คนก็ทานกันไปหมดแล้ว
อาหารที่เราสั่ง เกินกว่าที่จะอิ่ม มีห่อหมก 4 ต้มยำกุ้ง ผัดผักปลาเค็ม หอยจ้อ ปลาทอดแช่น้ำปลา หน่อไม้น้ำผัดเผ็ด ตอนแรกโต้งจะกินพล่ากุ้ง ดีที่เบรคไว้ก่อน ไม่งั้น อุ๊คงได้ของฝากเยอะ เรากิน กิน กิน จนเกินอิ่ม ใครสั่งอะไรก็รับผิดชอบกันไป เป็นที่สนุกสนาน

จุดหมายต่อไปคือไหว้พระ ระหว่างทานข้าวกัน ใหญ่เสนอว่าเราน่าจะไปชม พระราชวังสนามจันท์ เรียกเสียงฮือฮาพอควร เพราะเวลาที่เหลือคงมีไม่พอ ใหญ่โดน
หนิงกะเล็กงับเล็กๆว่า ถ้าไปตามทัวร์ใหญ่ คงต้องนอนนครปฐมแล้วละ ไม่ไปเจ็ดเสมียนแล้ว ใหญ่เลยยอมแต่โดยดี ด้วยบุคลิกขี้เกรงใจของใหญ่ ทำให้ใหญ่มักไม่มีปากมีเสียง ใครว่าอะไรก็อือ อือ ผิดกับแฝดน้อง เล็ก ที่มีหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนใหญ่ บ่อยครั้งที่เห็นเล็กแซวโต้งกลับแทนใหญ่ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เล็กปฏิบัติมาเสมอต้นเสมอปลาย

เราขับตามๆกันมาจนถึงวัด เล็กต้องหากระโปรงใส่ก่อน ก็ได้กระโปรงหนิงละ หนิงเตรียมไว้ก็เพราะใส่กางเกงขาสั้นเหมือนกัน แต่ของเล็กสั้นกว่ามากเลยต้องยอมให้เล็ก ใส่ เล็กใส่ไปบ่นไป เพราะทั้งชุดดูไงก็ไม่อาจเป็นผู้นำแฟชั่นได้เลย เล็กอ้างว่าที่ต้องใส่ เพราะแม่สอนว่า เข้าวัดต้องแต่งตัวให้สุภาพ ซึ่งเด็กสมัยใหม่ ทั้งบ้านใน บ้านนอก ไปวัด ใส่สั้นกันสุดๆ เห็นแล้วเศร้าแทนพ่อแม่(สอนไม่จำ หรือว่าไม่ได้สอน)

หลังจุดธูปไหว้พระ ขอพร 100 ประการกัน เราก็เดินเข้าไปชมรอบๆพระเจดีย์ ที่นี้เอง จารย์โบ้แจ้งเกิดจากท่าถ่ายรูปที่โด่งดังในหมู่เพื่อนฝูง (Face Book) งานนี้ไม่รู้อะไรดลใจ แต่จากการสอบถาม จารย์บอกว่าเด็กสอนมา (ก็ไม่รู้ว่าเด็กที่ไหน)

เราเดินชมก็เห็นว่าเขากำลังบูรณะพระเจดีย์ใหม่ โดยเลาะเอากระเบื้องเก่าออก เอาอันใหม่ปิดแทน มองๆดูสีกระเบื้องเหมือนทองอะไรอย่างนี้

ตอนแรกเล็กตั้งใจพาเราไปไหว้พระร่วงโรจนฤทธิ์ แต่ด้วยความที่เดินคุยกัน ถ่ายรูปกันเลยเดินเลยไปตอนไหนก็ไม่รู้ สุดท้ายเลยถอนทัพกลับออกไป

เราตกลงว่าจะไปที่ Pasaya โรงงานขายผ้าปูที่นอน แฝดบอกว่าตึกเขาสวยมาก โต้งยิ่งอยากไปใหญ่ แต่ด้วยความไม่รู้ทาง โต้งขับรถเล็กเลย เป็นอันว่าอด เราเลยตกลงว่ามุ่งหน้า เจ็ดเสมียนแล้วกัน ไปที่พักก่อน แล้วค่อยไปตลาด
เราขับรถตามๆกัน หนิงไปกะใหญ่ ส่วนเล็กต้องไปขับให้โต้งกะโบ้นั่ง

พูดเรื่องขับรถ อยากรู้บ้างว่าใครขับรถแล้วไม่บ่น ไม่ว่า รถที่ขับไม่มีมารยาทบ้าง
สำหรับหนิงกะเล็ก แน่นอนอยู่แล้ว ใครปาดมาก็สรรเสริญพ่อ ไปรอบ แต่โบ้แอบมาเล่าให้ฟังว่า เล็กดุเดือดกว่าหนิงเยอะ ชนิดว่าโบ้มันสะดุ้งเลย เล็ก ‘ฉันขอคาราวะ’

เราขับไปไม่ไกลนักก็ถึงที่หมาย ที่พักของเราคือ สวนศิลป์บ้านดิน ของคุณมานพ มีจำรัส
ศิษย์เอกของคุณภัทราวดี มีชูธน
คุณมานพ หรือพี่นายเล่าว่าเขาเอาเด็กๆแถวนั้นมาฝึกการแสดง ใครที่มีความสามารถก็ฝึกไป ส่วนใครที่มาแล้วไม่ไหวก็กลับไปสู่เส้นทางเดิมๆของตน น้องๆบางคนที่มาฝึกได้ทุนการศึกษาจากคุณเล็ก ภัทราวดีด้วย ก็เป็นที่น่ายินดีสำหรับชุมชนเล็กๆ ที่มีคนตั้งใจมาช่วยพัฒนา

บ้านดินที่ว่าไม่ใช่บ้านดินจริงๆ แต่เป็นปูนที่ทำคล้ายๆ เพราะบ้านดินจริงๆที่หนิงเคยเห็นจะเย็นๆ ชื้นๆ ห้องที่พักเป็นห้องใหญ่ มี 5ที่นอน เราจัดสันปันส่วนอย่างลงตัว
ที่นี้มี welcome drink ให้ เรียกว่าน้ำ ตาปรือ เป็นส่วนผสมของอัญชัน กับ ข้าวหมาก

เราเข้าบ้านนั่งพัก นอนพักตามอัธยาศัย รออุ๊ที่มาสมทบจากบ้านโป่ง อุ๊เป็นสาวบ้านโป่ง จากบ้านเกิดเมืองนอนไปเรียนเมืองกรุง สุดท้ายก็กลับบ้านมาเปิดร้านทอง ดูแลแม่ที่บ้านโป่ง นานๆอุ๊จะได้ไปเจอเพื่อนๆที แต่ก็จะติดต่อพุดคุยกับอุ๊ทางโทรศัพท์ตามโอกาส พูดถึงอุ๊ อุ๊เป็นผู้หญิงที่ดูเหมือนเด็กมากว่าผู้ใหญ่ ด้วยสัดส่วน หน้าตา และท่าทางรวมไปถึงการแต่งตัว หนิงกะอุ๊เป็นเพื่อนกันสมัยเรียนมอ ต้น เจอกันอีกทีตอนมหา’ลัย หนิงเดินจูงมืออุ๊ เพื่อนนึกว่าหนิงจูงมือน้อง ก็คิดดูแล้วกัน ว่าอุ๊เด็กขนาดไหน หลายครั้งที่ไอ้โต้งมันอำอุ๊ว่า ‘ไม่โตสักที’

เรารอกันสักพัก จนได้สัญญาณว่าอุ๊ใกล้ถึงแล้ว เราจึงย้ายขบวนกันไป คราวนี้เราไม่ขับรถ แต่เราปั่นจักรยานไป เรายืมจักรยานจากที่พัก โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รอแค่ให้เขามาเติมลมยางหน่อยเท่านั้น ถนนที่ปั่นไปไม่น่ากลัวสำหรับมือใหม่ เพราะเป็นถนนคู่ขนานริมคลองชลประทาน แล้วแต่ละคนประสบการณ์การปั่นเพี่ยบ ทั้งโต้ง ทั้งโบ้ ทั้งหนิง จะดูน่าห่วงก็แฝด แต่ดูๆไปแล้วก็ไม่เท่าไร เล็กใช้เสียงเข้าข่มคู่ต่อสู้(โต้ง)ตลอดเวลา

ไม่ไกลนักประมาณ 2กิโลก็ถึง เราจัดการจอดจักรยานใต้ต้นโพธิ์ และเดินไปหาอุ๊ริมน้ำ อุ๊นั่งทอดอารมณ์ มองสายน้ำ เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ โดยที่พวกเราไม่อาจรู้ได้ ทันทีที่อุ๊หันมาเห็นเรา สายตาอุ๊เปี่ยมไปด้วยความดีใจจนล้น เราวิ่งเข้าสวมกอดกัน(ไม่มี)

เราส่งเสียงเฮฮา ลืมเล่าไปว่าเวลาเราอยู่ด้วยกัน สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดจะออกมาเพ่นพ่านพอดู แต่สำหรับอุ๊ กับใหญ่ จัดว่ามีน้อยถึงไม่มี เพราะท่าทางของ 2คน จะเป็นแบบ น่าทะนุถนอม มากกว่าหนิงกับเล็ก

ก่อนหน้าจะออกจากบ้าน เรา 5คนค้นพบความอัศจรรย์ของกล้องไอ้โบ้ และไอ้โต้ง ซึ่งทั้ง 2หนุ่มซื้อมา และไม่รู้เลยว่ามันทำอะไรได้บ้าง เราทดลอง ทดสอบกล้องกันอย่างเมามัน

ทันทีที่เจออุ๊เราชักชวนกันไปถ่ายรูป เราเดินถ่ายกันในตลาดไปจนถึงสถานีรถไฟ ที่สถานีรถไฟ พี่นายเล่าว่าก่อนหน้านี้เป็นอาคารไม้ 2ชั้น แต่เนื่องจากความทันสมัยเข้ามา พร้อมความไม่รู้ถึงคุณค่าของอาคารเก่า ผู้มีอำนาจในการสั่งเปลี่ยน จึงทำการรื้ออาคาร สร้างเป็นอาคารปูน ซึ่งไม่อยู่ในสายตาเราเลยด้วยซ้ำ น่าเสียดาย หลายที่และหลายแห่งในเมืองไทย เปลี่ยนไป ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ทรงอำนาจ (แต่ขาด จิตสำนึก)พวกนี้

หลังจากนั้นพวกเราหาซื้อของทานกัน น่าเสียดายว่าอาหารไม่ได้มีความแตกต่างจากตลาดทั่วไป จะเห็นพิเศษก็ข้าวต้มเนี้ยละ มีไชโป้ต่างๆ มาทราบภายหลังว่าเจ็ดเสมียนดังเรื่องไชโป้หวาน เค็ม (หนิงเชยสุดๆ) นอกนั้นอย่างอื่น ก็พอทานแก้ขัดไปได้บ้างไม่ได้บ้าง

นอกจากตลาดอาหารและ ยังมีการแสดงของเด็กที่มาเล่นดนตรีไทย
6โมงเย็น จะมีคุณย่า คุณยาย มาร้องเพลงให้ฟัง ดูมีเสน่ห์ก็ตรงเนี้ยละ เสียงร้องหลงไป หลงมา คล่อมจังหวะบ้าง แต่ก็เห็นคนแก่ๆที่มาร่วมวง ทำให้เห็นว่า ถึงจะแก่ก็ยังมีไฟอยู่
เรานั่งห่างจากการแสดง แต่ก็ได้ยินเสียงร้อง พวกเราเดินสลับกันไปดู ก็สนุกดี พอคุณย่าคุณยายเครื่องติด ถึงกับลุกออกมารำก็มี น่ารักไปอีกแบบ

แต่จุดขายของตลาดนี้คือ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนจะมีการแสดงของ พี่นายที่ตลาดนี้ เป็นการโชว์ฟรี ไม่คิดตังค์ เพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ พี่นายบอกว่าเขาเป็น ศิลปินศิลปาธร ก็คล้ายๆกับ ศิลปินแห่งชาติ แต่รุ่นเยาว์ลงมาเท่านั้นละ เราดูการแสดงแรกจากเด็กๆในชุมชนที่ถูกฝึกมา ขอบอกว่า สุดยอด เด็กๆดูมืออาชีพมาก
การแสดงชุดนี้คือตีกลอง กลองที่ว่าเป็นเครื่องครัวที่พี่นายว่า เด็กหามาจากบ้าน (คาดว่ากลับไปโดนแม่ตี) ลีลา และฝีมือ จัดได้ว่าดีทีเดียว น่าส่งเสริมยิ่งนัก

จบชุดนี้ เราได้ชมพี่นายแสดงชุด นางวันทอง พี่นายจะร้องบทกลอนไป ร่ายรำไป ตอนแรกก็ฟังงงๆ ดูไปดูมาก็เข้าใจเนื้อเรื่อง เป็นเรื่องเปรตนางวันทอง ไปเจอพระไวยลูกชายกลางป่า
ต้องยอมรับว่าการแสดงคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วโดยเฉพาะ การเอาวรรณคดี มาสื่อสาร ก็ไม่ง่ายนัก

จบการแสดง พี่นายยังกล่าวถึงชุมชนต่อ การที่พี่นายอยากให้ชุมชนเข้มแข็งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะแต่ละครอบครัว แต่ละคน เป็นตัวแปรที่สำคัญสำหรับชุมชนมาก แต่การที่ใครสักคน ยอมเสียสละ เพื่อพัฒนาชุมชน ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน หนิงฟังแล้วก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ชุมชนเจ็ดเสมียน ดำเนิน ไปช้าๆและมั่นคง พร้อมด้วยเอกลักษณ์ตลอดไป

เสร็จจากงาน เราเดินทางกลับ คราวนี้ถึงจะมืด แต่ก็ยังได้ไฟถนนส่องทาง พร้อมกับอุ๊ขับรถปิดท้ายให้ อุ๊เพิ่งจะบอกหนิงว่านอนค้างด้วย เพราะก่อนหน้าอุ๊ว่าจะกลับไปนอนบ้าน แต่เพื่อนมาฮาถึงชายเรือนขนาดนี้แล้ว ยังไม่ค้างกับเพื่อนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

สรุปว่าเรานอนรวมกัน 6คน ชาย2หญิง 4 กลับเข้าที่พัก ชายผู้มีปัญหาที่สุดคือโต้ง บ่นอีกว่าหิว โต้งเป็นคนที่กินได้จุมาก ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว หนิงต้องลงมากินข้าวด้วยวันละ 4-5 หน จนหนิงบวม แต่โต้งเหมือนเดิม

เล็กถามว่าจะไป โพธารามไหม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรกิน สุดท้ายเล็กสรุปว่าไปอำเภอเมืองแล้วกัน เป็นอันตกลง โดยทั้งหมดขึ้นรถหนิง เพราะดูจะจุสุด

ความสนุกมันอยู่ตรงเนี้ยละ พอขึ้นรถ เราได้กลิ่นต้นหอมกระจายไปหมด หันไปมองที่โบ้ เห็นนั่งเขี้ยวค้นหอม เหมือนหมีแพนด้าเขี้ยวไผ่อย่างไงอย่างงั้น สอบถามได้ความว่า หมอแม๊ะ สั่งให้กิน รักษาผิวพรรณของจารย์ไบ้ แต่พวกเพื่อนจะตายเพราะกลิ่นหอม เลยขอร้องให้หยุด แต่หนิงแอบเห็นโบ้กินกับชมพู่เพื่อดับกลิ่น มุ่งมั่นจริงๆ
ส่วนชายโต้งเธอปล่อยมุกตลอดเวลา เป็นความสามารถอย่างนึง แต่เชื่อไหม เวลาที่โต้งจะได้ดีเพราะมุก โต้งกลับทำไม่ได้ เช่นโต้งเคยไป test เป็นดีเจเสียงใสๆ กะว่าคราวนี้รุ่งแน่ ไม่นานจากนั้น โต้งสารภาพว่า ให้พูดคนเดียวพูดไม่ออก เลยอดดังไป

โต้งเล่าตลกหลอกเด็กไปเรื่อยโดยเฉพาะใหญ่ จนถึงในเมือง ซึ่งห่างไปแค่ 10กว่าโลเอง เล็กบอกทางให้เราไปร้านต้มเลือดหมู ร้านโปรดเล็ก ไปถึง ป้าก็เกือบจะปิดร้านแล้ว แต่ก็มีให้กิน เรากินกันอิ่มหน่ำ โดยเฉพาะโต้ง เล็กยังบอกว่าจะพาไปกิน ขนมปังสังขยาอีก เราขับกันออกมา มองซ้าย มองขวา เห็นว่าเมืองนี้เต็มไปด้วย แผงลอย โต้รุ่ง ดูๆไปเมืองนี้คึกคักกว่าหลายๆจังหวัด ผู้คนยังมากมายบนถนน ในเวลา 3ทุ่ม โต้รุ่งใหญ่ประจำเมืองยังเปิดไฟสว่างไสว ชื่อโคยกี่
เราเลี้ยวรถมาจอดเพื่อลงไปกินขนมปังสังขยา ร้านหลายร้านเริ่มเก็บแล้วเหมือนกัน
สังขยาร้านนี้ พวกเราสรุปว่าสีส้มอร่อยกว่าสีเขียว แต่อีก 2วันหลังจากนั้น หนิงมากินขนมปังสังขยากับพ่อแถว คลองประปา ชื่อร้านข้าวต้มอนันต์ หนิงว่าร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่ราชบุรอีกี (เกี่ยวกันไหมเนี้ย)

เอาเป็นว่าคืนนี้เราเสร็จภาระการกินแล้ว เรายังคงขับรถวนเล่นในเมือง ผ่านตลาดสด ที่ยังคงมีของขายรวมทั้งทุเรียน ที่ทันทีที่อุ๊เห็นอุ๊ก็ร้องออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว แสดงให้เห็นว่าอุ๊อยากทานมากๆ ทุเรียนเป็นทุเรียนเมืองนนท์ก้านยาว อย่างนี้อุ๊ยิ่งอยาก
หนิงวนรถให้อุ๊คิดใหม่ ทำใหม่ แต่แล้วอุ๊ก็อดใจไม่ได้ เมื่อรถจอด อุ๊กระโดดโดยเร็วพลันวิ่งหน้าตั้งไปที่แผงทุเรียน เสียงอุ๊ต่อรองราคากับพ่อค้า มีใหญ่ลงไปเป็นกองสนับสนุน ในขณะที่ไอ้โต้งไปดูหนังสือโป้ โดยไม่สนใจใยดีว่าเพื่อนสาวอาจถูกพ่อค้าโก่งราคาได้ ไม่นานเกินบุหรี่ไอ้โบ้กะ เล็กหมด
2สาวก็เดินหน้าแฉล้มกลับมา ในมือถือถุงทุเรียน กลิ่นหอมโฉย เอามาอวดเพื่อนๆ

โต้งวิ่งไปสมทบ ทำทีว่าไปดูแผงหนังสือ ที่ไหนได้ ในตาเป็นระยับเพราะแอบไปดูนวลนาง ปกขาวมานั้นเอง อุ๊บอกว่าไอ้โต้งอยากรู้ว่าหนังสือโป้ราชบุรีต่างกับกรุงเทพไหม

หนิงถามความพร้อมว่าจะกลับคืนฐานหรือยัง สมุนทั้งหลายบอกว่า ครับท่าน พร้อมขึ้นประจำการบนยานเหาะ เราขับเคลื่อนพาหนะ ผ่านกลางเมือง ก่อนออกเมืองเราแวะทำธุระที่ 7-11 คือซื้อไพ่นั้นเอง อันว่าไพ่นี้เป็นกีฬาโปรดของบักโต้งในขณะนี้มาก ได้ข่าวว่าทุกศุกร์จะมีการตั้งบ่อน
หนิงพยายามที่จะแจ้งความหลายหน เพราะกะว่าจะได้รางวัลนำจับไปซื้อจักรยานมาปั่นซิ่งเล่น
เราขับกันมาเรื่อยๆ โดยมีบักโต้งเป็นตัวทำลายความเงียบ เสียงสาวๆหัวเราะชอบใจกับตลกลามกของโต้งยิ่งนัก ยิ่งขำดัง โต้งยิ่งชอบ โดยเฉพาะใหญ่ โดนโต้งอำอยู่เรื่อยๆ ใหญ่รู้บ้างไม่รู้บ้าง ทำให้เพื่อนฝูงเป็นห่วงอย่างยิ่ง

เราขับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ แต่ประตูหน้าที่พักปิด เพราะโดยปกติ แขกที่มาพัก หลังจากกลับจากตลาด 119ปีแล้ว ก็มักจะไม่ไปไหน จะมีก็แต่พวกนี้ละ ทำไงทีนี้ โบ้โดนคำสั่งจากเพื่อนๆให้เป็นคนไปเปิดประตู โชคยังดีที่ประตูไม่ได้ล็อค หนิงเคลื่อนรถเขาไปจอดหน้าประตู

หนุ่ม สาวทั้งหลายเดินปวดกรามกันเข้าบ้าน พวกเราทยอยกันอาบน้ำ ที่ห้องมีห้องน้ำ 2 ห้อง แต่ได้ความว่าห้องน้ำอีกห้องน้ำไหลอย่างกับปัสสาวะแมว อาบน้ำไม่ได้ดั่งใจเลย

แต่พวกเราก็ยังคงอาบบ้างอะไรบ้างที่ห้องนั้น ขณะที่พวกเราจัดโน้น นี้ นี้ นั้น อยู่ในห้อง จารย์โบ้เกิดอาการอยากยา เลยออกไปสูบยาด้านนอก เรานั่งคุยกันอำกันข้างใน สักพักใหญ่เสียงสุนัขก็หอนไล่มาตามทาง ได้ยินมาจากที่ไกลๆ จนใกล้เข้ามา พวกเรายังว่า ‘หมาหอน น่ากลัววุ้ย’ ไม่ทันไร จารย์โบ้ โผล่เข้ามาในห้องอย่างเร็วพลัน เราหันไปมอง โบ้บอกว่า ‘ แม่ง หอนอะไรกันว่ะ’ ฮา ไอ้โบ้มันกลัว ถามมัน มันก็ว่า ‘โห หอนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยืนอยู่ข้างนอก ได้ยิน โคตรน่ากลัว’ จารย์ยังยืนยันเหมือนเดิม
ด้วยสภาพว่า อย่างไอ้โบ้เนี้ยนะกลัวผี ไม่น่าเชื่อ พูดเรื่องผีก็ไม่เข้าใครออกใคร จะว่าไปนอนกันเยอะๆอย่างนี้ก้อุ่นใจเรื่องผีไปได้อย่าง

เราขำกับอาการของไอ้โบ้ ปล่อยให้มันทำธุระส่วนตัว เราแอบเห็น กระเป๋าเครื่องสำอางค์โบ้ ที่คุณแม่จัดมาให้ มี oil of olay ด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ถ้าอ้นมาด้วย ต้องคิดว่าเป็นของอ้นไปแล้ว

พวกเราก็มาตั้งวงไพ่เล่น วงไพ่ ถ้าไม่นับ ป๊อกเด้งแล้ว สลาฟ ก็คือไพ่ที่เล่นได้สนุกเหมือนกัน ตอนที่จบใหม่ๆ เราเคยเล่น สลาฟที่เกาะเสม็ด ชนิดว่าเล่นจนร้านอาหารปิด แล้วพวกเราหิว จนต้องไปขุ้ยหาของโต๊ะอื่นที่เขาเหลือมากิน มันสนุกขนาดไม่อยากไปนอนเลยละ

คืนนี้เราก็เริ่มต้นกันแบบขำเล็กๆ เล่นไปเล่นมาก็ขำใหญ่ แต่ด้วยวัยที่สูงขึ้น สังขารมันก็ร่วงไปตามกาลเวลา แฝด มันเราอำลาวงการไปก่อน เล่นต่อไปได้ อีกชั่วโมง วงก็แตก

แต่ที่ขำคือไอ้โบ้กรนเสียงดัง หนิงมี ear plug อุดหู เพราะขี้เกียจฟังคนกรน หนิงเลยไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก แต่อุ๊ไม่ได้เตรียมตัว เลยมาเล่าให้ฟังว่า ทันทีที่ทุกคนล้มตัวลงนอน อุ๊ส่งยาหม่องให้ไอ้ 2หนุ่ม ดมนอน โดยโต้งป้ายยาเต็มจมูก ก็ไม่รู้ว่านอนไปได้ไง ในขณะที่โบ้ป้ายบ้าง แล้วเอนกายล้มลงนอน เท่านั้นละ อุ๊บอกว่าเสียงกรนไอ้โบ้มันส่งเสียงคำรามข่มขวัญอุ๊ทันที ก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันนอนง่ายอย่างนี้

เช้าวันอาทิตย์ กับการผจญภัยสไตล์ เป็ด เป็ด

เช้านี้ลืมตาขึ้นมาก้ไม่เห็นคู่แฝดแล้ว ไม่รู้ว่าแอบออกไปไหน มองไปทางอุ๊ก็ไม่เห็น เห็นแต่ผ้าห่มคลุมก้อนอะไรอยู่ก้ไม่รู้ มองไปทางจารย์โบ้ มันนอนคว่ำหน้า ได้ความตอนหลังว่าใกล้แปดโมง มันต้องเคารพธงชาต( โบ้บอกเอง) มองไปทางบักโต้ง มันก็นอนน้ำลายยืด

เดินออกมานั่งหน้าบ้าน มองคนเดินไปมา เห็นพนักงานกำลังตั้งโต๊ะทานข้าว นั่งลอยไปลอยมา เห็น ไอ้แฝดเดินกลับมา ถามได้ความว่าออกไปปั่นจักรยาน สูดอากาศสดชื่น เลยนั่งเล่นคุยกันไป ซักพัก อุ๊ออกมาคุยด้วย พวกเราเริ่มฟื้นตัวยามเช้า หลังได้นอนหลับเอาแรงกัน ใหญ่บ่นตอนเช้าว่าเมื่อยๆ จนชายโบ้มานวดให้ ขณะที่โบ้เริ่มกดจุดกลางหลังใหญ่ โบ้ก็เกิดอาการเมื่อย เลนหย่อนก้นลงบนหลังใหญ่ พวกเราดูโบ้นวดใหญ่อย่างออกรส ออกชาด ไม่กี่อึด ใจ ใหญ่ร้องว่า ' แย่แล้ว ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย' เพื่อนคะ ที่ใหญ่ว่า ไม่ใช่โบ้มันนั่งทับหลังใหญ่จนหัก แต่ว่า ใหญ่มันไร้อารมณ์เมื่อมีผู้ชายมานั่งทับ ใหญ่มันร้องเสียงหลงยิ่งกว่าถูกหวยกินซะอีก เล่นเอาเพื่อนนั่งขำกันน้ำตาเล็ด ก็ใครจะคิดละ ว่ามันจะหมายถึงอย่างนี้

วันนี้เรายังไม่ตกลงว่าไปไหน ก็กะว่าจะเที่ยวเล่นง่ายๆ เมื่อคืนพูดๆกันว่าน่าเข้าเมืองราชบุรี ไปดูพิพิธภัณฑ์ หรือว่าวัดอะไรทำนองนั้น แต่พอคุยกันไปคุยกันมา เลยสรุปว่าไป สวนผึ้งดีกว่า ไปดูรีสอร์ทสวยๆ

ตกลงตามนั้น ก็หาข้าวหาปลามาทานกัน ได้ยินอุ๊บ่นเรื่องไชโป้ไชโป้ ว่าแม่อยากกิน แต่ไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหนดี หนิงเลยจัดการถามน้องที่โรงแรม ได้ความว่า เลี้ยวขวาตรงสี่แยก ก่อนทางรถไฟ พวกเราเลยตกลงว่าจะไปร้านไชโป้ก่อนแล้วค่อย ไปสวนผึ้ง

หลังจากแต่งตัวเก็บของเสร็จ เราจัดแจงแยกรถ วันนี้มีรถ 3คัน พวกเรา 6คน เราตกลงกันว่าจะเอารถไปจอดที่ไหนสักแห่ง เล็กจัดการถามน้องสาวว่าจะฝากรถไว้ได้
ไหม น้องสาวเล็ก โอเค เราแบ่งคนนั่งไปคันละ2คน เล็กไปกะโต้ง หนิงไปกะโบ้ ใหญ่ไปกะอุ๊

เราขับตามๆกันออกมา ที่แรกที่จะไปคือร้านขายไชโป้ ไม่ไกลนัก พวกเราเห็นของที่วางขายแล้วขอบอกว่า ไชโป้สารพัดรูปแบบจริงๆ อุ๊น่าจะกวาดมาทั้งหมดที่มีอยู่(อำเล่น) ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็ไม่น้อยหน้า ไม่ได้อยากซื้อแต่เมื่อมาถึงที่ก็ขอซื้อกันหน่อย
หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปต่อคือโรงปั้นโอ่ง เถ้าฮงไถ่ ได้ยินอุ๊บอกว่าอยากกินกาแฟที่นี้
เข้าไปถึง ฝนฟ้าเริ่มไม่เป็นใจ มีหยดมาแหมะ 2 แหมะ แต่อย่างพวกเราแล้ว ฟ้าไม่ผ่า ข้าก็ไม่กลัว (สาบานไว้เยอะ) เราเดินเข้าไปดูส่วนที่เป็นร้านกาแฟ ถามน้องในร้านว่าของที่โชว์ขายไหม เท่าไร น้องบอกราคามา พี่แทบตกเก้าอี้(แต่ไม่บอกว่าเท่าไร ถึงตกเก้าอี้) พวกเราดูระวังตัวกันมากขึ้น เพราะถ้าทำของเขาแตก มีหวังต้องมานั่งปั้นหม้อใช้คืนแน่

โรงปั้นโอ่งแห่งนี้ชื่อ เถ้าฮ่งไถ่ ได้ยินมาว่าเป็น โรงปั้นโอ่งมังกรแห่งแรกๆของราชบุรีเลย โดยไม่ต้องสงสัยว่ามาจากไหน เพราะขึ้นชื่อว่ามังกร เจ้าของเดิมยอมมาจากดินแดนมังกรแน่นอน

อุ๊เคยมาที่นี้แล้ว เลยบอกพวกเราว่าข้างในมีของดีๆดูอีก เราเดินตามอุ๊เข้าไปแต่โดยดี เจอของสวยๆงามๆ เราก็ตั้งท่าถ่ายรูปกันสุดๆ แบบที่ว่าจารย์โบ้ แจ้งเกิดได้ จารย์โบ้ บอกว่าอยากเป็นนกกระจอกเทศ อุ๊ว่าคล้ายๆ เพราะผมน้อยเหมือนกัน

เดินเข้าไปด้านใน เห็นโอ่งไห วางอยู่เต็ม เราเดินดูๆโอ่ง สักพักก็มีเจ้าหน้าที่สาวมาเดินตามพวกเรา เขาคงอยากอำนวยความสะดวกเราเวลาที่เราอยากได้ของชิ้นไหน ชี้นิ้วสั่ง เขาก็จะจดลงใบรายการ แล้วคิดตังค์เราในที่สุด ( จริงๆแล้วเขากลัวเราทำแตกต่างหาก)

เราทำฟอร์ม ถามราคา ทั้งที่จริงๆแค่มาเดินดูเล่นๆ แต่เอาเข้าจริง ก็โดนใจกันไปหลายชิ้น ที่แน่ๆ โอ่งมังกรสีขาว ลายแตกๆ ได้ยินว่าราคาแค่ 4500 น่าซื้อจริงๆ

พวกเราเดินไปเรื่อย จนเข้าไปในโรงปั้น เราเห็น โปรเจค เด็กฝึกงาน เอ้ยเด็กฝึกหัตถ์
เป็นโครงการที่ดี สำหรับนักศึกษาจริงๆ

เดินเข้าไปข้างในเห็นโอ่งเต็มไปหมด มีทั้งที่เผาแล้ว และยังไม่เผา ทั้งที่ช่างกำลังเขียนลาย และ กำลังปั้นอยู่ก็มี ครูใหญ่ไปสอบถาม เพราะครูใหญ่ก็ปั้น
หม้อเหมือนกัน ส่วนจารย์โบ้ ยืนดูและพิจารณาสีสันที่เขาลงไว้

ได้ฤกษ์ได้ยามจะถอยทัพ พลันเจ้าของโรงปั้นก็ออกมาจากห้องทำงาน อุ๊รู้จักเพราะพี่ชายอุ๊รู้จักกันกับเจ้าของโรงปั่น รีบเข้าไปทักทาย พี่เจ้าของโรงปั้นชื่อ วศินบุรี เป็นอาจารย์อยู่ที่คณะด้วย จารย์โบ้เลยต้องไปแนะนำตัว สนทนาปราศัย

พวกสาวๆเดินชมนิทรรศการเด็กฝึกหัตถ์ โดยหนิงโดนนกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่าเขาให้อย่างจัง เลยถอยกลับบ้านมา 1ตัว

ก่อนออกจากโรงปั้น ฝนตกลงมา เป็นเหตุให้เดือดร้อนพี่เจ้าของโรงปั้น ต้องหาร่มให้วุ่นวาย(พี่เขาห่วงสภาพ อยู่ในช่วงอนุรักษ์กันทั้งนั้น) จนในที่สุดร่มที่ได้เก๋ไก๋มาก เป็นโฟมเอามากันฝน และยังได้ตากล้องสมัครเล่นมาถ่ายให้(จริงๆแล้วพี่เขามีฝีมือการถ่ายรูปมากๆ เพิ่งจะรู่เมื่อกี้ว่าพี่เขาเป็นศิลปินศิลปาธรปีล่าสุด)

เคยได้ยินว่าศิลปิน เขามักมีโครงการประจำใจเสมอ ไม่รู้ว่าพี่เจ้าของโรงปั้นเขามีโครงการอยากปั้น 'ตัวเอี้ย เมืองกรุง' บ้างไหม เพราะ พวกเราปล่อยโชว์พี่เขาไปหลายตัว ที่สำคัญหน้าตามันต่างกับแถวราชบุรีมากโข ถ้าอยากได้แบบ จะกลับไปให้ดูใหม่เป็นตัวอย่างได้เลย

ก่อนลาพี่เจ้าของโรงปั้นกลับไปเที่ยวเล่นต่อ พี่เขาแนะนำให้ทานกลางวันในเมือง หรือไม่ก็ร้านระหว่างทางไปบ้านเล็ก ชื่อหัวสนามบิน พี่เขาแนะนำเมนูอย่างไข่เจียว ได้ยินว่าอร่อยมากๆ(ท่าทางพี่เขาจะกินง่าย อยู่ง่าย ขนาดว่าไข่เจียวยังอร่อยได้) เราก็รับคำ แต่ขอเป็นทางเลือกแล้วกัน พี่เจ้าของโรงปั้นใจดีขนาดบอกให้ทิ้งรถไว้ที่นี้ก็ได้ แต่ด้วยพวกเรากลัวจะเถลไถลไม่เต็มที เลยขอไปจอดบ้านน้องอี๊ดดีกว่า



พวกเราขับตามๆกันไปบ้านน้องอี๊ด(น้องของแฝด) เพื่อจะเอารถอุ๊ กะเล็กเก็บที่นี้ เราจะรวมรถไปคันเดียว โดยมีโบ้นั่งหน้า เพราะโบ้ตัวใหญ่ ไปเบียดกับคนอื่นๆ ไม่ได้แน่ ส่วนโต้งได้ที บี้เบียดกับสาวๆเหมือนเคย

เราขับกันออกมา มุ่งหน้าสวนผึ้ง โดยระหว่างทางเราจะผ่านร้าน หัวสนามบิน ก่อนที่จะผ่าน พวกเราลงคะแนนกันว่าจะทานข้าวที่ไหน บางเสียงบอกให้หากินเลย บางคนบอกว่าสวนผึ้งเถอะ แต่มีเสียงรอดออกมาว่า ‘กูไม่กินนะ ข้าวไข่เจียวง่ะ กูหาแดกแถวบ้านก็ได้’ สำเนียงอย่างนี้ เป็นใครไม่รู้ เพราะตอนนั้นเสียงเซ็งแซ่ไปหมด เลยจับไม่ได้ว่าเจ้าของวลีคือใคร(เดาเอาเอง มีแค่ 6คน)

เราผ่านร้านไข่เจียวลือชื่อที่พี่เจ้าของโรงปั้นแนะนำ เรามองๆเข้าไปก็เห็นคนเยอะอยู่ แต่ด้วยความที่เชื่อมั่นว่ากูจะไปกิน ครัวกะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง เราก็ตะบึ่งรถมุ่งหน้าสวนผึ้งทันที

ระหว่างทาง เล็ก จะแนะนำเส้นทางให้คนในรถฟัง เพราะเล็ก ใหญ่ เกิดและโตที่นี้ เราผ่านจอมบึงก่อนที่จะเข้าสวนผึ้ง ใหญ่ชี้ชวนดูทางเข้าบ้าน ซึ่งหนิง กับอุ๊เคยมาทำธุระปะปังที่นั้นครั้งหนึ่งเมือ่นานมากแล้ว

เรานั่งคุยเล่นอย่างสนุก เวลาผ่านไป ตะวันส่องตรงหัว บอกเวลาเที่ยงวัน ผนังท้องบางคนเริ่มเสื่อมสภาพ หมาในปากเริ่มส่งเสียงเห่าดังขึ้น ดังขึ้น จากแซวกันเล่นๆ น้ำเสียงเริ่มจริงจัง ไม่นานเกินรอ รถก็มาจอดที่ครัวกะเหรี่ยง ร้านลือชื่อของสวนผึ้ง แต่เมื่อพวกเราลงไป ก็ต้องผิดหวัง เมื่อทางร้านบอกว่าต้อองรอถึง 1 ชมทีเดียว อ้าว เรามองหน้ากัน เวลานั้นอย่าให้ได้รอเลย เพราะหิวกันตาลายแล้ว เราตกลงว่าออกไปหาร้านอื่น จุดหมายต่อไปคือ เทียนหอม แต่พระแม่เจ้า รถล้นออกมาชนิดต้องมีกรวยตั้งอยู่กลางถนน เกิดอะไรกันเนี้ย ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มากันทำไมเยอะแยะ แค่คิดแต่ไม่อยากหาคำตอบ เพราะทุกคนวุ่นวายว่าจะกินข้าวที่ไหนดี สุดท้ายเราไปจบที่ครัวกะหร่าง จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก แต่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวไข่ที่มาตั้งดักหน้าร้านนั้นละ หลายคนหมดหนทางเหมือนเรา เลี้ยวรถมากินที่นี้ โชคยังดีที่เรายังมีของกิน ถึงแม้ก๋วยเต๋ยวจะหมด แต่ว่าก็ยังมีมาม่าให้ทาน โต้งดูจะทานยากเหมือนเดิม พวกเราเริ่มบ่นๆกันว่า รู้งี้กินไข่เจียวที่พี่เจ้าของโรงปั้นแนะนำก็ดี ดีกว่าไม่มีกินอย่างงี้

พวกเราหาอาหารลองท้องแล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า หลังได้อาหาร อุ๊บอกว่าเมื่อกี้เหมือนพวกเราจะกินกันเอง มันถึงเวลาให้อาหาร(หมา)แล้ว(หมา) เลยหิว

หนิงเริ่มคิดหาโปรแกรมให้ เพราะเมื่อปีก่อนมาเที่ยวแถวนี้หลายหน มาคราวนี้ผ่านไปแค่ปีเดียว ที่นี้เปลี่ยนไปเยอะ รีสอร์ทขึ้นอีกหลายแห่งจนหน้าใจหาย เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ วันหนึ่งก็คงไม่ต่างกับเขาใหญ่ หรือหลายๆเมืองที่โตเร็วเกินไป

สวนผึ้ง จำได้ว่าสมัยก่อนไม่มีใครมากัน เพราะมันเป็นอำเภอที่ติดกับพม่า ดูอันตราย ที่นี้เราจะเห็นกะเหรี่ยง หรือพม่าอยู่ปะปน แต่มาตอนนี้ ความเจริญที่เข้ามา ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ที่พักที่นี้ราคาไม่ถูก มีแต่ที่พัก ไฮโซ แพงๆ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยน คืออากาศที่นี้ดีมาก ขนาดว่าหน้าฝน ตอนเช้าๆ จะหนาวเย็น ถึงแม้บ่ายไปแล้วก็ยังไม่ร้อนมาก แต่อีกไม่นาน ถ้ามีสิ่งปลูกสร้างมากขึ้น อากาศก็คงเปลี่ยนแปลงไปด้วย

เราขับรถมุ่งหน้าไปเขากระโจม คาดกันว่าถ้ามีโอกาสจะมาเฮฮา นั่งรถขึ้นเขากระโจมเสียหน่อย เขากระโจม บางคนเรียกเขาช่องกระโจม อยู่ติดชายแดนไทย พม่าเลย สมัยก่อน เป็นที่สุ่มเสี่ยงอันตรายจากชนกลุ่มน้อย (ตอนนี้มีแต่ชนกลุ่มใหญ่) ที่เขาเรียกเขากระโจม เพราะว่ารูปร่าวเหมือนกระโจม และก็ชันมาก ถ้าจะไป ต้องใช้รถ โฟร์วีล และคนขับต้องมีความชำนาญทีเดียว

สำหรับ tripนี้ อย่าหวังว่าเราจะขึ้นไป เพราะเราทานข้าวเที่ยงกันก็บ่ายแล้ว ขณะที่เราขับรถมุ่งหน้าไปทางเขากระโจม หนิงเสนอให้แวะเที่ยวดูรีสอร์ท อ้อมกอดขุนเขา หนิงว่าชื่อเชยดี แต่ว่าเขาก็ทำรีสอร์ทได้น่ารัก เราเขาไปหาอะไรทานกันก่อน ก่อนที่จะถือวิสาสะเดินเขาไปดูเล่น ที่นี้เราได้ถ่ายรูปกันเยอะแยะ เป็นที่สนุกสนาน(กระชากวัย)

ที่พักคาดว่าเต็ม เพราะเห็นคนเข้าออกตลอดเวลา จากนั้นเราขับกันไปเรื่อยๆ แวะต่อที่ ร้านกาแฟ อมันเต้ ที่นี้เขามีที่พักหน้าหนาวเป็นแบบกลางเต็นท์ด้วย

วันนี้คนมาเที่ยวสวนผึ้งเยอะมาก ไม่ว่าไปร้านไหนคนก็เต็มไปหมด ทำให้พวกเราเสียรมณ์ไปบ้าง ยิ่งถ้าเทียบกับเจ็ดเสมียนแล้ว ต่างกันจริงๆ

จากนั้น เราก็ขับรถต่อ ตอนแรกชวนเพื่อนๆไปจบที่บ่อคลึง แต่ถ้ากลับไปทางเดิมอ้อมมาก บวกกับเส้นทางที่เรากำลังจะไป ใกล้เสร็จแล้ว น่าขับเข้าไปลอง เดินไปถามชาวบ้าน เขาก็บอกว่ารถอย่างเราเข้าได้ หนิงจึงขับพาเพื่อน
รักทั้งหลายไป ทั้งที่ในใจ หนิงก็หนาวๆว่าทางจะแย่(เพราะหน้าฝนด้วย) แต่เพื่อนตาดำๆ ไม่มีใครรู้เลยว่ากำลังไปไหน จะได้ยินถามบ้างก็แค่สงสัย คู่แฝดพอรู้ทาง แต่หนิงก็บอกว่าทางทำแล้ว

พวกเรานั่งคุยกันไป คุยกันมา ถนนที่ว่ามุ่งหน้าไป บ่อคลึง เส้นทางเพิ่งตัดใหม่ คาดว่าคงยังไม่มีอยู่ใน GPS สองข้างทางดูเปลี่ยวเพราะไร้บ้านคน แต่เพื่อนๆทั้งหลายก็ไม่ยี่หระ จุดหนึ่งที่เราเห็นถนนว่างๆ ไร้พาหนะใดๆ พวกเรารีบลงไปถ่ายรูป มีเสียงทักว่าเดี๋ยวรถสวน เด๋ียวรถชน แต่เป็นเสียงทักแบบจิ้งจกเท่านั้น แล้วทุกคนก็ลงมาโพสท่า

พวกเราดูสนุกกับกล้องมาก ไม่ไกลจากนั้นเราก็มาถึงบ่อคลึง บ่อคลึง เป็นบ่อน้ำร้อนเอกชน ที่เกิดจากน้ำแร่ที่ไหลจากซอกหิน บนเทือกเขาตะนาวศรี
ที่นี้ค้นพบโดยนายประยูร โมนยะกูร และลูกหลานได้มาทำการจัดทำ พัฒนาพื้นที่ เก็บค่าเข้าไม่แพง มีบ่อน้ำร้อนที่เป้นบ่อดิน และบ่อปูน พวกเราเห็นคนเยอะแยะไปหมด จนคิดว่าคงไม่ร่วมลงน้ำด้วย เลยไปเอาเท้าจุ่มน้ำเล่น แค่แว้บๆ

จากนั้นเราชวนกันเดินไปดูตาน้ำ ซึ่งไม่ไกลเท่าไหร แค่ 150เมตร จากบ่อน้ำร้อน แต่ได้ยินเสียงบ่นว่าไกลบ้าง อะไรบ้างจากเพื่อนที่รักทั้งหลาย ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราเอากล้องมาทำการดูดสี เปลี่ยนสีอีกครั้ง เหมือนเด็กเล่นของเล่น
จารย์โบ้กับหนิงช่วยกันเปลี่ยนสีเขียวของป่าให้เป็นสีส้ม ตอนแรกมันด่างๆยังไงไม่รู้ โบ้เขาก็พยายามอย่างมาก สุดท้ายเขาสามารถเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวพวกเราให้สวยเหมือนอยู่เมืองนอก พวกเราเลยยิ่งสนุกกับการเดินป่าครั้งนี้มาก หลายคนที่ดูรูปอยากมาบ่อคลึง แต่ถ้ามาแล้ว ไม่เหมือนในรูปก็อย่าว่ากันนะ

ที่ตาน้ำ เราเห็นเป็นน้ำไหลซึมออกมาจากดิน ไม่มากไม่มาย แต่น้ำนั้นร้อนเอาเรื่องทีเดียว เราชักภาพกันสนั่นหวั่นไหว ไม่นานเกินรอ พวกเราก็ออกเดินทางกลับจากตาน้ำ ขึ้นรถ มุ่งหน้าไป Scenery ที่นี้จัดเป็นรีสอร์ทแรกๆของสวนผึ้งเลย แล้วที่นี้ก็มีแกะ มาให้ถ่ายรูปคู่ด้วย

เรานั่งรถออกมา เสียดายว่าถ้าได้ค้างคืน แถวนั้นก็ยังมีที่เที่ยวอีกทั้งน้ำตก ทั้งแก่ง

แต่เมื่อเราเลือกเดินทางที่เป็นแบบ เป็ดๆแล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะเดินทางต่อไป
เราขับผ่านรีสอร์ทต่างๆ เห็นบางที่ก็ให้คนกางเต็นท์ด้านหน้าได้ ที่พักคงเต็มจริงๆ

เมื่อเรามาถึงหน้า Scenery เราได้ยินใครสักคนบอกว่า ‘แกมาจัตุจักรกันเหรอ’ ก็เต็มไปด้วยผู้คนซะขนาดนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เวลาที่ไหนดังๆ มีชื่อเสียงหน่อย คนจะตามกันไปเยอะแยะ เหมือนกับว่าผู้คนงอกมาจากไหนเยอะแยะไปหมด จนหลายครั้ง ต้องหาทางไปช่วงที่ไม่ตรงวันหยุด เพื่อหลีกหนีผู้คน

เราเดินเข้าไปดู เห็นสารพัดผู้คนเดินกันเต็ม เราตกลงใจกลับ ผิดหวังมากๆ ขนาดจะเข้าห้องน้ำ คิวยังยาว

เราเริ่มขำๆกันเองว่าทัวร์ของพวกเรา ลงไปดูๆแล้วกลับ เป็นเหตุให้เล็กมันเรียกทัวร์ลูกเป็ด เหมือนว่าเที่ยวแป๊บๆ แบบเป็ดที่เป็นทุกอย่าง แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง พวกเราก็เที่ยวทุกที่ แต่แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น

เราตัดสินใจกลับไปบ้านอีี๊ด ตอนกลับยังเห็นรถสวนมาบ้าง รถออกจากสวนผึ้งยังน้อย
ตอนอยู่ในรถ จารย์โบ้เริ่มหมดสภาพ ใครพูดอะไรก็ได้ยินเพี้ยนไปหมด ไม่นาน บักโต้งก็ไปอีกคน ลานหมดกันเป็นแถว จะเห็นนั่งตาแป๊ว ก็มีอุ๊เนี้ยละ แอบฟังอุ๊โทรหาแม่ว่าไม่กินข้าวด้วยวันนี้ อุ๊เหมือนเด็กใจแตกหนีตามเพื่อน แถมแอบบ่นว่าไม่อยากกลับบ้าน พวกเรายังมีแซวกันเรื่อง ฉายาที่ให้กันไว้ ใหญ่ รับไปเต็มๆ กับหญิง ไร้(ความรู้สึก) ส่วนโบ้ ก็ได้รับฉายาว่า ชายพร้อม(เสมอ)
ส่วนหนิง ก็ได้ฉายาหญิงเพรียบ (ที่มาไม่บอก) ส่วนโต้งเราเรียกว่าเสี่ยส่ง( ส่งเด็กเรียนนอก) เราเฮฮา กันขนาดว่าอุ๊ไม่ยอมให้หนิงมาเขียนบอกใครเด็ดขาดเรื่องฉายาของอุ๊ อุ๊๊ว่าอุ๊อาย ( ใครอยากรู้ ถามโต้งหรือโบ้ได้)

พวกเรากลับมานั่งพัก รอเล็ก โหลดรูปแจก จากนั้น เราก็กลับเข้าราชบุรี กินร้านเดิม แต่เปลี่ยนเมนู หนิงว่าเจ๊ที่ขายก๋วยเตี๋ยวทำอร่อยกว่าป้าเยอะ แลัวเราก็กลับไปกิน ขนมปังสังขยาเหมือนเดิม
เดินๆกันไป แอบได้ยินใหญ่ด่าไอ้โต้ง กว่าจะด่าได้ ใหญ่ยังเรียกคุณโต้ง ก่อนแจกตัวกินไก่ให้ตัว เป็นที่ขำขันที่ได้ยินกัน เพราะใหญ่ไม่เคยหยาบคายขนาดนี้ ไอ้โต้งด่ากลับไม่ถูกเลย

จะว่าไปแล้วพวกเราที่เรียนมาด้วยกัน ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย
เวลาคุยกัน ดูเหมือนว่าสิทธิเสรีภาพเราจะเสมอกัน หลายคนเวลาได้ยินเราพูด เขาก็จะสะดุ้งกันทั้งนั้น แต่สำหรับเพื่อนกับเพื่อน แสนจะเป็นเรื่องปกติ

เคยครั้งหนึ่งที่แม่หนิงขอร้องให้หนิงกับโต้งพูดกันดีๆ ไม่หยาบคาย เชื่อไหมว่า พูดกันแค่ 5 นาที กลับมาด่ากันกระเจิง ไม่สามารถจริงๆ

อย่างอุ๊ก็จัดว่าไม่หยาบคาย แต่ก็ไม่สุภาพเท่าใหญ่ อาจเป็นเพราะใหญ่เป็นครูบาอาจารย์ด้วย ผิดกับจารย์โบ้ ที่เวลาอยู่มหา’ลัย โบ้จะส่งยิ้มอย่างเดียวเวลาเราพูดด้วย คงกลัวจะหลุด เพราะตลอดtripนี้ โบ้ ก็กลับมาเป็นโบ้คนเดิมของเพื่อนๆ ส่วนเล็กน้องใหญ่ มีจุดยืนตรงข้ามใหญ่สิ้นเชิง

เวลาของความสนุกใกล้หมด เล็กใหญ่ ขับรถกลับบ้านอี๊ด ส่วนอุ๊ขับกลับบ้านโป่ง หนิงมีภาระเอาไอ้2หนุ่มกลับกรุงเทพ

ภาระกิจการท่องเที่ยวที่แสนจะง่ายๆกับเพื่อนจบไป แต่พวกเราติดใจกันมาก ขนาดว่าจะชวนกันนั่งรถเป็นปลากระป๋องขึ้น แพร่ กับน่าน เมื่อมีโอกาส เราคงจะต้องทำอีก แล้วคราวหน้า เราจะเล่าว่าทัวร์ลูกเป็ดของเราไปไหนบ้าง

เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า ,จารย์โบ้ ,ไอ้เ-ี้ยโต้ง,แฝด,พี่เจ้าของโรงปั้น