วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ทัวร์เป็ดน้อย ตอน หัวหินเป็นถิ่นมีหอย ฝรั่งนั่งคอยดูหอยติดหิน

ทัวร์เป็ดน้อย ตอน หัวหินเป็นถิ่นมีหอย ฝรั่งนั่งคอยดูหอยติดหิน

สืบเนื่องมาจากทัวร์เป็ดน้อยเลอะเทอะคราวที่แล้ว ที่สร้างความ ฮา ให้กับเหล่าลูกทัวร์ทั้งหลาย และผู้ติดตาม action ลวงโลกคราวที่แล้ว ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้น อีกครั้ง คราวนี้ สมาชิกงอกเงยออกมา อีกหลายคน ขอย้อนความเดิมจากตอนที่แล้วว่า หลังจากกลับจากทริป พวกเราก็มีอาการโหยหาเสียงหัวเราะ จึงมีการจัดกินข้าวกันเล็กๆ ในตอนนั้น เสียงเรียกร้องอยากออกไปฮากันอีกครั้งก็ดังขึ้น หนิงเลยเสนอหัวหินเป็นทางออก เพราะชายโต้งอยากที่จะไปดู ‘ไฉไลไปรบมาก’ ทั้งๆที่ ก็เคยไปดูมาแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ไม่เคย เลยตกลงตามนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปนอนปราณบุรีกัน แต่เล็กได้เจอเพื่อนเก่า และเพื่อนที่ใจดีก็เสนอบ้านให้เป็นที่พำนัก เราตกลงกันตามนี้เพราะจะได้ประหยัดตังค์ ของพวกเราไปได้เยอะ

หนิงจัดแจงนัดวัน เพราะ วันหยุดที่ตรงเสาร์กับอาทิตย์ในเดือนนี้น้อยมาก มองในเสกตได้มาเป็นวันที่11 แต่หนิงต้องกลับจากบินมาตอนเช้าวันนั้นเลย เรียกว่ากลับมานอนนิดหน่อย แล้วก็เที่ยวต่อเลย เพื่อนๆไม่มีปัญหา หนิงจัดแจงกระจายข่าวทันที การตอบรับจากสมาชิกเก่าดีเยี่ยม แต่เหมือนมีพรายกระซิบข้างหูตุ๊ก ตุ๊กโทรมาหาในวันหนึ่ง ถามว่า เมื่อไรจะจัดทริป ครั้งแรกหนิงยังงงอยู่ว่าคืออะไร ฟังตุ๊กอยู่สักพักก็จับใจความได้ว่าเป็นทริปเป็ดน้อย นั้นเองที่ตุ๊กสนใจ หนิงเลยบอกว่าจะจัดเดือนกันยา วันที่ 11-12 ตุ๊กบอกว่าให้แจ้งด้วย

ตุ๊กและครอบครัวประกอบด้วยพี่ตี๋และลูกน้อย ตุ๊กเป็นเพื่อน เดคเหมือนกัน ค่อนข้างสนิทกันทีเดียวถึงแม้เราจะเรียนกันคนละภาควิชา แต่เวลาไปเที่ยวก็มักจะไปด้วยกัน ส่วนพี่ตี๋ ก็เป็นรุ่นพี่เดคเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคู่นี้ไปจิ๊จ๊ะกันแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็เป็นแฟนกันแล้ว สุดท้ายก็ลงเอยที่การแต่งงานสร้างครอบครัว มีพยานรักเป็นเด็กช่างพูด1คน ชื่อนีออน มีการคาดเดากันว่าเหตุที่ลูกชื่อนีออน น่าจะมาจากความขาวเผือกที่ไม่บันยะบันยัง ที่มาจากพ่อ และแม่นั่นเอง
พี่ตี๋สนิทกับเพื่อนเมียมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะ โต้ง กะโบ้ เพราะ ท่านๆทั้งหลายมักชวนกันไปตั้งบ่อนตามที่ต่างๆในกรุงเทพเกือบทุกอาทิตย์ พี่ตี๋จึงเหมือนได้มาเที่ยวกับเพื่อนตัว มากกว่ามากับเพื่อนเมีย


ตอนนั้นสมาชิกใหม่เพิ่มแค่ครอบครัวตุ๊ก ส่วนคนอื่นๆยังไม่มีใครรู้เนื่องจากยังจัดสรรที่นั่งไม่เสร็จ จนกระทั่งตุ๊กยืนยันมั่นเหมาะว่าจะไป จึงมีการเชื้อเชิญคุณเป้เขาร่วมด้วย เนื่องจากได้ยิน ว่าคุณเป้สนใจที่จะร่วมขบวนการเป็ดๆ

พูดถึงคุณเป้ เขาเป็นชายร่างสูง สูงมาก เรียกว่าเดินตลาดนัดเห็นเธอชัดจากแดนไกล เพราะเธอสูงดังเสาไฟฟ้า เวลาเธอยืนข้างหญิงไทยใจกล้าร่างเล็ก จะแลดูคล้ายเสาไฟฟ้ากับถังขยะยังไงไม่รู้ ดีที่ว่ามีแฟนรูปร่างบางโปร่ง จึงช่วยให้เธอดูเหมือนเสาไฟฟ้า กับป้ายจราจรขึ้นมาหน่อย อีกเรื่องที่เป็นที่โจษจันในหมู่เพื่อนฝูง คือชื่อเล่นแปลกใหม่ของเป้ ที่ชื่อ เทน (ten) เป็นอะไรที่หนิงรับไม่ได้อย่างแรง แต่ถ้าฟังเป้อธิบาย ก็พอมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าทำไมถึงชื่อเทน แต่พอฟังจบ ก็อดขัดใจไม่ได้ แล้วในที่สุดเพื่อนก็พร้อมใจกันเรียก ไอ้เป้ เหมือนเดิม (เพราะแม่ของเป้ ก็ยังเรียกเป้ เหมือนเดิมเช่นกัน)

เป้ถูกขอร้องแกมบังคับว่าเมื่อไปรับอุ๊ที่ราชบุรีแล้ว เป้ต้องย้ายรถไปนั่งรถพี่ตี๋ ซึ่งเป้โอเค ไม่มีปัญหา หนิงจัดการนัดอุ๊ที่ราชบุรี โดยให้อุ๊ไปรอที่โรงปั้นโอ่ง เถ้าฮงไถ่ โดยบอกพี่เจ้าของโรงปั้นว่าอุ๊จะเอารถไปจอด หนิงได้ทำการติดสินบนพี่เจ้าของโรงปั้นด้วยไส้กรอกจำนวนนึงเป็นที่เรียบร้อย และแจ้งให้อุ๊ทราบว่า หนทางสะดวกปลอดภัย ดังนั้นอุ๊สบายใจได้ เมื่อตกลงกับอุ๊เรียบร้อย หนิงก็นัดในลำดับต่อมาคือชายหนุ่มที่ต้องมาขึ้นรถที่ บ้านหนิง กรุณามาให้ตรงเวลาหน่อยโดยเฉพาะคุณโต้ง

แต่ก่อนทริปไม่กี่วัน ก็มีเรื่องระทึกใจให้หนิงตื่นเต้นเล่น คือเครื่องบินที่หนิงจะต้องบิน คืนนั้นเสีย จำต้องรอเครื่องที่กลับจากยุโรปมาก่อน เป็นเหตุให้เครื่อง delay ออกเป็นตอนเช้า เรื่องไม่ใช่แค่นั้น เพราะเมื่อก่อนเครื่องออกจากกรุงเทพ กัปตันมาบอกอีกว่า มีเครื่องเสียอยู่ที่ Stockholm อีก2ลำ หนิงเริ่ม หนาวๆ ร้อนๆ กลัวว่าต้องสลับกับลูกเรือชุดที่อยู่ที่โน่น ให้อยู่แทน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทริปนี้ล่มแน่นอน หนิงส่งข่าวบอกเพื่อนๆตลอดให้สวดมนต์กันเยอะๆนะ จะได้ไปเที่ยวกัน เล็กบอกว่าสวดให้ตลอด และโชคดีที่ไม่ต้องเป็นอย่างที่คิด หนิงกลับบ้านสะดวกโยธิน แต่เรื่องกลับเป็นว่าคนที่ไม่ได้ไปกลับเป็นโต้ง

เช้านั้นหนิงกลับมานอน แต่ด้วยความตื่นเต้น หรือหิวไม่แน่ใจ ทำให้ตื่นเร็ว เลยส่งข้อความบอกหนุ่มๆว่า มาที่บ้านได้เลย ขณะที่รอเพื่อนๆ โต้งโทรมาทำเสียงเศร้า อย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า ‘ฉันไม่สบายวะแก อ้วกไปหลายรอบแล้ว สงสัยจะไปไม่ได้’
ป่วยมาอย่างนี้เราก็เห็นใจ แต่ซักถามไป มา โต้งคาดว่าเกิดจากอาหารเป็นพิษ เราขะยั้นขะยอให้ไป โดยบอกว่าไปรับที่บ้านไหม โต้งก็ไม่ยอม เมื่อโต้งไม่ไป เพื่อนๆก็แสนเสียดาย เพราะโต้งจัดเป็นชูรสชั้นดีให้เพื่อนๆทั้งหลายโดยเฉพาะสาวๆ

แต่ถึงกระนั้น เมื่อขาดโต้งใช่ว่าจะขาดความสนุก เป้เลยได้รับเชิญให้นั่งประจำที่แทนโต้ง
เราออกจากบ้านหนิงสายกว่ากำหนด เพราะครูใหญ่มีนัด เลิกเที่ยง โบ้และเป้ มาหาหนิงที่บ้านตามเวลา ดูท่าทางเป้คึกคักเป็นพิเศษ อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่เป้มากับเรา ส่วนโบ้ จากคราวที่แล้ว โบ้สนุกสนานมาก
พวกเราออกจากบ้านหนิง ก่อนเที่ยงเล็กน้อย เรามุ่งหน้ารับใหญ่แถวถนนพระรามเก้า หนิงขับตามที่ใหญ่บอกเส้นทาง แล้วใหญ่ก็ทำให้เราฮา เมื่อบอกให้เราหาบ้านที่ปลูกตะลิงปิงไว้หน้าบ้าน โดยใหญ่อธิบายว่า ต้นมันคล้ายมะยม โห เด็กเมืองกรุงอย่างพวกเรา3คนถึงกับร้องเสียงหลง แล้วก็อดขำไม่ได้ว่าใหญ่มันมามุกไหนเนี้ย เราขับเข้ามาในซอย ดีที่ว่าดูแล้วบ้านหลังนึงน่าสงสัยสุด เลยจอดลงไปด้อมๆ มองๆหน้าบ้าน ทำท่าเหมือนกับโจรก็ไม่ผิด

เรายืนหัวเด้อยู่หน้าบ้าน จนกระทั่งใหญ่ออกมา เรารับใหญ่แล้วก็ต้องไปรับเล็กต่อที่พระราม2 ก่อนออกจากบ้านเล็ก เล็กโทรบอกอุ๊เพื่อให้อุ๊ไปรอที่โรงโอ่งได้ ส่วนตุ๊กก็แยกกันเลย เพราะเป้ไม่ต้องนั่งรถคันนั้นแล้ว โชคดีที่หนิงเตรียมของกินมาให้เพื่อนๆ เลยไม่มีเสียงโวยวายหิวข้าวตามมา มีแต่เสียงเฮฮารอคอยความสนุกที่รอคอยข้างหน้า

เราขับรถเรื่อยๆช้าๆ เพราะคนขับขำกับมุกที่เพื่อนๆปล่อยออกมาเป็นระลอกๆ เป้ถามว่าเราไปไหนกัน ดูเหมือนคราวนี้ เป้มาเป็นเหยื่อให้เพื่อนๆ อำเล่นสนุกสนาน เราอำเป้แบบไม่บันยะบันยัง จนกระทั่งถึงโรงโอ่ง เราใช้เวลาจากกรุงเทพไปโรงโอ่งเกือบ 2ชม โดยหนิงขับผ่านเมืองสมุทรสงครามมุ่งหน้ามาเพชรเกษม เป็นเส้นทางที่เราลองขับมากัน เผื่อว่าจะใกล้กว่าเส้นอื่นๆ ตลอดทางเราผลัดกันปล่อยมุกตลอดเวลา แต่ที่โดนใจใหญ่ เห็นจะเป็นมุกเพลงเรือนแพของหนิง ที่แอบปล่อยมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ใหญ่แอบได้ยิน เลยขำจนน้ำตาไหล

เรามาถึงเห็นอุ๊นั่งรอใจจดจอ เมื่อเห็นเพื่อน หน้าตาอุ๊แช่มชื่นขึ้นมาทันที เราให้เป้เดินเล่นโรงโอ่งแป๊บนึง ก่อนออกเดินทางอีกครั้ง

ทันทีที่ขึ้นรถ ม่อนน้อยของเราก็ออกอาการ ซามูไรทันที โดยม่อนน้อยไม่รีรอที่จะปล่อยมุก จิกกัดเพื่อน อนึ่งไม่เจอกันมาสิบปี เรียกเสียงเฮมาเป็นระยะ จนเพื่อนแน่ใจแล้วว่า ม่อนน้อยควรกลับเข้า face book อีกครั้ง

เราออกจากโรงโอ่งด้วยความหิว ครั้งนี้เราตัดสินใจหาข้าวบ่ายทานกันก่อนออกจากราชบุรี เราตกลงใจกินก๋วยเตี๋ยวไข่ ร้านนี้ชื่อร้านคุณแหม่ม ดูจากร้านคาดว่าน่าจะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงประจำจังหวัด และเมื่อเราได้ลิ้มลองก็ไม่ผิดหวัง แต่เป็นเพราะเราหิวกันรึเปล่าก็ไม่รู้

จากราชบุรี เราหกคนมุ่งหน้าหัวหิน แต่ก่อนจะไปหัวหิน เราต้องแวะเอากุญแจจากเจ้าของบ้านซะก่อน บ้านที่เราจะไปพัก ได้อภินันทนาการมาจากยิ้ม เพื่อนเรียนของเล็ก รุ่นน้องที่เดคของพวกเรา ถึงแม้จะไม่ได้เจอกัน แต่พวกเราก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจอันงดงามนี้มาก เมื่อได้กุญแจ เรารีบขับดิ่งมาที่บ้าน เพราะว่าตุ๊ก โทรหาพวกเราตลอด ตุ๊กและครอบครัว ถึงหัวหินนานแล้ว และได้แต่สงสัยว่าทำไมพวกเราช้าเช่นนี้ เราถึงหัวหิน 5โมงกว่า เป็นที่ขำขันกันเพราะ ปกติ ถ้าออกจากกรุงเทพเวลาเดียวกัน คนอื่นเขาถึงนานแล้ว แต่นี้เราล่องกันมาเรื่อยๆ แบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ จะว่าไป มาถึงก่อนค่ำก็ดี
เราถึงบ้านพักก็รีบเอาของลงก่อน จารย์โบ้ น่ารักมาก ลงทุนรดน้ำต้นไม้ก่อนเลย จารย์บอก กลัวต้นไม้ตาย พวกเราสำรวจห้อง จัดเตียง แล้วก็รีบออกจากบ้าน เพราะนัดตุ๊กและพี่ตี๋ที่ ตลาดจักจั่น

ตลาดจักจั่น เป็นแหล่งเดินเล่นแห่งใหม่ของหัวหิน อาจไม่ใหม่สำหรับบางคน แต่พวกเราหลายคนก็ถือว่าใหม่อยู่ เพราะเราไม่ได้มาหัวหินนานแล้ว ของที่ขาย ก็เป็นของดีไซน์บ้าง ไม่ดีไซน์บ้างคละๆกันไป แต่บรรยากาศโดยรวมถือว่าสบายๆ เหมาะแก่การเดินเล่น เราเจอเพื่อนที่ไม่คาดฝันจะเจอ นั่นคือติ๊ก
ติ๊ก หรือ เอ๋ หรือป๋า ที่พวกเราเรียกกันเป็นเพื่อนเรียนที่เดคเหมือนกัน เรียนเอกเดียวกับหนิง ใหญ่ และอุ๊ เรียกว่าเห็นหน้ากันตลอด 4ปี และมีวีรกรรม กันมากมายด้วยกัน ติ๊กย้ายหลักแหล่งมาหากินที่หัวหิน(พูดอย่างกับเป็นตัวอะไร) โดยมี โรงแรมเล็กๆใกล้กับตลาดจั้กจั่น ขนาด3ห้อง และยังขายของเล่นๆที่ตลาดแห่งนี้ด้วย
เราดีใจกันมากบอกติ๊กว่าเดี๋ยวคืนนี้จะมาหา ติ๊กยินดีมาก

หลังจากเราเดินเล่นจนทั่วตลาด เราตกลงหากินกันแถวนั้น ที่ตลาดจัก๊กจั่นมี ส่วนที่ขายอาหารด้วย แต่ขอบอกว่าอาหารแค่กินกันหิวน่าจะดี แต่ประเภท จะต้องกินนะ ไม่มี

เรา6คนมีนัดที่ วิกหัวหินต่อ เราจะไปดูฉุยฉาย เรื่องของเรื่อง คือเราตั้งใจมาหัวหิน เพื่อดูละครเวที ที่วิกหัวหิน เรื่องไฉไลไปรบ แต่ปรากฎว่า ละครเรื่องนั้นได้ลาโรงไปเมื่อเดือนก่อน หนิงสอบถามได้ความว่ามีเรื่องใหม่มาแทน คือฉุยฉาย และจะเล่นวันที่ 11เป็นวันแรก ได้ความดังนั้นเมื่อแจ้งเพื่อนๆไป ก็ไม่มีใครปฎิเสธ หนิงจัดแจงจองที่นั่งเรียบร้อย ละครจะเล่นทุ่มครึ่ง เราเลยลาพี่ตี๋กะตุ๊กก่อน 2คนนั้นไม่มาดูเพราะเห็นว่าลูกยังเล็กอยู่

โรงละครไม่ไกลจากหัวหินเท่าไหรนัก ข้ามทางรถไฟมานิดเดียว อยู่ขวามือ ไปถึงไม่นานโรงละครก็เปิดให้เข้า คนดูค่อนข้างเยอะ เกือบเต็ม หนิงนึกในใจว่าดีนะที่จองมาก่อน ไม่อย่างนั้น อาจต้องนั่งแยกกัน พวกเราได้ที่นั่งค่อนข้างกลาง แต่อยู่ด้านบนๆ โรงละครไม่ใหญ่ ไม่เล็กมาก กำลังพอเหมาะที่เดียว วันนั้นมีเด็กๆมาดูกันเยอะ มีฝรั่งมาดูบ้าง ละครเรื่องฉุฉายนี้ เป็นการแสดงโดยนำโขน มาประยุกต์ ทำเป็นการแสดงร่วมสมัย

ก่อนละครเริ่ม คุณภัทราวดี ได้มาเกร่ินนำเรื่องราว และนักแสดง ด้วย
ละคร เปิดด้วยการเแสดง โขนตอนนางลอย ก่อนที่จะเป็นการประยุกต์ ให้เข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา การแสดงชุดนี้ ในความรู้สึกหนิง จัดว่าดีทีเดียว อาจเพราะก่อนหน้านี้ หนิง ใหญ่ และเล็กได้มีโอกาสไปดูโขนพระราชทาน ตอนนางลอยด้วย เลยทำให้รู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นไป สามารถ เดาเรื่องได้ ถึงแม้จะไม่มีบทพูดหรืออะไรก็ตาม การแสดงจบลงภายในชั่งโมงครึ่ง หนิงแอบหันไปเห็นเพื่อนเป้หลับตา ไม่รู้ว่ากำลังจินตนาการตาม หรือว่าพระอินทร์เรียกไปเฝ้ากันแน่

หลังละครเลิก ยังได้มีโอกาสดูเด็กนักเรียนที่โรงเรียนที่วิกหัวหินแสดงการแสดงชุดเล็กให้ชม หลายคนมีความเห็นเรื่องโรงเรียนทางเลือกอย่างนี้ ความเห็นแตกต่างกันไปตามมุมมองของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไรการที่คนมีทางเลือกที่มากกว่าเมื่อก่อน ยอมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เราออกมาก่อนที่การแสดงชุดเล็กจบ เพราะหนิงโทรหาพี่ตี๋ ถามว่าอยากออกมาเปิดหูเปิดตาสู่โลกภายนอกไหม พี่ตี๋ ไม่มีรีรอ ถึงแม้หนิงจะได้ยินเสียงตอบออกมาแบบแผ่วเบา แต่ก็จับน้ำเสียงได้ว่า ‘กูอยากออกไปเที่ยวด้วย’ ดังนั้นแล้ว พวกเรายกขบวนกันไปรับพี่ตี๋ถึงหน้าโรงแรม ไม่ต้องรบกวนให้พี่ตี๋ต้องขับรถออกมา หนิงถามหาตุ๊ก พี่ตี๋ว่า ตุ๊กนอนหัวค่ำ หลับไปแล้ว เนี้ยละนะ มีลูกก็ต้องกล่อมลูกนอน ไม่อย่างนั้น เพื่อนตุ๊กคงติดสอยห้อยตามออกมาเป็นแน่นอน โบ้ยอมย้ายตัวเองจากหน้าไปหลัง เรียกง่ายๆว่าสูงสุดสู่สามัญ แต่มีเสียงบ่นเรื่องขยะหลังรถพอควร

เราเริ่มต้นราตรีนั้นด้วยการไปตลาดโต้รุ่ง ขณะที่เราขับรถกันอยู่ เพื่อนฝูงก็คุยกันถึงบุคคลที่3 โดยเป็นเพื่อนของอุ๊กับเป้ อยู่ๆจารย์โบ้ ก็เอ่ยออกมาว่า เขานะชื่อ โบ่วโบ๊ว เรียกเสียงฮาได้ลั่นรถ เพื่อนไม่มีใครคิดเลยว่าจารย์จะคิดได้ปานนี้ เราล้อเลียนจารย์ทันที แต่ที่ขำกว่า พอเราจอดรถจะลง ทุกคนก็ลืมจารย์โบ้ในทันที หันมาอีกที เห็นจารย์โบ้โวยวายอยู่ในรถคนเดียว จนเพื่อนๆอดขำกันไม่ได้ หนิงต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
เรามาโต้รุ่งเพราะมีหลายคนกินไม่อิ่มจากตลาดจั่กจั้นในยามเย็น โต้รุ่งผู้คนเริ่มบางตา อาจเพราะอาทิตย์นี้ไม่ใช่ช่วงวันหยุดยาว ไม่เหมือนเมื่อคราวไปสวนผึ้งคราวที่แล้ว เราเดินเรื่อยๆ อุ๊กะเล็ก หยุดกินโจ๊กก่อนเลย ในขณะที่จารย์โบ้พยายามหาน้ำเต้าหู้ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่เจอ เมื่อบางคนสมหวัง บางคนไม่สมหวัง จากการกิน พวกเราก็ย้ายขบวนกันต่อ เราโทรหาเพื่อนติ๊ก ติ๊กบอกทางไปโรงแรมซึ่งไม่ไกลจากตลาดจั้กจั่นเท่าไหร่ เราไปนั่งรอติ๊กอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เราจะไปหาติ๊ก ติ๊กขอให้เราซื้อน้ำแข็งให้หน่อย เพราะที่ร้านไม่มี เราทำการส่งเป้ไปซื้อ แล้วเป้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะเป้ใช้เวลาซื้อน้ำแข็งนานมาก นานขนาดที่ว่า ใหญ่ถามเพื่อนๆว่าเป้ซื้อน้ำแข็งเป็นไหม มีเสียงตอบว่า แหม นี้มัน 7-11นะโวย แต่ก็มีเสียงลอยๆ ว่ามันอาจไม่เคยเข้าก็ได้ เรียกว่าเป้ โดนอำโดยไม่รู้ตัวเลย พอมาถึงรถ เป้ก็ยังไม่วายโดนแซว เราอำเป้ จนพี่ตี๋บอกว่า ‘ดีนะที่กูไม่เป็นคนลงไปซื้อ’
คงกลัวน้องจะอำไม่เลิก สุดท้ายเป้ก็พิสูจน์ให้เพื่อนเห็นว่า เป้ซื้อน้ำแข็งเป็น ถึงแม้จะช้าไปหน่อย

ติ๊กมาถึงจัดแจงเปิดโรงแรมให้เข้า คืนนั้นติ๊กบอกว่าที่พักเต็ม ไม่อย่างนั้น เราคงไม่ไปไหนกัน คงอยู่กันยันเช้าแน่ๆ โบ้กุลีกุจอผสมเหล้าให้พี่ตี๋ หนิงแอบได้ยินเสียงพี่ตี๋พูดเมาๆว่า ‘ เฮ๊ยยย มาวว แล้วว โว้ยย’ ทั้งๆที่เหล้าเข้าปากไปแค่หยดเดียวจริงๆ แต่คาดกันว่า น่าจะมาจากอาการอยากเที่ยว อยากร่ำสุราอย่างแรงของพี่ตี๋มากกว่า ที่ทำปฏิกิริยากับเหล้าได้เร็วปานนั้น
ติ๊กเปิดบาร์ให้เฉพาะพวกเราจริงๆ เพราะคืนนั้น แขกของพี่ติ๊กก็ปิดประตูนอนกันหมด จะมีก็พวกเรา ส่งเสียงกันข้างล่างนั้นละ อากาศคืนนั้นดีมาก ลมโชยเย็นสบาย ทำให้ตัวไม่เหนียว พี่ตี๋เหล้าเข้าปากได้ที่ก็เล่าเรื่องโน้นนี้ เป็นตัวหลักของเรื่องราวในคืนนั้น น้องๆทุกคนให้ความเคารพพี่ตี๋เป็นอย่างดี มีจารย์โบ้สมัครเป็นลูกน้อง คอยชงเหล้าส่งให้ไม่ขาดปาก ติ๊กส่งกับแกล้มมาเป็นข้าวโพดคั่ว คืนนั้นมีไม่ดื่มอยู่ 2คนคืออุ๊กับใหญ่ ส่วนคนขับรถ ว่าไปแค่ 3 แก้ว แต่เพื่อนฝูงหนาวๆร้อนๆเวลาคนขับ ขับกลับบ้านพัก

คืนนั้นเป็นคืนที่พี่ตี๋ได้ฝากความในใจมาถึงเมียรัก โดยผ่านเพื่อนๆ โดยหนิงบอกว่า ‘พี่ตี๋ พี่พูดอะไรคืนนี้ มันไปอยู่ใน blog หนู พี่ก็อย่าว่ากันแล้วกัน ถ้าพี่อยากจะบอกอะไร ไอ้ตุ๊ก หนูก็จะบอกให้นะพี่’ พี่ตี๋โอเค ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จำได้ไหมว่าตอนนั้นนะโอเค แต่สารที่พี่ตี๋อยากบอกเมียรักคือ เวลากินข้าวเที่ยง ช่วยชวนพี่ตี๋กินด้วย อย่ากินโดยไม่ชวน มันหิว เรื่องนี้จริงๆเป็นเรื่องในครอบครัวที่คนอื่นก็ไม่ควรจะยุ่ง แต่ว่าในคืนนั้นที่พวกเราร่ำสุรากัน พี่ตี๋จะพูดแต่เรื่องนี้เป็นหลัก จนหนิงมั่นใจว่า อยากให้เราบอกตุ๊กแหงๆ ก็เลยจัดมา ณ ที่นี้

นอกจากเรื่องพี่ตี๋ ยังมีเรื่องผีๆสางๆ ที่เราพูดกันในคืนนั้น อาทิ ผีบ้านเพื่อน
ฟังๆดูแล้วก็ไม่อยากไปบ้านเพื่อนคนนั้นเลย กลัวผี แต่ถ้าเราไปอย่างมิตร ก็คงไม่มีปัญหา

อีกเรื่องที่เราคุยกันคือเรื่องราวของติ๊ก กับเพื่อนในอดีต อย่างคุณปุย คุณปุยเป็นสาวประยุกต์ที่ไม่ธรรมดา ในครั้งแรกที่เจอกันกับติ๊ก คุณปุยได้ต่อยหมัดหนักใส่ติ๊กนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเหตุให้เกิดการชำระหนี้แค้นกันขึ้น มาถึงวันนี้คุณปุย หนีคุณติ๊ก ไปไกลถึงBrazil แต่เรื่องราวที่สร้างวีรกรรมกันไว้ ก็เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆได้ดีทีเดียว

เราเลิกไม่ดึกมาก เพราะหนิงคิดว่าขืนดึกกว่านี้ คงไม่ต้องกลับบ้านกันแล้ว นอนหัวหินมันอีกคืนแล้วกัน บวกกับใหญ่ มีอาการเมาขี้ตาอย่างแรง แอบเดินไปหลับ เราเลยร่ำลาเจ้าของสถานที่ แล้วพาพี่ตี่ไปส่ง เพื่อนๆเสียวกับการขับรถของหนิงมาก แถมหนิงยังไม่ยอมให้ใครมาขับให้อีก กลับมาถึงพวกเราจัดการเรื่องที่นอนก่อน เพราะชายเป้ ลานหมดตั้งแต่นั่งรถกลับมาแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าเป้ นิ่งเป็นหลับ หลับจริงๆ อ้าปากหวอ ให้ชวนขำ เพื่อนคนอื่นๆ อาบน้ำ ส่วนเป้พุ่งเข้าเตียงก่อนเลย งานนี้ผู้ชายได้สิทธิ์ ในการนอนบนเตียง เพราะเป้ตัวยาวมาก ถ้ามานอนข้างล่าง ขาจะติดและพาลเกะกะคนอื่น อีกอย่างมีชายหนุ่มมาสองคน ให้นอนบนเตียงทั้งคู่น่าจะดีกว่า หญิงสาวสี่นาง เลือกที่เอาตามเหมาะสม หนิงกะอุ๊ดูน่าสงสาร เพราะต้องนอนเสื่อ แต่เพราะหนิงกับอุ๊เตรียมเครื่องนอนส่วนตัว มาจากบ้าน เลยยอมๆให้แฝดนอนบนฟูก

แต่จนแล้วจนรอด คนที่มีปัญหากับเป็น โบ่วโบ๊ว เพราะเธอมีปัญหากับประตูอย่างแรง เพิ่งรู้ว่า โบ้กลัวประตู ไม่รู้ว่ากลัวคนเข้ามา หรือกลัวผีกันแน่ เป็นที่ขำขันกันตอนเช้า ที่โบ้บอกว่าหลับไม่ดี เพราะกังวลเรื่องประตู แต่ตอนเช้า เพื่อนๆผู้หญิงบ่นเรื่องคนกรนสนั่นเมือง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็โบ่วโบ๋วนั้นเอง แล้วจะมาบอกได้ไงว่าไม่หลับ

เช้านั้นหนิงตื่นก่อน ไม่ใช่เพราะนอนไม่สบาย แต่เป็นเพราะแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้อง หนิงโชคดีที่ไม่ได้ยินเสียงกรนของโบ่วโบ๋ว เพราะหนิงรู้ทันเลยเอา ear plug มาปิดหูซะก่อน เช้านั้นอากาศดีทีเดียว แดดส่องเหมือนมาทะเลจริงๆ มองไม่เห็นเมฆเลย
ไม่นาน เป้กับแฝดก็ตื่นตามมา เราสี่คนเลยตกลงจะไปหาของกินที่ตลาด โดยทิ้งจารย์โบ้ กะแม่อุ๊นอนกลิ้งเล่นต่อไป เช้าวันอาทิตย์ โดยปรกติคนน่าจะเยอะ แต่อาทิตย์นี้จัดว่าน้อยทีเดียว แต่เป็นเรื่องดีที่พวกเราได้มา ไม่ต้องแย่งกิน แย่งเที่ยว ครั้งหนึ่งหนิงเคยมาหัวหินกับครอบครัวในช่วงหยุดปีใหม่ ผู้คนแน่นไปทุกที อาหารแทบจะแย่งกัน ถ้าเป็นสมัยดึกดำบรร คงทุบหัวแย่งอาหารกันแน่ จากนั้นหนิงก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีทางมาหัวหินในช่วง long weekend เป็นแน่แท้

อาหารเช้าวันนั้นเป็นโจ๊ก หนิงไม่แน่ใจว่าใช่โจ๊กร้านหัวมุมถนนหรือเปล่า เพราะไม่ได้มานานแล้ว แต่ก็ถือว่าอร่อยใช่ได้ เราซื้อฝากสองคนที่นอนแช่แป้งอยู่ที่บ้าน
วันนี้พวกเราลานเริ่มอ่อน แต่ด้วยความอยากเที่ยว ก็เลยตื่นๆตามกันมา ทั้งที่แต่ละคนนอนกันไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ไม่สายเกินไปคุณนายตุ๊กก็โทรมาตาม พวกเราเลยตกลงใจว่าจะไปเล่นน้ำที่โรงแรมตุ๊ก โดยกำหนดเดิมเราตั้งใจจะไปพายเรือคายัคที่ปราณบุรี แต่เนื่องจากระยะทาง และวัยที่ร่วงโรย เราไม่อาจฟื้นตัวได้เร็ว เราจึงเปลี่ยนแผนการ

เมื่อเราไปถึง แดดก็แรงขึ้น คนที่อยากเล่นน้ำทั้งหลายเลยขอบาย มีหนิงกะใหญ่ ลงไปแช่น้ำ สองคน( แก้โรคเรื้อน)
นอนเกือบชั่วโมง เราสองคนคุยกันสัพเพเหระ โดยบนฝั่ง พวกที่เหลือ ก็ปรึกษาปัญหาชีวิตที่รุมเร้าเข้ามา

เราก็ขึ้นจากน้ำ หนิงกับใหญ่ ยังไม่สาแกใจ ไปลงเล่นน้ำสระของโรงแรมอีก คุ้มจริงๆ

หลังอาบน้ำล้างตัว ใช้บริการของโรงแรมเต็มที่ (ทั้งที่ไม่ได้จ่ายตังค์สักแดง) หนิง กะ ใหญ่ก็ยิ้มหน้าระรื่น ชวนเพื่อนๆกินข้าวกลางวัน เพราะหิวแล้ว

พนักงานโรงแรมบอกพวกอุ๊ว่าให้ไปร้านเปิ้ล เป็นร้านริมทะเล มีชื่อเสียงในละแวกนั้น เพื่อนๆปฎิเสธที่จะกินเจ้เขียวด้วยเหตุผลว่าผงชูรสเยอะ เราพร้อมใจกันรีบไป ก่อนที่จะเที่ยง เวลาที่เราไปถึงกำลังดี อาหารที่สั่งก็ไม่ช้า แต่ก็ไม่สดมากนัก สำหรับอาหารทะเลบางอย่างเช่นปู แต่พวกเราก็กำจัดหมดแต่โดยดีไม่ให้เสียของ

กลับออกมาจากร้านอาหาร เราตรงไปที่บ้านก่อนอื่น เพราะต้องไปเก็บของและอาบน้ำ เพราะหลายคนออกจาบ้านแต่เช้าแล้วยังไม่ได้อาบน้ำเลย โดยเฉพาะหนุ่มๆ อาบน้ำ เก็บบ้านให้เจ้าของ เพื่อนๆน่ารักกันมาก เก็บบ้าน โดยเฉพาะโบ้ กวาดบ้านจากหน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้าน จนอุ๊แซวว่า ถ้าสร้างบ้านให้หนิง แล้วได้โบ้แถมไปด้วย หนิงมันคงจะสบาย เพราะมีคนทำงานบ้านให้
หลังจัดแจงทุกอย่างเราก็ปิดบ้าน ล็อคเรียบร้อย

ใหญ่นำเสนอร้านเค้กเก๋ๆ ชื่อใกล้วัง เป็นร้านเค้กที่อยู่ริมทะเล วิวทิวทัศน์ มองเห็นอำเภอหัวหินได้ทั้งอำเภอ พวกเราเลือกที่จะนั่งนอกอาคาร ทั้งที่ฝนตกพร่ำๆ อากาศเย็นๆ ช่วยให้ผ่อนคลายในยามบ่ายมากทีเดียว หนิงขอให้เป้ถ่ายรูปริมทะเลให้หน่อย เป้ผู้คุ้นเคยกับ M6อย่างดี จัดให้ไปหลายชุด สักพัก หนิงก็จัดให้ใหญ่ ออกมาถ่ายบ้าง ในขณะนั้นเอง มีน้องผู้ชายคนนึง เดินจูงมือแฟนมาเมียงๆมองๆ หนิง พอหนิงถ่ายรูปให้ใหญ่เสร็จ หนุ่มคนนั้นก็จัดการส่งกล้องให้หนิง แล้วบอกว่า ‘พี่ครับ ถ่ายให้ผมหน่อย’ หนิงยินดีมาก จัดไปหลายชุด ได้ยินแฟนสาวอู๊ยอ๊าย ตลอด เมื่อสมความต้องการ หนิงก็คืนกล้องน้องไป หนิงได้ยินเสียงน้องถามว่า ‘พี่เล่นกล้องโลโม่ ด้วยเหรอครับ’ ในวินาทีนั้นเอง หนิงอยากกระโดด บีบคอน้องผู้ชายแทนสิ่งอื่นใด แล้วอยากจะบอกน้องว่า ‘เบิ่ง ตาดูดีๆนะน้อง เนี้ยมัน Laica แพงกว่า lomo ที่น้องว่า หลายเท่า’ แต่สิ่งที่หนิงทำได้ในความเป็นจริง คือหนิงได้แต่ยิ้มฝืนๆ แล้วกลืนน้ำลายที่จุกในลำคอ พร้อมพูดเสียง อ่อยๆว่า ‘ ไม่ใช่ Lomo ง่ะน้อง’ นัยน์ตาเอ่อไปด้วยน้ำใสๆ นึกในใจว่า หน้าตากูไม่เหมาะกับ Laica หรือไงวะ กลับไปที่โต๊ะ บ่นให้ไอ้เป้ฟังด้วยเสียงเซ็งๆ ไอ้เป้ได้แต่ขำ

เราสั่งเค้กมากินเต็มโต๊ะ จนอิ่มหน่ำ เราก็ย้ายขบวนกันต่อไป เพลินวาน เป้ขอย้ายตัวเองไปนั่งรถพี่ตี๋ คาดว่าเพราะ ขาที่ยาว และหนิงไม่ยอมให้เป้มาเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ซึ่งเกียรต์นี้ยกให้จารย์โบ้ไป

เรามุ่งหน้าตรงไปเพลินวาน ดูๆแล้วเหมือนตลาดเก่า แต่ทุกอย่างเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ ด้านในมีโรงแรมด้วย พวกเราแยกย้ายกันเดินเล่น ดูจารย์โบ้จะชอบโดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกันมาเลย

ออกจากเพลินวาน เรามุ่งหน้ากลับไปราชบุรีอีกครั้ง เพราะต้องไปส่งอุ๊ที่นั้น ระหว่างทางมีแวะซื้อของที่นันทนาหม้อแกง ที่ดูรูปลักษณ์ที่แต่ต่างจากแม่ แม่ต่างๆ
โดยเหตุที่เราไม่อยากซื้อแม่ทั้งหลาย เพราะกลัวไปเจอแม่กิมไล้ เหยียบแม่กิมลั๋งของอุ๋ยเข้า

หนิงขับรถเรื่อยๆมาจนถึงโรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ พี่เจ้าของโรงโอ่งรอพวกเราอยู่ที่ร้านกาแฟ ทั้งที่จริงๆแล้วร้านจะต้องปิดแล้ว แต่พี่เขาก็ใจดียอมรอให้พวกเราเข้าไปนั่งเล่นได้ พวกเราขออนุญาตใช้ไฟ แถมนั่งเล่นรอเล็กอัดฉีดรูปลงแผ่น CD พี่ตี๋กับคุณนายตุ๊ก ก็เดินดูโอ่งเป็นการฆ่าเวลาเล่น จนเราได้ CD กันครบ ก็ร่ำลา โดยอุ๊ต้องแยกกลับก่อน เพราะพี่เอ พี่ชายอุ๊มารับ อุ๊ดูซึมๆ ก่อนกลับ ใหญ่ได้ให้เหรียญทองแก่อุ๊ในครั้งนี้ เนื่องจาก นับแต่อุ๊ขึ้นรถมาตั้งแต่แรก อุ๊ปราบพวกเราซะราบคาบ ซึ่งน่าจะเป็นผลอันเกิดจากการหักดิบ face book อย่างแน่นอน เราพยายามเกลี้ยกล่อมให้อุ๊กลับมาเหมือนเดิม แต่ทั้งหมดก็แล้วแต่อุ๊ เราชวนพี่โรงโิ่องไปทานเกาเหลาด้วยกัน แต่พี่โรงโอ่งมีนัดซะแล้ว เสียดายก็คือพี่โรงโอ่งยังไม่ได้พาพวกเราทั้งแก็งค์ไปลองไข่เจียวที่ว่าเลย

เราร่ำลาจากมา
พวกเรายังพอมีแรงอันน้อยนิดที่มานั่งรอกิน เกาเหลา กับก๋วยเตี๋ยวหมู แต่สำหรับของหวาน ดูทุกคนจะไม่ไหวกันแล้ว หนิง ใหญ่ เล็ก เป้ โบ้ ร่ำลา พี่ตี๋กะ ตุ๊ก

เราขับรถเรื่อบๆ คุยกันมา เสียงหัวเราะที่ดังนับตั้งแต่ออกจากรุงเทพ เริ่มอ่อนเสียงลงจากความเมื่อยล้า หนิงส่งแฝดเล็ก ใหญ่ จากนั้นก็ส่งโบ้ และ เป็ ตามลำดับ เพื่อนๆ ทุกคนมีความสุขตามอัตภาพสำหรับทริปนี้ เราได้สัญญากันว่า เดือนตุลา เราจะไปลุยภาคเหนือ เมืองที่ไม่ใช่เมืองผ่าน และต้องตั้งใจจะไป นั้นคือ แพร่ และน่าน นับจากวันนั้น เราเริ่มนับวันรอทริปใหม่อย่างใจจดใจจ่อ แล้วเป็ดทั้งหลาย ก็จะออกไปส่งเสียงฮากันอีกครั้ง

เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า,เป้,โบ้,ใหญ่,เล็ก,อุ๊

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ทริปหนีเมียเที่ยว


ทริป “หนีเมียไปเที่ยว”


แค่ชื่อทริปก็เสียวไส้แล้วสำหรับพ่อบ้านทั้งหลาย แต่สำหรับชาวจักรยานพระราม5แล้ว ไม่เคยกลัวใคร (นอกจากแม่บ้าน) เหตุที่ตั้งชื่อทริปอย่างนี้ เพราะเหมือนกับเด็กหนีเที่ยว ซึ่งที่จริงแล้ว พี่ๆเขาก็ขออนุญาตทางบ้านกันทุกคน คงไม่มีใครหนีเมียมาจริงๆหลอก(ใช่ไหม)
ส่วนแรงบันดาลใจให้หาเส้นทางปั่นนอกเหนือจากที่ปั่นปั่นกันอยู่ทุกอาทิตย์ ทริปนี้เกิดขึ้นจากคำพูดลอยๆของพี่โอ แต่หลายคนเอาจริง พอหนิงได้ยินเท่านั้นละ รีบหันไปบอกพี่โป้งเลยว่า เที่ยวกันไหมพี่ พี่โป้งก็ไม่รอช้า ถามเลย ไปไหน เรียกว่าส่งลูกกันเห็นๆ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่เรานั่งคุยกันหลังจากปั่นตามควายเสร็จ อย่างสะบักสะบอม(สำหรับหนิงนะ) เรานั่งกินน้ำอยู่ หนิงถามพี่ๆว่าอยากไปกันไหม เสียงตอบรับทันทีมีมากมาย วันนั้นนับได้หลายคนที่ยกมือสนับสนุน หนิงจัดแจงหาวันว่าง พี่โป้งขอให้เป็นวันเสาร์ เพราะวันอาทิตย์ยังได้มาปั่นกันอีกขำๆ

วันที่เหมาะสมแก่การออกทริปคือวันที่4กันยา หนิงจัดแจงลงกระทู้ คนอ่านหลายคน คงไม่กล้าไป เพราะชื่อทริปเป็นแน่ แต่เมื่อถึงเวลา 8โมงเช้า ก็มีหน่วยกล้าตายมารออยู่แล้ว 8คน อันได้แก่ พี่สุเมธ พี่แขก พี่โอ พี่วสันต์ พี่โป้งพี่หมึก หนิงและอาร์ม 8โมงล้อเคลื่อน เราไม่รอใครแล้ว เพราะเรานัดพี่อ๊อด พี่ประพันธ์ และพี่โจระหว่างทาง โดยเฉพาะพี่โอ ซึ่งบอกว่าถ้าไม่มาสงสัยจากหอนได้

ทางที่ไป พี่โป้งนำเส้นทางให้ เราจะไม่ปั่นบนถนนใหญ่ เราจะเข้าซอย เป็นทางลัด ไปโผล่ศาลายา แล้วมุ่งหน้านครชัยศรี

พวกเรามุ่งหน้าปั่นจากบางกรวยมุ่งหน้าถนนบรมราชชนนี เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เราคุ้นเคย เราปั่นไม่เร็วมาก เพราะรถที่ใช้วันนี้ เป็นรถทัวร์ริ่งกับเสือภูเขา จะมีรถพับก็พี่โอขี่คนเดียวเ พราะพี่โอไม่มีรถอื่น นอกจากเสือหมอบเท่านั้น ส่วนหนิงเอาน้องขาวคนสวยมาขี่ หลังจากที่ไม่ได้ขี่เธอเลยตั้งแต่เมษา ฮาวาย เพราะหนิงก็จะพาน้องขาวไปเที่ยวเมืองจีนเดือนหน้าด้วย

เพราะฉะนั้น ทริปนี้จะไม่ปั่นกันเร็วมาก เราปั่นกันเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบรมราชชนนี ถนนนี้รถมากมายจริงๆ เราต้องปั่นกันอย่างระมัดระวัง ปั่นมาได้สักพัก เราก็กลับรถใต้สะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัด ศรีประวัติ ซึ่งเรานัดพี่อ๊อด และพี่ประพันธ์ไว้ที่นี้ ไม่นานเราเจอพี่ๆ เราก็รวมตัวกันออกไป เพื่อจะไปรับพี่โจ ซึ่งรออยู่ระหว่างทาง เส้นทางในซอยตอนเช้า ยังไม่จอแจ รถค่อนข้างน้อย พอเข้าไปหน่อย ก็เป็นเรือกสวน ไร่นา บ้านอยู่อาศัยมีประปราย อากาศดีต่างจากถนนใหญ่เลย พวกเราปั่นไปคุยไป แบบที่ไม่มีเวลาเราปั่นพระราม5 เพราะพระราม5 เราปั่นทำความความเร็ว และรถใหญ่ข้างๆที่ทำให้เราวางใจไม่ได้ ซึ่งทำให้พวกเราต้องตั้งสมาธิกับการปั่น แต่วันนี้เราปั่นสบายๆ ถึงแม้จะมีรถสวน รถแซงก็ตามเราก็ยังได้ชมวิวทิวทัศน์ ปั่นมาเรื่อยๆ จนเจอพี่โจ ตอนนี้เราทั้งหมดมี 11คน เรามุ่งหน้าปั่นไปศาลายา เส้นทางปั่นผ่านเรียบคลองมหาสวัสดิ์ น้ำในคลองค่อนข้างจะเต็ม เพราะฝนที่ตกลงมาแทบทุกวัน น้ำดูใส หน้าลงไปดำผุดดำว่ายพิลึก เส้นทางมีแต่ บ้านชาวบ้าน ไม่มีหมู่บ้านจัดสรร เหมือนต้นๆซอย เราข้ามคลองมหาสวัสดิ์ปั่นไปเรื่อยๆ เราก็เจออีกคลอง คือคลองทวีวัฒนา คลองนี้ดูไม่ใหญ่มาก แต่ทำให้เรารู้แล้วว่าเข้าใกล้ ศาลายาเข้าไปทุกที ไม่นานเกินรอ เราก็ปั่นมาเจอหอนาฬิกา หนิงถามอาร์มว่าที่ไหนเนี้ย ถึงได้คำตอบว่า มหิดลแล้ว ในความรู้สึก คือใกล้กว่าที่คิดมาก ทางที่มาลัดมากๆ เราปั่นย้อมศรให้ชาวบ้านชาวช่องเขาสรรเสริญเล่นๆพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าเส้นทางมุ่งหน้า นครชัยศรี พี่โป้งบอกว่าจะพาไปดูพิพิธภัณฑ์รถก่อน เป็นรถโบราณ พิพิธภัณฑ์ที่ว่าอยู่ไม่ห่างจากตลาดน้ำท่านาเท่าไหร่ ที่นี้พี่โชเพื่อนพี่โป้งซึงก็เป็นนักจักรยานเก่า จะมาสมทบกับเราที่นี้ด้วย เรายังคงปั่นมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ หนิงปั่นคุยไปกะพี่อ๊อด ในขณะที่พี่โป้งปั่นตามหลังพี่สุเมธออกห่างไปเรื่อยๆ

สองคนนั้นคงคัน เพราะถนนที่เรียบและตรงเหมาะกับการทำความเร็ว ส่วนหนิงที่ต้องปั่นปะทะลม ก็ปั่นได้แค่นั้น พี่โป้งมาสารภาพว่าที่ปั่นไปก่อน เพราะจะจอดยิงกระต่าย ฮา

ส่วนพี่โอที่ต้องมาปั่นจักรยานล้อเล็ก ก็เป็นที่น่าเห็นใจ เพราะต้องใช้แรงและรอบขามากกว่าคนอื่นๆ เลยโดนแซวว่าพี่โอรอบจัด แต่ยอมรับว่าพี่โอแรงจริงๆ ปั่นตามมาตลอด บางครั้งมีการปั่นแซงแล้วยังบอกว่าได้รอบอีก

ก่อนทางเลี้ยวซ้ายไปนครชัยศรี พวกเราเลี้ยวขวาไปดูรถโบราณก่อน ที่นี้เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน ที่เจ้าของมีใจรัก ปากทางเข้า เราเห็นรถเมล์จากลอนดอน จอดอยู่ด้านหน้า เรารีบถามเจ้าหน้าที่ว่าของจริงเลยหรือ หรือว่าทำขึ้นมาเลียนแบบ พี่เขาบอกว่าของจริง โอ้แม่เจ้า เอามาได้เนอะ พวกเราเดินเข้าไปข้างใน เจอรถที่เรียกว่าไม่ใช่เก่าเก็บ แต่เก่าอย่างมีคุณค่า เจ้าของเขาซ่อมแซมทำสีสวยงาม บางคันยังวิ่งได้ด้วยซำ้ พี่โจขอชักภาพใหญ่ บอกว่าเอาไปให้คุณนายที่บ้านดู เดี๋ยวไม่เชื่อว่ามาเที่ยว ฮา

รถที่เขาเก็บมีทั้งรถเก๋ง จักรยาน มอเตอร์ไซค์ เราคิดกันเล่นๆว่า รถ 600กว่าคัน คิดแค่ซื้อมา 30,000 แล้วจะใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ แถมเจ้าของไม่เก็บค่าเข้าชม ได้ยินว่ากลุ่มจักรยานหลายกลุ่มมาเที่ยวชมที่นี้บ่อยๆ

เราเดินดู ลองนั่ง ถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์ จนใกล้เวลา 11โมง หนิงเลยบอกพี่ๆว่าเราไปทานข้าวกันเถิด เพราะกลัวว่าร้านจะคนเยอะ ร้านที่ว่าก็ไม่พ้น ติ๊กโภชนา เจ้าดังของตลาดท่านาไปได้

ไม่นานจากพิพิธภัณฑ์เราก็ถึงร้านอาหาร เราทำการจองโต๊ะไว้เรียบร้อย กันเหนียว ไปถึง พี่ๆดูเหมือนเหนื่อยจาการปั่นมาไกล (แค่ 30กว่ากิโลเอง) หนิงซึ่งหิวมาก ถูกจัดวางให้เป็นคนสั่งอาหาร หนิงเลยสั่งชุดใหญ่แบบไม่ยั้งมาอย่างละ 2 เพราะเห็นว่าชายโสด(ชั่วคราว) ทั้งหลายคงหิวไม่แพ้กัน อาหารทยอยมาเรื่อยๆ เริ่มจากห่อหมกเนื้อปลาช่อน ตามมาด้วยลูกชิ้นปลาผัดฉ่า ไข่เจียว ต้มยำ ปลาช่อนทอดน้ำปลา หอยจ๊อลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม และปลาผัดพริกเผา เสียงร้อง(โหยหวน)ดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นกับอาหารนะ แต่เพราะตกใจว่าทำไมมันเยอะอย่างนี้ แต่สุดท้าย อาหารทั้งหลายก็ทะยอยกันเข้าไปนอนกองอยู่ในท้องพวกเรา มีเหลือไม่กี่อย่างพี่โจทำการบรรจุภัณฑ์เอากลับไปเป็นอาหารเย็น

บทสนทนาบนโต๊ะอาหารไม่มีอะไรเกินไปกว่าเรื่องของจักรยาน และที่เรียกเสียงฮาคือ พี่หมึกล้มจาการไปแข่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ฟังดูใจร้ายที่ขำขันกับเรื่องที่คนอื่นทุกข์ร้อน แต่ต้องไปฟังลีลาการเล่าของเจ้าตัว ด้วยการทอดเสียง ทำเสียงบ่น ทำให้เรื่องเศร้ากลายเป็นเรื่องตลก พี่หมึกเปรียบจักรยานเหมือนม้าที่ดีดพี่หมึกหลุดจากอาน แต่น้องๆก็ดีใจที่พี่หมึกไม่ได้เป็นอะไรมากมาย เราเสร็จจากมื้อเที่ยงภายในเวลาแค่ชั่วโมง
ตอนนี้เป็นตอนขากลับที่ใครๆก็เริ่มโอดโอย เพราะกินกันอิ่มขนาดนั้นแล้วยังจะให้ปั่นกลับอีก แต่งานนี้เรียกว่าหนีเมียกันจริงๆ เพราะไม่มีเมียใครขับรถตามมาเลย หนิงว่าถ้ามีมาจะขอติดรถกลับไปด้วย เมื่อพวกเรามากันเองได้ย่อมกลับได้เป็นธรรมดา แต่คงช้าหน่อย พี่โจซึ่งดูแช่มชื่นกว่า เวลาปั่นพระราม5ปกติ บอกว่าขากลับเราจะตามลม ซึ่งก็จะช่วยพวกเรามาก

เราปั่นกันมาเรื่อยๆจนได้ยินคนตะโกนบอกว่าพี่วสันต์ยางรั่ว พวกเราสามัคคีกันจอดรถรอ หนิงหยิบยื่นชุดปะให้ เพราะจากประสบการณ์การปั่นทัวร์ริ่ง อย่าได้ไว้ใจร้านจักรยานข้างทาง เพราะสิ่งที่เขามีไม่อาจช่วยเหลือเราได้ พี่วสันต์หารอยรั่ว แต่ไม่เจอ เลยทำการสูบลมไปก่อน ตอนนั้นมีชายไม่ทราบสัญชาติ มาจับยางรถพี่วสันต์ แล้วยังว่า ‘เนี้ยยางผ่านการแข่งมา’ เอาสิรู้ได้ไงไม่รู้ แต่ตอนหลังกลิ่นละมุดออก เราเลยว่าไม่บ้าก็เมา แล้วเราปั่นต่อไปอีกพัก

ก็ได้ยินพี่ๆบอกให้จอดร้านขายจักรยานมือสอง พี่วสันต์เองก็ได้โอกาสทำการปะยาง พี่ๆคนอื่นๆเดินเขาไปดูรถ หลากหลายคัน เห็นพี่โอมองๆอยู่ คงอยากเปลี่ยนรถใจจะขาด ถ้าไม่ใช่ว่ายืมรถหนิงปั่น พี่โอคงขอแลกรถที่ร้านนั้นเป็นแน่ อีกคนที่อยากได้รถคือพี่โจ ซึ่งรถที่พี่โจจดๆจ้อง เป็นรถคล้ายๆกับที่หนิงขี่มา เป็น Giant สภาพก็ผ่านสงครามมาเยอะพอควร ลุงเจ้าของร้านรีบเดินมาบอกว่าคันเนี้ย 7000 ร้านอื่นเขาขายกันเป็นหมื่น หนิงอยากตะโกนบอกลุงไปว่า ลุงขา ที่เป็นหมื่นนะมือใหม่คะ สภาพดีกว่าของลุงจมเลย เต็มที่หนูให้ลุง 5000ก็เยอะแล้ว อันที่จริงลุงคงดูจากการแต่งตัวของพวกเรา และคงคะเนว่าไอ้พวกเนี้ยมีเงินซื้อแน่ๆ ลุงเลยโขกราคา(คิดแบบลบสุดๆ) แต่รถคันเนี้ยถ้าพี่โจจะซื้อ หนิงแอบบอกว่าให้ต่อเยอะๆ เพราะยางก็ต้องเปลี่ยน เบาะอีก แฮนด์อีก เพราะงั้นต่อเยอะๆไว้ก่อน เดี๋ยวลุงก็ต่อกลับมาเอง

เราดูรถจนพี่วสันต์เปลี่ยนยางเสร็จ เราก็จากร้านจักรยานมือสอง เราปั่นมาเรื่อยๆ หนิงบอกว่าพี่ขา ขอขากลับแบบไกลๆหน่อย ระยะแบบขามามันจิ๊บๆ แต่วาจาที่กล่าวอ้างลืมไปว่าเวลาอิ่มๆเลือดมันจะไปเลี้ยงกระเพาะมากกว่าที่จะเลี้ยง กล้ามเนื้อขา แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของน้อง พี่อ๊อดจัดไป เรามุ่งหน้าไปทางมหิดลก่อน
แล้วเราเลี้ยวซ้ายตรงแยกก่อนถึงมหิดล พี่โจร่ำลากันตรงนี้ เราปั่นข้ามคลองมหาสวัสดิ์ตรงมาเรื่อยๆ ไม่นาน พี่โช ก็รำ่ลาไปอีกคน

เราปั่นกันมาเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้สู้เส้นเมื่อเช้าไม่ได้ ผิวถนนเสียหายจากรถใหญ่ที่วิ่งบนถนนนี้ แต่สิ่งที่เดือดร้อนคือ เวลาที่เขาปะถนนไม่ดี แล้วเราปั่นบนถนน มันจะทำให้รู้สึกกระดอน เราซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยติ๊กโภชนาอยู่แล้ว ติ๊กก็เลยอยากจะออกมาสู่โลกกว้างบ้าง หนิงต้องหวานอม ขมกลืนอยู่พักใหญ่ทีเดียว

แต่ถนนเส้นนี้ข้อดีอย่างคือร่มรื่น ต้นไม้สองข้าง ยังคงทำหน้าที่สมบูรณ์ทุกประการ ในขณะที่แดดเองก็เริ่มโลมเลียก้นพวกเรา ก่อนหน้านี้ พี่หมึกโวยวายเรื่องแดดส่องหัว แต่หนิงได้ยินพี่โป้งบอกว่าอีกเดี๋ยว ก็หันตูดให้แดดแล้ว

เรายังคงปั่นกันมาเรื่อยๆ นักปั่นเหลือ 10คน แต่ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะ เริ่มอยากกลับไปนอนเล่นที่บ้านกันแล้ว เลยเริ่มทำเวลา พี่โอรอบจัด ยังคงความแข็งแรงซอยถี่ตามพวกเรามาอย่างกระชั้นชิด ไม่นานเกินรอ เราก็มาออกซอย วัดศรีประวัติ ซึ่ง หลายคนก็งงว่ามาได้ไง พี่แขก หนิงและอาร์ม แอบคุยกันว่า ถ้าหลงก็กลับไม่ถูกเหมือนกัน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาปั่นตามพี่อ๊อดกับ พี่โป้ง

เราออกสู่ถนนบรมราชชนนีอีกครั้ง บ่ายนี้ รถติดหน้าดู กลิ่นเหม็นควันรถ ชวนให้อยากนอนสลบอยู่ตรงนั้นเลย แต่ภาระกิจยังไม่เสร็จสิ้น เราปั่นมาเรื่อย ไม่นานก็ถึงสะพานวนเข้า ถนนนครอินทร์ ซึ่งอีกอึดใจเดียวก็ถึงจุดหมายเราแล้ว พี่อ๊อดและพี่ประพันธ์แยกตัวไปอีก เราเหลือ 8คน ถนนเส้นนี้จัดว่ารถน้อยกว้างถนนรอบด้านในละแวกนี้มาก มีรถ แต่ไม่ได้ชวนน่าปวดหัว

ความที่คุ้นเคยกับถนน พี่หมึกเริ่มเร่งความเร็ว ตามมาด้วยหนิง ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งข้ามสะพานวงเวียน พี่สุเมธไม่รอช้า แปลงร่างจากเสือภูเขาเป็นเสือหมอบทันที หนิงก็อดไม่ได้ ลืมตัวไปว่าแบกของมาเพี้ยบ พี่โอปั่นจนรอบหมด ตามไม่ไหว เสียงพี่โป้งตะโกนว่า ‘เฮ้ย 43แล้ว’ เท่านั้นละ หนิงถึงกับปล่อยให้รถไหลอย่างเดียว

พี่โป้งว่าจะแปลงร่างกันหรือไง พวกเรากลับเข้าร้านน้ำโดยสวัสดิภาพ รวมแล้วร่วม 75 กิโลเมตรสำหรับ ทริปสั้นๆอย่างนี้ อาร์มเลี้ยวขวาแยกบางกรวยกลับบ้าน พี่ๆหลายคนติดใจ อย่างพี่ประพันธ์ถึงกับออกปาก ไปไหนไปด้วยเลย สำหรับบางคนที่ไม่มา ถึงกับเสียดายชีวิตโสดขึ้นมาทีเดียว พี่ๆบอกหนิงจัดเดือนละครั้งเลย แต่ถ้าทำอย่างนั้น พวกปั่นซ้อมคงเซ็งแย่ พวกเราปั่นกันโดยเฉลี่ยความเร็วไม่ได้ต่างกันมาก จึงไม่เกิดความเบื่อหน่าย เพราะไม่ต้องปั่นรอกันไปมา อย่างบางกลุ่มที่มีความแตกต่างกันเยอะสำหรับความเร็ว

อย่างๆน้อยๆการได้ไปปั่นครั้งนี้ ก็ยังทำให้เห็นว่าถึงแม้กลุ่มเราจะเล็กกว่าหลายกลุ่ม แต่เราก็ค่อนข้างเหนียวแน่น อีกอย่าง พี่ๆหลายคนมีความคิดบรรเจิดเรื่องทริปยาวๆ
ซึ่งถ้ามีความเป็นไปได้คง ได้มีการจัดแน่ๆ

เพราะงั้น สรุปว่า นับแต่นี้ เมียๆทั้งหลายต้องระวังให้ดี เพราะสามีที่รักจะแอบหนีไปปั่นเที่ยวกันอีก แต่ถึงยังไง พี่ๆก็หนีกันไม่รอด ถึงเวลารีบแจ้นกลับบ้านทุกคน ฮา

เรื่อง นางฟ้า
รูป นางฟ้า