วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ทัวร์เป็ดสาวน้อย...ตอนเริงร่าท้าโคราช



เมื่อสามสาว ขิง ช้วน เรือง(หนิง ใหญ่ เล็ก)ไปเยื่ยมเริงถึงอำเภอโชคชัย มันช่างเป็นความบังเอิญอะไรเช่นนี้ จริงๆแล้ว หนิง ใหญ่ เล็ก ตกลงกันว่าหนาวนี้เราจะไปเที่ยวจิม ทอมสันฟาร์มกัน เราพยายามหาวันไปแต่ช่วงเดือนธันวาที่ผ่านมาเราติดภาระกิจส่วนตัวกันเกือบทั้งเดือน แถมปลายเดือนเราก็ไปเที่ยวอินเดียกันอีก ก่อนจะกลับจากอินเดียใหญ่บอกว่าถึงเวลาแล้วนะ เพราะจิมฟาร์ม เปิดถึงแค่ช่วงวันเด็ก ไม่อย่างนั้นต้องไปปีหน้า หนิงเลยดูสเก็ต แล้วก็พบว่า มีวันว่างแต่ต้องออกวันศุกร์เย็น ใหญ่เล็กไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้ใจแตกกันซะแล้ว อยากหนีเที่ยวกันตลอดเวลา

ใหญ่ได้ที หลังจากสอนเสร็จในคาบเช้า ใหญ่ก็ออกมาพร้อมกับครูอีกคนที่อาสามาส่งแถวบ้านหนิง ในขณะที่เล็กแจ้งนายว่าติดภาระกิจบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ แล้วสองสาวก็มาพร้อมกันที่บ้านหนิงตอน5โมงเย็น พวกเราไม่รีบร้อนที่จะออกนอกเมืองเหตุเพราะรู้ว่า คนอื่นๆเพิ่งกลับจากเที่ยวปีใหม่ ไม่มีใครบ้าออกได้ทุกอาทิตย์อย่างเรา แต่เราก็วางแผนไว้ว่าจะออกไปหาอาหารเย็นทานแถวสระบุรี ก็คงเป้นร้านอื่นไปไม่ได้ นอกจากร้านอาหารที่ชื่อทองบวก ร้านที่ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ เลยทางเข้ามวกเหล็กมานิดเดียวเอง ร้านนี้หนิงไปมาหลายหน และก็พาคู่แฝดไปแล้ว 2หน ติดอกติดใจในรสชาติอาหาร และบริการถึงที่สุด

กว่าเราจะเสร็จสิ้นมื้อนั้นก็เป็นเวลา 3ทุ่มกว่า เราตั้งใจว่าจะไปนอนที่อำเภอปักธงชัย โดยเราขับตามถนนมิตรภาพ ไปเข้าถนนสาย 24 มุ่งหน้าบุรีรัมย์ และไม่นานเกินรอ เราถึงโรงแรมไม่ใหญ่ ไม่เล็กในปักธงชัย ราคาห้องพักถูกแสนถูก แค่ 500 มีน้ำร้อนที่ระดับความแรงของน้ำแค่ปัสสวะแมวเท่านั้น ก็เป็นที่พอใจของเราสามคนแล้ว
คืนนั้น เรานอนหลับไปพร้อมอากาศที่เย็นลง เย็นลง

เช้าวันเสาร์ ดูเหมือนแต่ละคนยังสะโหลสะเหลจากความล้าของเมื่อคืน แต่ถึงกระนั้น เราก็ลุกขึ้นสู้กับความขี้เกียจในตอนเช้า เพราะวันนี้จะเป็นวันที่พวกเราจะได้เที่ยวกันอีกแล้ว เล็ก ถามว่า โม่อยู่แถวไหนในโคราช โม่เป็นเพื่อนสมัยที่เราเรียนอยู่ศิลปากร ถึงแม้จะคนละภาควิชา แต่ด้วยความที่คณะเรานักศึกษาไม่ได้เยอะมาก บวกกับเราต้องทำกิจกรรมรับน้องด้วยกันตลอด ทำให้เราคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง และบวกกับFace Bookที่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เรากลับมาต่อให้ติดกันอีกครั้ง หนิงบอกเล็กว่า โม่น่าจะอยู่แถวโชคชัย ซึ่งไม่ไกลจากปักธงชัยเท่าไหร่ เล็กจัดการโทรหา และก็จริงดังคาด โม่อยู่แถวนี้เอง เป็นเหตุให้เราสามสาวมีนัดกินข้าวกลางวันกับโม่ในวันนี้ด้วย

เราออกจากที่พักตอน7โมงกว่า โดยจุดหมายแรกคือ หาข้าวเช้าทาน นิสัยเราสามคนจะเหมือนกันอย่างคือ ตื่นเช้ามาต้องมีข้าวเช้าทาน เล็ก ใหญ่เคยมาจิมฟาร์มแล้ว และครั้งก่อน คู่แฝดก็มาทานข้าวเช้าที่ตลาดปักธงชัย หนนี้ก้็เช่นกัน หนิงได้รับเชิญให้มาเป็นเกียร์ติแก่ตลาดนี้ด้วย แต่เช้านี้โจ๊กที่คู่แฝดอยากกินดันไม่ขายซะนี้ เราเลยไปทานข้าวต้มโบราณแทน เป็นข้าวต้มโรยหน้าด้วยหมูต้มเค็ม ก็อร่อยไปอีกแบบ ที่นี้เราเห็นชาวบ้านเอาข้าวเม่ามาขายกันเยอะ เพราะเพิ่งผ่านฤดูเกี่ยวข้าวมาไม่นาน
เราตบท้ายข้าวเช้าเราด้วยชาร้อนแบบโบราณ อากาศเช้านี้เย็นกว่าวันก่อนๆ ตามที่นักพยากรณ์ทั้งหลายทำนายเอาไว้จริงๆ

เราเดินทางออกจากตลาดหลังจากดื่มด่ำกับชีวิตชนบทของที่นี้ เราคุยกับชาวบ้านที่นี้ ได้ความว่าเมื่อหน้าฝนที่ผ่านมา ที่นี้น้ำท่วมเอาเรื่องทีเดียว หนิงแอบฟังสำเนียงชาวบ้าน ก็รู้สึกประหลาด เพราะจะว่าพูดลาวไปเลยก็ไม่ใช่ จะพูดเน้อนิดๆ จนอดไม่ได้ที่จะถามว่าสำเนียงนี้เป็นสำเนียงอะไรกัน ชาวบ้านตอบยิ้มๆว่าเป็นสำเนียงท้องถิ่นเรียกว่าสำเนียงโคราช

เราออกจากตลาดก่อนเก้าโมงนิดหน่อย โดยมุ่งหน้าไปทางเขื่อนลำพระเพลิง เราขับไปตามถนนในยามเช้าที่รถไม่จอแจ จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่จอดรถของจิมฟาร์ม หนิงเห็นรถมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะโวยวายกันว่า เขามาทำไมแต่เช้า
ก็แน่ละเราว่าเราแน่แล้ว ยังมีมาเช้ากว่าเราอีกโข

ที่จิมฟาร์ม เราต้องเสียตั๋วเข้าชมคนละ 80บาท โดยในฟาร์มซึ่งมีเนื้อที่ 700กว่าไร่ จะมีรถรับ ส่งเป็นจุดๆ ซึ่งสะดวกมากกับผู้มาเยี่ยมชม เรามองออกไปเห็นทุ่งสีเหลืองของทุ่งประเทื่อง จนอดไม่ได้ที่อยากจะเข้าไปดูข้างในเร็วๆ

รถโดยสาร มีไกด้น่ารักเป็นคนบรรยายความเป็นมาของจิม ทอมสันฟาร์ม และแนะนำจุดต่างๆในฟาร์ม

ในจุดแรก เป็นจุดที่มีทุ่งทานตะวันกว้างไกล พร้อมด้วยผลฟักทองน้อยใหญ่ น้อยนะก็ธรรมดาเท่าที่เราเคยเห็น แต่ใหญ่ที่ว่า มันใหญ่เกินจริงจนนึกว่าของปลอม ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ จากจุดนี้เราสามสรถเดินต่อไปยังเรือนไทยอีสาน ชื่อเรือนคุณสาหร่าย เรือนหลังนี้มี 2ห้อง และ ระเบียงน่ารัก จากเรือนคุณสาหร่ายเรายังเห็นทุ่งทานตะวัน และเขาพญาปราบที่อยู่บริเวณนั้นอีก

เราเดินต่อจากเรือนคุณสาหร่าย เราก็ไปยังลานกีฬาประจำหมู่บ้าน ที่นี้มีเครื่องเล่นท้องถิ่นให้เราได้ทดลองเล่น แถมยังมีควายคู่ขวัญให้ชมในบริเวณใกล้ๆกัน ที่ลานนี้ดูคนจะคึกคักเพราะมีดนตรีพื้นเมืองเล่นกันสดๆ แถมมีการสาธิตวิธีทอผ้าฝ้าย ผ้าไหมให้ชมด้วย

หนิงกับใหญ่มีโอกาสได้พูดคุยกันช่างทอผ้าฝ้าย แห่งบ้านดู่ เมืองปัก อำเภอปักธงชัย ชื่อพี่ศาตราวุธ พี่เขาเล่าว่า เขาร่ำเรียนการทอผ้ามาจากแม่ โดยเขามารื้อฟื้นการทอผ้าฝ้ายอีกครั้ง หลังจากที่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนิยมที่จะทอผ้าไหมมากกว่า พี่ศาตราวุธเคยเป็นครูอยู่ในกรุงเทพ แต่เขามองเห็นความสำคัญของการทอผ้า ซึ่งครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เขาก็มีกี่ทอผ้าเอาไว้ในห้อง หนิงกับใหญ่สนใจเรื่องนี้มาก สอบถามได้ความว่า ที่หมู่บ้านพี่เขามีโฮมสเตย์และยังสอนทอผ้าอีกด้วย
ดูเหมือนความหวังในการสืบทอดวิชาทอผ้ากำลังจะเป็นจริงซะแล้ว

ใหญ่มาเล่าให้ฟังทีหลังว่าพี่ศาตราวุธเขาแต่งตัวเต็มยศของชาวอีสานทีเดียวคือ ใส่โสร่งผ้าไหม กับเสื้อแบบไหนก็ได้ ที่สำคัญมาผ้าขาวม้าคล้องคอ นี้คือชุดเด็ดประจำท้องถิ่น

หนิงเดินเตร่ต่อไป เจอคุณป้ากำลังสาวไหม แน่นอนว่าตอนนี้การทอผ้าไหมเป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินได้ดีกว่าผ้าฝ้าย เพราะราคาของตัวผ้าเป็นการชี้บ่ง หนิงสอบถามวิธีการทั้งการสาวและฟอก โดยเฉพาะการฟอกแบบธรรมชาติที่ต้องใช้ขี้เถ้าจากใบไม้เป็นตัวทำให้ไหมนิ่มได้ เพิ่งรู้เหมือนกัน ป้าดูจะไม่ใช้นักโต้ตอบที่ดีนัก ไม่เหมือนพี่ศาตรวุธ แล้วใหญ่ก็เรียกให้หนิงเดินไปดูคุณยายปั้นหม้อต่อ

คุณยายที่หนิงเห็นเป็นคนแก่หลังค่อม กำลังเดินวนๆรอบอะไรสักอย่าง พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นคุณยายเดินวนหม้อที่กำลังขึ้นแท่น ไม่นานคุณยายก็เอาไม้ตีๆ จนเป็นทรง แล้วเอาผ้าชุบน้ำรูดปากหม้อ จนกลมสวยงาม โดยทั้งหมด คุณยายเดินวนรอบหม้อนั้นเอง

มีเสียผู้ชายยืนเชียร์คุณยายไม่ใช่ใครเป็นลูกชายคุณยายนั้นเอง สอบถามว่าได้ฝึกปั้นไหม พี่เขาว่าไม่เคย เพียงแต่รู้ว่าจะต้องเตรียมดินอย่างไง แล้วพี่เขาก็เริ่มบรรยายอีกครั้งว่า ให้เอาดินธรรมดาเนี้ย ไปผสมกับแกลบ เสร็จแล้วก็ตากแห้ง จากนั้นก็นำมาตำให้ละเอียด แล้วร่อนเอาส่วนที่ละเอียดไปผสมน้ำ นำมาขึ้นรูปเป็นหม้อเนี้ยะ

เรายืนดูคุณยายไปอยู่นานสองนาน และก้เห็นว่าในช่วงเวลาแค่นั้น คุณยายปั้นหม้อได้หลายใบทีเดียว คุณยายบอกว่าปั้นหม้อมาตั้งแต่อายุ9ขวบ ปัจจุบันนี้อายุ 78แล้ว ก้ปั้นมา 70ปีเข้าไปแล้ว เห็นแล้วเราภูมิใจในตัวคุณยายและท้องถิ่นจริงๆ หนิงกับใหญ่รีบเดินไปหาซื้อหม้อที่คุณยายวางขายมาเป็นของที่ระลึกคนละใน

ตรงที่ขายของนั้นเอง ที่เล็กเดินพาพวกเราไปดูเครื่องเรือนบางอย่างที่เป็นเครื่องเรือนท้องถิ่น หนิงเองก็ไม่ได้ถามว่าเขาเรียกว่าอะไร แต่สิ่งนี้ถูกทำมาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มีทั้งช้าง เต่า อึ่ง คนขายบอกว่ามันจะทำจากไม้ขนุนทั้งชิ้น นำมาแกะสลักเป็นรูป ตามความเชื่อไม้ขนุนสื่อความหมายถึงการสนับสนุน หลายบ้านจะปลูกต้นขนุนไว้หลังบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลให้มีคนหนุนนำ ต่อมากก็นำไปติดด้วยกระดูกวัว หรือควาย ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่มีคุณประโยชน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาล้มมันนะ เขาปล่อยให้มันตายเองโดยธรรมชาติ การติดคล้ายๆติดเปลือกหอยนั้นละ แล้วนำไปขัด ลงลัก ของที่ว่านี้ทำเป็นเหมือนกล่องใส่ของ คนขายยังว่าเอาไว้ใส่ของมงคล เล็กชอบช้างมาก และมีแค่ตัวเดียว เล็กเลยจัดไป หนิงเลยหยิบเต่ามาตัวหนึ่ง แต่คนขายบอกว่านั้นคืออึ่ง หนิงเลยตั้งชื่อใหม่ให้ว่าตึ่ง เต่าเป็นสัญลักษณ์ของอายุยืน ส่วนอึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอิ่ม สมบูรณ์ หรือร่ำรวยนั้นเอง ส่วนตึ่งคือเอา2อย่างมารวมกันนั้นเอง

โม่โทรมาตามพวกเราแล้วในตอนนั้น เราเลยรีบเดินต่อไปยังอีกจุด จุดนี้เป็นที่โปรดปรานของสาวๆเป็นแน่ เพราะเป็นจุดละลายเงิน แน่นอนสินค้าที่มาขายย่อมต้องมีผ้าไหมจิมด้วยเป็นแน่ เราซื้อกันคนละอย่าง 2อย่าง
แลัวเดินต่อไปอีกหลายโรง ที่เรียกโรง เพราะอาคารเหมือนโรงนา โรงอื่นๆ ก็มีพวก พืชผัก สวนครัวจากจิมฟาร์มมาจำหน่ายด้วย เราซื้อของติดกันออกมาอีก จากนั้นเราสามคนก็สาวเท้าเดินกลับ ซึ่งก้ไม่ไกลจากทางออก ส่วนคนอื่นๆก็มีรถมารับไปส่งทางออก ก็แล้วแต่ว่าใครยังอยากดื่นด่ำขนาดไหน

รถที่จอดด้านนอกเยอะกว่าเมื่อเช้าเป็นเท่าตัว เราขับรถมุ่งหน้าไปเยี่ยมเพื่อนที่โราชทันที เพื่อนโม่มีธุรกิจส่วนตัวเป็นปั๊มน้ำมัน ตลอดช่วงเวลา10กว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน พวกเราต้องก้ไม่รู้ว่าใครมีชีวิตแบบไหนบ้าง ทันทีที่เราเจอหน้ากัน เสียงสาวๆส่งเสียงในรถจนรถแทบแตก เจอกันเสียงก็ไม่ได้มีแบบลดลงแต่น้อย เราถามสาระทุกข์สุขดิบ โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วม ซึ่งเพื่อนเราก็ยังมีโชคพอที่น้ำจะไม่เอ่อมาท่วมได้ ไปคราวนี้เราได้เจอน้องก้อย คุ๋ชีวิตที่น่าักของโม่ เรานั่งคุยเล่นกันในปั๊มอยู่หลายชั่วโมง ก่อนที่จะร่ำลาเพื่อนกลับ แค่นี้ ทั้งพวกเรา ทั้งโม่ก็ดีใจขนาดหนัก

เราออกจากบ้านโม่ เพื่อจะไปวังน้ำเขียว วังน้ำเขียวเป็นอีกสถานที่หรึ่งที่หนิงเคยประทับใจมาก เพราะเป็นเส้นทางปั่นจักรยานที่สงบ และอากาศดีมาก จากบ้านโม่ หนิงเลือกที่จะได้เส้นปักธงชัย-กบินทร์บุรี เพราะจะได้ไม่อ้อม และก็ไม่เสียเวลา

ช่วงถนนหมายเลข 304 เป็นถนนใหม่ที่ดีมาก ขับสบาย พอเราเลี้ยวขวาเข้าเส้นที่จะไปปากช่อง ความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฎทำให้หนิงเสียความรู้สึกอย่างแรง รีสอร์ทผุดขึ้นราวดอกเห็ด มีทั้งดูได้ ดูไม่ได้ ลายตาไปหมด ต้นไม้ที่เคยให้ร่มระหว่างทางหายไป ขึ้นมาเป็นป้ายใหญ่ ขายรีสอร์ทแทน หนิงยอมรับว่า มองดุเห็น เขาสลับเป็นลูกๆ แปลกตาดี แล้วโอโซนที่ชาววังน้ำเขียวเคยโฆษณานักหนาละว่าเป็นที่3ของโลกเนี้ย มันจะอยู่ได้ยังไง ในเมื่อต้นกำเนิดแห่งโโซนถุกตัดซะเรียบราบพนาสูญขนาดนี้ หนิงก้ได้แต่บ่นให้แฝดมันฟัง แต่ก็ยังขับผ่านถนนนั้นมาแบบแกนๆ หนิงเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แต่แหมพระอาทิตย์ท่านช่างร่วงเร็วซะเหลือเกิน จนเราไปเก็บรูปที่อ่างเก็บน้ำไม่ทัน

เมื่อเวลาล่วงเลยมานาน ก็ถึงเวลาอาหารค่ำอีกแล้ว ตอนแรกหนิงตั้งใจว่าจะพาแฝดไปกินเป็ดพะโล้ที่ปากช่อง แต่เปลี่ยนใจดีกว่า ไปทานร้านเดิมเมื่อวานนี้ละ ทองบวก(อีกแล้ว) เพราะเมื่อวานเราติดใจรสชาติแกงป่ากันซะเหลือเกิน โดยคุณพ่อเป็นคนแนะนำให้ลองชิม
ปกติเวลามาที่นี้เรามักจะสั่งอาหารที่จานแปลกแบบ ฟิวชั่น แต่หนนี้เราขอพื้นๆ ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย น้องนิว ลูกชายคนเล็กของเจ้าของร้านแนะนำให้เราลอง ยอดฟักแม้วผัดกะปิ ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย หลังอาหารคาว เราตบท้ายด้วยของหวานเป็นไอสครีม วนิลลาเคลือบช็อคโกแลต กับอีกอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่เหมือนไอสครีมอิตาลีเป็นชั้นๆ

ก่อนกลับเราได้แวะขึ้นไปดูชั้น2ของร้านและพบว่ามีของแต่งบ้านสวยงามน่ารักวางขายอยู่ เราคุยกับคุณแม่น้องนิว เจ้าของสถานที่ คุณแม่เล่าว่า ของที่ขายเป็นของที่คุณแม่คัดมาอย่างดีด้วยความชอบส่วนตัว และคุณแม่ก็ขายสนุกๆ คุณแม่ชี้ชวนให้พวกเราดูชุดจานลายดอไม้ที่คุณแม่ซื้อมา น่ารักทีเดียว คุณแม่บอกว่าขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็เก็บไว้ชื่นชมต่อไปได้

หนิง ใหญ่ เล็ก บอกคุณแม่ว่าเรามาที่นี้หลายหนแล้ว แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีร้านอยู่ด้านบน ทั้งๆที่เรานั่งอยู่ใกล้ๆป้ายบอกร้าน เล็กเลยเสนอว่าจะลองออกแบบป้ายมาให้คุณแม่ดูจะได้ช่วยดึงดูลูกค้าให้ขึ้นไปข้างบนเยอะๆ

เรามองออกไปนอกร้านเห็นรถขาเข้ากรุงเทพติด ได้ยินว่ามีรถชนกัน เมื่อวานตอนเราไปปักธงชัยก็เจอรถคว่ำ วันนี้เจอรถชนกัน โชคดีที่คุณพ่อใจดีเป็นธุระขับรถนำทางเราออกทางลัดเข้ามวกเหล็ก กลับกรุงเทพได้อย่างไม่ติดขัด พวกเราสามคนลงความเห็นว่า ร้านทองบวกนอกจากอาหารอร่อย ครอบครัวทองบวกยังดูแลเอาใจใส่ลูกค้ากันสุดๆอีก ขอยกนิ้วให้เลยคะ

เรากลับเข้าเมืองดึกแล้ว รถราน้อยมากบนถนน ผู้คนคงหลับไหลอยู่ในภวังค์รวมทั้งใหญ่ที่ก็หมดแรงไปแล้วด้วย เราสามคนสนุกกับทริปแรกแห่งปีมาก ถึงแม้ว่าช่วงเวลาของทริปนี้จะสั้นนักแต่พวกเราก็เก็บเกี่ยวกันเต็มที่ เสียงหัวเราะดัง ดังที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในช่วงเวลาปกติของเรา มันทำให้เรามีพลังที่จะดำเนินชีวิตกันต่อไปและเราก็สัญญากันว่า เมื่อใหญ่เสร็จธุระเรื่องเรียน เราจะลุยกันต่อไป คราวหน้าอาจเป็นเป็ดแก๊งค์ใหญ่อีกก็ได้


เรื่อง นางฟ้า
ภาพ นางฟ้า

8 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ9 มกราคม 2554 เวลา 10:08

    คุณยายปั่นหม้อ....อืมมมม...เกือบเข้าใจผิดถ้าไม่อ่านต่อ

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วสนุกมากเลยขิง จากเรืองและช้วนนนน...

    ตอบลบ
  3. เผางานสุดๆ เมื่อคืนไม่เสร็จ เลยมาทำให้เสร็จเช้านี้ ก่อนออดไปหากินคืนนี้ กลัวเพื่อนไม่ได้อ่าน

    ตอบลบ
  4. อ๊อดเองค่ะ9 มกราคม 2554 เวลา 11:33

    รูปสวยอีกแล้วจ้ะนางฟ้า
    เรื่องก็หนุก คราวหน้าขอลุยด้วยคนนะ

    ตอบลบ
  5. เดี๋ยวไปกินข้าวกันใหม่นะ

    ตอบลบ
  6. ได้เลยเพื่อน เดือนหน้า....

    ตอบลบ
  7. ภาพก็สวย เรื่องก็สนุกมาก นางฟ้า

    ตอบลบ
  8. ครูตรวจภาษาไทยมาแล้ว จะแก้มั้ย
    เรื่องสนุก อ่านเพลิน มีสาระ น่าคบหา

    ตอบลบ