วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

ปั่นเที่ยวเมืองจีน ตอนที่4 เมื่อเซียนต๋องหมดแรง

ตอนที่4 เมื่อเซียนต๋องหมดแรง


เริ่มชื่อตอนมา หลายคนที่รู้จักพี่ต๋องคงสงสัยว่าเหตุใด อะไร ที่ทำให้ชายคนนี้หมดแรงได้ แต่ถ้าใครไม่รู้จัก ก็จะแนะนำให้รู้จักในตอนนี้ พี่ต๋อง เป็นหัวหน้าทีมในการจัดครั้งนี้ โดยพี่ต๋องได้นำเที่ยวทัวร์มาหลายหนแล้ว ทั้งทัวร์ต่างประเทศ ในประเทศ ทัวร์จักรยาน ร่วมทั้งทัวร์มหาโหด คือทัวร์แข่งกีฬา พี่ต๋องถือเป็นเจ้านายหนิงบนเครื่องคนหนึ่งทีเดียว โดยมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการประจำเที่ยวบิน หรือ Inflight Manager เราเรียกกันสั้นๆว่า IM

นอกจากเป็นหัวหน้าทัวร์ พี่ต๋องยังเป็นหัวหน้าทีมไตรกีฬาอีกด้วย โดยทุกๆปี พี่ต๋องจะจัดการเรื่องที่พัก รถรับส่ง ให้น้องๆทุกปี และหน้าที่ประจำของพี่ต๋องอีกอย่างคือ คอยเหน็บแนม หนิง ให้เกิดแรงกดดันได้ทุกปี เพื่อที่จะได้สร้างผลงาน หนิงก็เป็นน้องที่ดีมาก ยิ่งกดดันเท่าไร หนิงก็ยิ่งดันทุรังไม่ทำเท่านั้น เป็นเหตุให้ปีหลังๆ ตำแหน่ง 1ใน 3หญิงไทย ประจำงานแข่งไตรกีฬาจึงหลุดมือหนิงไป หลังๆพี่ต๋องพยายามผลักดันสาวๆคนอื่นๆให้มาแทนที่หนิง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ดังนั้น หน้าที่หลักตอนนี้ของพี่ต๋องคือ พยายามทั้งผลัก ทั้งดัน ให้น้องๆในทีม สามารถนำถ้วยรางวัลกลับบ้านให้ได้ในงานแข่งขันต่างๆ ไม่ว่า วิ่ง หรือ ไตรกีฬา ด้วยเหตุที่มีความสามารถขนาดนี้ พละกำลังของพี่ต๋องจึงมีมากมาย ชนิดที่ใครๆก็ไม่อาจสู้ได้ พี่ต๋องจึงยังเป็นที่ 1ในทีมไตรกีฬาเสมอมา ด้วยเหตุนี้เอง การที่พี่ต๋องหมดแรงจึงเป็นเรื่องที่พวกเราแอบสงสัย บวกกับแอบขำไปในตัว แต่ถึงพี่ต๋องจะโหดกับน้องๆ ยังไง พวกน้องๆ ก็ยังรักพี่ต๋องเสมอ ดูได้จากที่ทุกครั้งที่พี่ต๋องโทรมาชวนเที่ยว น้องๆไม่มีใครปฎิเสธพี่ต๋องเลยสักคน เพราะทุกคนเชื่อมือว่า พี่ต๋องสามารถพาเราไปพบกับความหฤหรรษ์ได้แน่นอน เอาเป็นว่าใครไม่รู้จักพี่ต๋องตอนนี้ก็คงจะได้รู้จักกันแล้ว


หลังจากเราหมดแรงกับทางขรุขระมหาโหดไปเมื่อวาน เช้านี้ หนิงยังคงได้โบกมือลาขี้ก้อนน้อยที่ลอยคอลัลล้าอยู่ในหลุม หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัว เราลงมาจัดการกับจักรยานที่ก็นอนเอาแรงอยู่ชั้นล่างเหมือนกัน เช้านี้ พี่หมีภรรยาสุดที่รักพี่หมูมายืนส่งสามี ให้เดินทางโดยปลอดภัย หนิงเลยขออนิสสงค์ ช่วยคลายเส้นให้อีกรอบก่อนที่จะต้องลุยกันต่อไป เช้านี้เราไม่มีอะไรลองท้องมากนัก เพราะจะมีพี่ๆ ขับเอาอาหารไปส่งให้ทานในตอนเช้า เราพกพาของที่กินได้ไปบ้าง แล้วเราก็ออกเดินทางกัน เสียงน้องๆ พี่ๆ แม่ๆ ส่งเสียงเชียร์ (ไล่) เราให้ออกและปั่นโดยสวัสดิภาพ

ดูเหมือนวันนี้ฟ้าฝนทำท่าจะตก ในช่วงเช้าที่ดูว่าวันนี้เปียกแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ ปั่นไปปั่นมาอากาศร้อนซะอย่างนั้น วันนี้ตามระยะทางที่กำหนด เราน่าจะต้องปั่นกันถึง 103กิโล เพื่อที่จะไปนอนกันบนยอดเขา โดยระยะที่สูงที่สุดในวันนี้คือ 1800เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเราต้องออกกันเช้าเป็นพิเศษ เส้นทางวันนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวานเท่าไหร่ จะมากเป็นพิเศษตรงเขาที่สูงกว่าและยาวกว่า สองข้างทางยังเป็น ป่าเขา และหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวเขา อย่างที่เล่าให้ฟังในตอนแรกว่า คนจีนในแถบนี้เป็นคนเขาซะส่วนใหญ่ โดยมากเป็นอาข่าในแถบนี้ พวกนี้มีนิสัยชอบทำไร่เลื่อนลอย(นิสัยนี้เป็นมากในเมืองไทย) เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ยิ่งสูง เราก็ยิ่งเห็นคนอยู่กันเยอะขึ้น วันนี้หนิงปั่นรั้งท้ายไปกับพี่พงษ์ และพี่ไกด์ โดยมีพี่วัชและพี่ชายรั้งท้ายไว้อีกที และรั้งท้ายสุดคือพี่เยาว์นั้นเอง

อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวกล่องที่พี่หลงคนขับรถบรรทุกจะเป็นคนเอามาให้พวกเรากิน ระหว่างทาง


พวกเราเริ่มต้นก็ไต่เขากันเลย ได้ยินว่า วันนี้จะไต่ไปเรื่อยๆ แล้วไปให้น้ำให้หญ้า เอ๊ยข้าวกันบนเขา กินข้าวไปชมวิวไป แต่ปัญหาอยู่ที่กว่าจะได้กินเนี้ย แรงคงหมดกันไปหน้าดู พวกเราตุนของกินง่ายๆเช่นผลไม้กล้วย แอ๊ปเปิ้ล และยัง ขนมที่กินพอหายหิวไปบ้าง เส้นทางวันนี้ สวยแต่ไม่ง่าย ถึงแม้เราจะไม่เจอลูกรังแบบเมื่อวาน แต่เขาลูกใหญ่ขวางทางเราอยู่ข้างหน้า หนิงปั่นไปเรื่อยๆ โดยวันนี้หัวหน้าต๋อง พี่บี๋ และ ออย จะไปด้วยกัน ส่วน หนิงพี่พงษ์ พี่ไกด์ก็ไปด้วยกัน จะโดดเดี่ยวหน่อยก็พี่หมู เพราะถ้าขึ้นเขา พี่หมูก็จะปั่นดูใจไปคนเดียว แต่ถ้าลงเขา ถึงไหนถึงกัน พี่หมูไปด้วย ส่วนพี่วัชกับพี่ชาย ดูใจไปกันตลอดเส้นทางวันนี้ เขาลูกแรกเราปั่นกันอย่างเบาๆเท้า ไม่กล้ากระชากมาก กลัวจะตายกันก่อน ลูกแรกไม่ใหญ่ไม่โต ปั่นพอให้ปอดได้ทำงาน พอมาลูกที่2 ตอนนี้เองเวลาก็ล่วงมาเกือบ8โมงกว่าแล้ว เราได้ยินเสียงพี่หลงวอมาบอกว่า อาหารเช้ามาแล้ว จะให้จอดที่ไหน พี่ต๋องวอกลับไปยื้อเวลาว่า ไปก่อน เดี๋ยวบอก พี่หลงก็บึ่งรถไปเลย หนิงได้แต่ทำหน้าละห้อยที่ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็มันเริ่มหิวแล้วนะ ตอนนั้นใครพกอะไรไว้ก็เอาออกมากัดกินกันอย่างเอร็ดอร่อย หนิงก็คว้าแอ๊ปเปิ้ลจากกระเป๋ามากัด กรอบกร้วม กร้วม มีความสุขไปได้สักพัก ก็หิวอีก ตอนนั้น อากาศที่เริ่มร้อนขึ้นจากสันเขาที่บังลม บวกกับอาการหิวหน้ามืดก็บังเกิด เสียงพี่พงษ์ใช้วอเป็นเครื่องทำลายความเงียบ ‘ลมโชยมา…….’ เสียงเพลงที่หนิงได้ยิน ลอยเข้ามาในหูที่อื้อไปหมด หนิงรีบคว้าวอจากกระเป๋าหลังมากดทันที ‘ลมโชยมา พากระปุกแกว่ง ลมแรงๆพัดฝอยกระจุยกระจาย’ เสียงลมพัดมาแต่ไกล แต่เสียงจากวอเงียบหาย ทุกคนก้มหน้าก้มตาปั่นจักรยานกันต่อไป ‘เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครร้องเพลงตอบ’ ในใจหนิงครุ่นคิด ‘กูทำไรผิดวะ’

ไม่มีใครตอบมาจริงๆ เหมือนแบตเตอรี่หมดกัน จนในที่สุด ก็มีเสียงร้องเพลงจากพี่พงษ์ แต่เป็นเพลงอื่นไป พวกเรายังคงปั่นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าความสงบจะยังไม่ถูกทำลายไปซะทีเดียว จนกระทั่งเราได้กินข้าวกัน เมื่อพี่หลงหาที่จอดรถงามๆให้ได้ ออยเดินมาบอกว่า เพลงที่พี่หนิงร้องทำออยเกือบจะหมดแรงปั่นเลย อ้าวหนิงก็นึกว่าร้องเพลงแปลงแล้วจะทำให้คึกคักกันที่ไหนได้ บั่นทอนพลังงานไปนี้เอง

หลังจากเราอิ่มกับอาหารกล่องตอนเช้า พวกเราซึ่งกินรอคนที่มาทีหลัง


เมื่อมากันครบ กินกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางต่อ รถบรรดาภรรยาทั้งหลายนำเราไปแล้ว เราปั่นกันอย่างช้าๆ เพราะตอนนี้เลือดจะไหลลงไปยังกระเพาะอาหารมากเพราะจะไปทำหน้าที่ย่อยสลาย เพราะอย่างนั้น ถ้าเราปั่นหนักๆ อาจเกิดอาการตะคริวได้ เพราะเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่พอ หนิงยังคงไปช้าๆ อากาศบนยอดเขาเย็นกว้างพื้นราบมาก แต่แดดที่เริ่มแรง บวกกับความชันของเขา ก็ทำให้เราหลายคนเหนื่อยหอบได้ จากจุดสูงสุดบนยอดเราก็ต้องไหลลงสู่พื้นราบเป็นธรรมดา ตอนลงเขา อากาศเย็นและลมปะทะทำให้เรารู้สึกสดชื่นมากขึ้น ถ้าอยากรู้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไงต้องไปถามพี่หมู ด้วยเหตุที่ชอบนี้เองทำให้พี่หมูลงเขาเร็วกว่าใครๆ เราปั่นขึ้นมาอีกยอดก่อนที่เราจะทานอาหารกลางวัน บนนั้นเป็นเหมือนหมู่บ้านชาวเขาขนาดใหญ่ มีตลาด มีการค้าขายกันครึกครื้น บนนั้นอากาศและลมเย็นมาก เราถือเป็นจุดพัก ทั้งคนปั่นจักรยานและผู้ติดตามทั้งหลาย เราได้เดินชมวิวสันเขา ได้ยินว่าจุดนี้เองเป็นจุดที่สูงที่สุดที่เราปั่นขึ้นมาในวันนี้ 1800เมตร อากาศบนนั้นถึงได้เย็นสบายในยามเที่ยงวันอย่างนั้น

จากยอดนั้น เราต้องใส่เสื้อกันลมทีเดียว เพราะขนาดยืนเฉยๆลมยังแรงมาก ถ้าไหลลงเขายาวนับสิบกิโล เราคงหนาวตายก่อนแน่ถ้าไม่ป้องกัน เราค่อยๆปล่อยตัวลงทีละคน พี่หมู กับพี่ชายชอบมากับการลงเขา พี่บี๋ พี่ต๋อง ทยอยลง พี่ไกด์ พี่พงษ์เริ่มลงตาม หนิงกับ ออยห้อยหลัง โดยเฉพาะออยซึ่ง play safe จากอุบัติเหตุทั้งหลาย มีพี่วัชประกบให้ ส่วนพี่พเยาว์ ขึ้นรถไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะเต็มอิ่มแล้วกับการขึ้นเขา ลมเย็นปะทะหน้าให้เรารู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา มือสองข้างประคองเบรคไว้ หนิงเล้ียวซ้าย ขวา ตามโค้ง ทักษะเหล่านี้ ส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ที่ขี่จักรยานมาหลายปี อีกส่วนก็จากคำบอกเล่าของพี่ๆทั้งหลาย เราจดจำและเอามาฝึกประกอบ จนเกิดความชำนาญในระดับหนึ่ง สองข้างทาง มองลงไปเป็นหุบเขา ซับซ้อนหลายชั้น เห็นเขาใหญ่ๆหลายลูกตั้งตระหง่าน โค้งต่างๆ รับกันได้เหมาะเจาะ โค้งซ้าย แล้วก็โค้งขวา สลับไปมา ไม่มากไม่น้อย รับกันไปมา จนถึงเชิงเขา

หนิงเพลิดเพลินกับการลงเขามากกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเมื่อก่อนหนิงจะรู้สึกเหมือนออย ในเวลานี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนิงกับว่าการเป็นส่วนหนึ่งกับจักรยานทำให้เราควบคุมมันได้ง่ายขึ้น การเลือกใช้รถจักรยานที่คุ้นเคยก็เหมือนกัน เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจกับการขี่


เราไหลกันจนถึงทางราบ ซึ่งเราต้องเลาะแม่น้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหาร เป็นเวลาที่พวกเราควรเติมพลังงานกันหน่อย แล้วอย่างเคย อาหารสั่งมาเต็มโต๊ะ

เราใช้เวลาไม่นานอาหารก็หมดไป

การออกเดินทางในรอบบ่าย เราได้ยินว่าจะเป็นทางขึ้นเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะก่อนถึงที่พัก จะเป็นเขายาวนับสิบกิโล และมีความชันมากนัก มีเสียงเสนอว่าจะให้รถไปรับ แต่เสียงส่วนใหญ่ของพวกเรายืนกรานที่จะปั่นไป เมืองที่เราจะไปชื่อว่า หลี่ชุน อยู่ในจังหวัด ฮงเฮอ เมืองนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของพวกอีก้อหรืออาข่า ซึ่งเราก็เห็นมาระหว่างทางแล้ว หนิงมีจินตนาการล้ำลึกว่าจะได้เห็นคนเขามากมายในเมือง ยิ่งทำให้อยากไปถึงโดยเร็ว

ตอนนี้เราอยู่ในเขตปกครองตนเองชนชาติอาข่าและอี่ หงเหอ ดูเหมือนเราปั่นกันข้ามแคว้นกันซะแล้ว

เราปั่นผ่านเมืองเล็กๆ ทำให้เห็นความไม่เป็นระเบียบของคนจีนจริงๆ เพราะรถคันเดียวที่อยากจะจอดขวามือทำให้รถติดได้ทั้งเมืองโดยที่ไม่สนใจใคร เราโชคดีที่ว่าเป็นจักรยาน เราเลยสามารถยกข้าม จูงเดิน เลี้ยวเลาะได้ดังใจ เสียงชาวบ้านส่งเสียงช้งเช้ง ด่ากันขรม แล้วเราก็ผ่านมาได้ในที่สุด แต่รถผู้ติดตามทั้งหลาย ต้องติดอยู่นานกว่าจะมากันได้

ทิวทัศน์สองข้างทางที่เราปั่นกันมานั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่หมูบอกว่าเป็นที่ที่ดีมากๆตามตำราจีน คือมองไปเห็นแม่น้ำไหลผ่านระหว่างขุนเขา 2เขา ซึ่งที่อย่างนี้เป็นฮวงจุ้ยที่ดีมากใครได้ไว้จะทำให้ลูกหลาน อยู่กันอย่างราบรื่นและอยู่ดีมีสุขมากๆ เขาเรียกว่าท้องมังกร พี่หมูแนะนำให้เราถ่ายรูปกันไว้ เพื่อเป็นเคล็ด ว่าแล้วน้องๆก็จอดรถถ่ายรูปกันเป็นแถว


หลังจากนั้นเราก็ยังคงปั่นกันเรื่อยๆ โดยกลุ่มเริ่มแตก พี่บี๋ พี่ต๋อง ออย พี่หมู หลุดไปกลุ่มหน้า มีหนิง พี่ไกด์ พี่พงษ์ พี่ชายและพี่วัช ปั่นกันข้างหลัง เราปั่นชมนกชมไม้กันไปเพลินๆ ทางเริ่มหนืดขึ้นเรื่อยๆเพราะเริ่มขึ้นเขา เราเริ่มรู้สึกตัวว่าช้ากว่ากลุ้มแรก เมื่อพี่หมูวอมาถามระยะห่าง พวกเรา5คนเลยจัดขบวนผลัดนำกันไป ตอนนี้เองที่หนิงสังเกตุเห็นว่า กำลังพี่วัชไม่ธรรมดา เพราะทุกครั้งที่พี่วัชออกนำ ความเร็วจะเพิ่มขึ้นทุกที จนบางที่พี่ชายก็หลุดไปบ้าง และที่พี่ชายหลุดบ่อยหรือว่าช้า ไม่ใช่ เรื่องแรงไม่มี แต่ว่าจักรยานพี่ชายกินแรงเอาเรื่องบวกกับพี่ชายแวะถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ

เราเริ่มจัดขบวนไม่นาน ขบวนก็เริ่มแตก เมื่อพี่ชายไม่อาจต่อสู้กับน้ำหนักของจักรยานได้ หนิงพี่ไกด์ พี่พงษ์เลยออกตัวไปกันสามคน ตอนนี้พี่ทั้งสองต้องประคองหนิงไว้ให้ดี เพราะเวลาแรงหนิงจะตกหนิงก็จะส่งเสียงบอกว่า เบาหน่อย รอด้วย อะไรประมาณนั้น เสียงวอของพี่หมูมาเป็นระยะ ทำให้เรารู้ว่าพี่หมูเริ่มเป็นศิลปินเดี่ยวอีกครั้ง โดยหนิงยังได้ยินเสียงพี่บี๋ในวอบอกให้เรารู้ว่า นะบัดนี้ พี่บี่ได้ทิ้งพี่ต๋องกับออยไว้ข้างหลังเสียแล้ว เราสามคน ได้ฟังดังนั้นก็จุดประกาย เป้าหมายหลักคือพี่ต๋อง เหตุใดหนอ พี่ต๋องถึงได้หลุดจากพี่บี๋ไป เอ๊ะหรือว่าพี่ต๋องปั่นประคองน้องออย เพราะกลัวว่าออยต้องปั่นคนเดียว แต่ความคิดไม่ทันรอบขา ดุเหมือนเราจะเพิ่ม speedอย่างไม่รู้ตัว เวลานั้นเริ่มจะเย็นแล้ว พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ถึงแม้แสงทองของมันจะเริ่มอ่อนล้า แต่ขาพี่พงษ์ ก็ยังควง นำจักรยานไต่ขึ้นเขา พี่ไกด์กับหนิง กดตามอย่างไม่ลดละ เราอ้อมเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ความชันของเขาทำให้เราเริ่มท้อไปบ้าง แต่ด้วยความที่อยากรู้ว่าพี่ต๋องอยู่ตรงไหนนั้น ก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะปั่นขึ้น ปั่นขึ้น เรามองเห็นจุดหมายแรก คือพี่หมู หลังไวๆของพี่หมูที่อยู่ไม่ห่างเราเท่าไหร่ พี่หมูควงขาไม่ออกมานานับกิโลแล้ว เพราะความล้า และแรงต้านจากความชัน พี่หมูใช้แรงกดบันไดถีบตามจังหวะที่มี ผิดกับเราสามคนที่มีแรงฮึด เราปั่นไปใกล้พี่หมูเรื่อยๆ จนในที่สุดเราไปแปะหลังพี่หมูสำเร็จ พี่พงษ์ส่งสัญญานมือให้พวกเราหยุดหลังพี่หมู เราได้หยุดพักสัพัก พี่หมูหันมาเห็นเราสามคน ก็ส่งสัญญาณให้เราแซงไปเรื่อย แทบไม่มีเสียงลอดออกมา เพราะความเหนื่อยล้า เราสามคนเลยตัดสินใจทิ้งพี่หมูไป เพราะยังไงเสีย ยังมีพี่วัชกับพี่ชายอยู่ข้างหลัง พี่หมูก็น่าจะขึ้นมาได้ทัน จากตรงนั้น ได้ยินวอจากพี่บี๋ว่าอีกไม่กี่กิโลก็เข้าเมือง แต่ความล้าของกล้ามเนื้อก็มาเยือนพวกเราทีละคนทีละคน เราค่อยๆปั่นประคองกันไป โดยหนิงเองรู้สึกเหมือนกับว่า คุณตาจะมาหาอย่างไงไม่รู้ กดมาก ตา(คริว) ก็ทำท่าจะมาที เลยปั่นประคองกันไป พี่ไกด์เองก็เริ่มไม่ไหว มีการจอดจักรยานเก็บของ ตอนแรกหนิงกับพี่พงษ์นึกว่าพี่ไกด์เป็นอะไร ที่ไหนได้ เก็บเครื่องบินลำน้อย จริงๆแล้วเป็นข้ออ้างพักเหน่ือยรูปแบบหนึ่งนั้นเอง


เสียงพี่บี๋บอกทางพี่ต๋อง ทำให้เรารู้ว่าพี่บี๋ถึงที่หมายแล้ว แต่พี่ต๋องนั้นยังคงปั่นอยู่ และระยะห่างระหว่างเรา3คนกับพี่ต๋องไม่ได้ห่างกันมาก ทำให้เรารู้ว่า เราใกล้จุดหมาย(พี่ต๋อง) เข้าไปทุกที เรายังคงปั่นไปเรื่อยๆจนในที่สุดเราเข้ามาในเมือง พี่บี๋ส่งเสียงตามวอมาบอกให้เราปั่นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเราแทบจะบ้า เพราะยังไม่ถึงสักที จนในที่สุด เราก็มาถึงโรงแรมจนได้ สิ่งแรกที่พวกเราทำคือ ลงจากจักรยานแล้วนั่งยืดขา มันร้าวไปหมด ตรงหน้าโรงแรม มีพี่บี๋ พี่ต๋อง ออยและพี่หมียืนรอรับ พี่ต๋องเพิ่งเข้ามาก่อนเราไม่นาน แค่เห็นหลังไวๆ พวกเราแอบเสียดายว่าถ้าระยะมากกว่านี้หน่อย พี่ต๋องเสร็จพวกเราแน่ๆ เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว พี่ต๋องต้องหมดแรงแน่ๆ เราถามพี่ต๋องว่าทำไมมาถึงก่อนแค่แป๊บเดียว พี่ต๋องบอกด้วยสีหน้ามีพิรุธว่า หยุดถ่ายรูป เพราะมุมสวยดี หนิงหัวเราะกับคำตอบพี่ต๋อง มุมไหนกันที่ว่าสวย เพราะตั้งแต่ขึ้นมา ไม่เห็นจะมีตรงไหนน่าจะถ่ายได้วิวงามๆ เพราะเห็นแต่ตึกรามบ้านช่อง ที่สร้างระหว่างทาง หนิงเลยทำเสียงเย้ยพี่ต๋องว่า ‘หมดแรงละสิ ถึงคิดจะถ่ายรูป’ เสียงพี่ต๋องปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่พวกน้องๆแอบขำกันเป็นแถว เรานั่งยืดขา และรอพี่ๆที่เหลือไปพร้อมๆกัน เสียงโต้ตอบในวอ ทำให้รู้ว่าพวกเขา กำลังจะมาถึงในไม่ช้า


เราเอารถไปล้างที่ร้านล้างรถฟรี เจ้าของใจดีมาก โรงแรมที่พักวันนี้ดีมาก อย่างน้อยส้วมก็เป็นแบบนั่งโถ ไม่ต้องนั่งย่องๆให้เมื่อยแข้งเมื่อยขา ถึงแม้จะไม่มีแอร์เพราะเมืองนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง1600 เมตร อากาศจึงเย็นตลอดปีแม้กระทั่งเดือนเมษายน เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อไปกินข้าว

เสียงออยตะโกนโวยวายในห้องน้ำให้ช่วยแกะซองแชมพูให้หน่อย แสดงว่าวันนี้ออยใช้ พลังงานไปจนหมดชนิดไม่เหลือแม้กระทั่งปลายนิ้ว เสียงกิ๊ฟแอบหัวเราะขำ เพราะกิ๊ฟได้แต่นั่งเชียร์เลยไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยที่พวกเรามี


อาหารคืนนี้อร่อยมาก เราได้ออกไปเดินชมเมือง หนิงแอบห็นหนังไทยฉายที่นั้นด้วย แต่พากษ์ภาษาจีน ฉายให้คนเดินไปมา ได้ดูกัน

วันนี้เป็นอีกวันที่พวกเราประทับใจ เขาที่สูงชัน กับเส้นทางลงเขาที่สวยและดีที่สุดในทริปนี้ อากาศที่แสนจะเป็นใจ ไร้ฝน ไร้แดด รวมทั้งอาหารที่แสนอร่อย และที่พิเศษสุด ส้วมที่นั่งแล้วมีความสุขที่สุดในโลก

เรื่องนางฟ้า

ภาพ นางฟ้า

4 ความคิดเห็น:

  1. ท่าทางจะอากาศดีน่าดู
    เก่งมากจ้ะนักปั่นน่องเหล็กทั้งหลาย
    แค่อ่านก็ยอมแพ้แล้วค่ะ..

    ตอบลบ
  2. เจอเขายังงี้ อีกกี่เดือนกว่าจะกลับถึงบ้านน่ะ?

    ตอบลบ
  3. อ่านมันมาก"นางฟ้า" งานปั่นสิงหาฯ เจ้หมีว่าจะลองปั่นสนามแรก ตอนนี้ขยันซ้อมเกือบทุกวัน งานเข้าเลย ทีนี้เห็นทีพวกเราต้องนวดเจ้หมีคืนมั่งละ
    หรือจะประท้วงห้ามเจ้ปั่นดีไหม?

    ตอบลบ
  4. พี่หมู อย่าไปขัดใจแม่บ้านเลยพี่ แต่เห็นทีเราคงต้องผลัดกันนวดคืนแล้วละ ว่าแต่ว่า ซ้อมอะไรกันบ้างคะเนี้ย

    ตอบลบ